Thai VI

เนื่องจากมีเพื่อนผมคนหนึ่ง อยากเช่าซื้อเฟรนไชส์ของเซเว่น
โดยกู้เงินสหกรณ์มา และจะเอากระแสเงินสดที่ได้จากการดำเนินกิจการไปผ่อนจ่ายหนี้คืนเป้นระยะเวลาเท่ากับสัญญาเช่าซื้อ ซึ่งถ้าทำอย่างนี้ ผมวิเคราะห์แบบชุ่ยๆว่าเขาจะมีรายได้เพิ่มขึ้นมามากพอสมควร

ปัญหาอยู่ที่ว่า เค้าไม่มีทุนมากพอที่จะทำอย่างนั้น เพราะถ้าต้องกู้สหกรณ์มาทั้งหมด ก็จะต้องใช้เงินเดือนค้ำประกัน ซึ่งเงินเดือนยังไม่พอที่จะค้ำเงินกู้ที่วงเงินขนาดนั้นได้

เขาจึงมาขอให้ผมไปร่วมทุน!!!!!!!!!

ซึ่งผมบอกว่า ถ้าผมจะร่วมทุนกับเขา ผมอยากศึกษาเรื่องการเช่าซื้อในนามของนิติบุคคลโดยให้ผมเเละเพื่อนถือหุ้นเท่ากันและผมจะซื้อกิจการทั้งหมดของนิติบุคคลนั้นเมื่อหมดสัญญากับทางเซเว่นเพื่อนำไปประกอบธุรกิจอื่น เพราะผมเข้าใจว่าการลงทุนในนามนิติบุคคลน่าจะมีสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ดีกว่า

พี่ๆมีความคิดอย่างไรครับ ขอคำชี้่แนะด้วย
หรือลองโหวตกันขำๆก็ได้ครับ

จดทะเบียนดีกว่านะครับ เพราะมีหุ้นส่วน ถึงเวลาวันหน้าวันหลังไม่มีปัญหาเรื่องแบ่งผลประโยชน์กัน ไม่ต้องมาฟ้องร้องเพราะมีหลักฐานอยู่ว่าลงทุนกันคนละกี่% กรณีถ้าคุณไม่ได้ดูแลกิจการเองแต่ลงเงินเท่าๆกันแนะให้ถือหุ้นคนละครึ่ง ส่วนเพื่อนคุณที่มาบริหารกิจการควรได้ส่วนแบ่งเพิ่มเติมในรูปเงินเดือน นอกจากนี้เรื่องภาษีก็น่าจะได้เปรียบ เพราะ เปิดเซเว่นเป็นกิจการที่ดีและรายได้สูง การจดทะเบียนรูปบริษัทมีประโยชน์ด้านภาษีทำให้เสียภาษีลดลง ยึ่งมีรายได้ทางอื่นด้วย จะเฉลี่ยฐานภาษีให้ตํา ดีกว่ารายได้ทุกทางท้งหมดมารวมแล้วคิดภาษีทีเดียวจะจุกครับ
ส่วนเรื่องความน่าเชื่อถือ ได้ยี่ห้อเซเว่นมาคุมอยู่ ในแง่นี้ไม่จำเป็นต้องพึ่งยี่ห้อว่าเป็นบริษัทครับ

ขอบคุณมากครับ
มีใครมีข้อแนะนำอื่นๆก็เรียนเชิญได้นะครับ

มาให้กำลังใจอย่างผู้ไม่รู้ครับ

ศึกษาละเอียดหรือยังครับ
ผมเคยจะซื้อเฟรนไชน์มาเปิด เจอเงื่อนไขแล้ว ถอยแทบไม่ทัน
หากซื้อหุ้นผมเห็นด้วย แต่หากซื้อเฟรนไชน์ ดูเรื่องการลงทุน กับผลตอบแทนดีๆนะครับ ผมว่ามันแค่พออยู่ไ้ด้  ไม่ได้ดีอะไรมากมายครับ
ห้อง2 คูหา ค่าห้องขึ้นอยู่กับทำเล สมมติ 5-6 ลบ   เงินลงทุนค่าเฟรนไชน์ สมัยนั้นผมถาม ถ้าจำไม่ผิดประมาณ 2 ล้านบาท  เงินลงทุนเบ็ดเสร็จประมาณ 8 ลบ
บ. ช่วยจ่ายเรื่องค่าเช่าห้องอีกไม่มาก หมายถึงเจ้าของห้องมีรายได้จากค่าเช่า คล้ายเงินประกันรายได้ขั้นต่ำ ส่วนเรื่องผลตอบแทนจากการขายถูกหัก เปอร์เซนต์ถ้าจำไม่ผิด 47 หรือ 52 %  มั้งครับ  ตัวเลขไม่แน่นอนนะครับจำไม่ค่อยได้ แต่สินค้าหายเราต้องรับผิดชอบ ค่า พนง ค่าน้ำ ไฟ ต้องรับผิดชอบเอง เจ้าอขงต้องมาเป็นผู้จัดการร้านเองด้วย ไม่งั้นสินค้าหายจะไม่คุ้ม ทาง บ. บอกมาอย่างนี้
ผมเคยลองคำนวณรายได้ แล้วถ้าทำเลไม่ดีจริงผลตอบแทนไม่คุ้มเวลาที่เสียไปครับ แต่สาขาที่ทำกำไรได้มากๆ ก็มีนะครับ  ไม่ใช่ไม่ดีทั้งหมด โดยมากพออยู่ได้  แต่คิด%จากเงินลงทุนแล้วไม่ ใช่ว่าดีมากมาย ครับ
ทำเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญ จดทะเบียนก็ได้ครับ เริ่มฐานภาษีใหม่เลยครับ

chowbe76 เขียน:โดยกู้เงินสหกรณ์มา และจะเอากระแสเงินสดที่ได้จากการดำเนินกิจการไปผ่อนจ่ายหนี้คืนเป้นระยะเวลาเท่ากับสัญญาเช่าซื้อ ซึ่งถ้าทำอย่างนี้ ผมวิเคราะห์แบบชุ่ยๆว่าเขาจะมีรายได้เพิ่มขึ้นมามากพอสมควร

ชุ่ยขนาดไหนครับ ได้กดเครื่องคิดเลขมั่งหรือยังครับ ผมวิเคราะห์แบบชุ่ยกว่ามากๆว่า ถ้าสาขาขายไม่ดี อาจจะขาดทุนเพราะว่าต้องเอาดอกเบี้ยไปจ่ายเงินกู้ได้นะครับ

ผมว่าจดทะเบียนนิติบุคคลดีกว่านะ เพียงแต่ว่ามันจะยุ่งยากตรงเรื่องเอกสารและบัญชียุ่บยั่บ
แถมถ้าไปได้ไม่ดี จะจดยกเลิกก็มีค่าใช้จ่ายวุ่นวายอีก
แต่ไม่ว่ายังไง ก็แนะนำให้จดอยู่ดี ไม่งั้นมาเสียภาษีบุคคลธรรมดาคงเครียด

จด หจก น่าดีกว่าครับ  ระบบภาษีย่งยากน้อยหน่อย  เพราะเท่าที่ดูงบส่วนใหญ่รายรับต่อปีราวๆ 1.2MB หักค่าใช้จ่ายน้ำไฟ  พนักงาน  สินค้าที่อาจสูญหาย ก็เหลือราวๆ 3-4 แสนต่อปีครับ  แต่เท่าที่ดูเหนื่อยมาก  แต่ก็มาบางร้านที่ยอดขายกระฉูดนะครับ  พิจารณาดูล่ะกันครับ

ผมกลับมองอีกมุมนึง ถ้าย้อนอดีตได้ผมคงเลือกลงทุนด้วยตัวเอง
ไม่ร่วมหุ้นกับใคร...

อาจจะมีธุรกิจที่ร่วมหุ้นแล้วเจริญรุ่งเรือง แต่ไม่ใช่ในกรณีที่ผมเคยเจอ

ผมจึงแนะนำว่า อย่าร่วมหุ้นเลยครับ ทำอะไรก็ได้ที่เราเป็นเจ้าของคนเดียว
จะดีเลวอย่างไรก็เป็นผลจากการกระทำเราเองไม่ต้องโทษใคร

ผมขอตอบเฉพาะในส่วนของคำถามว่าจดทะเบียนเป็นบริษัทดีหรือไม่เท่านั้นนะครับ ในส่วนอื่นทาง จขกท. คงพิจารณาเองแล้วครับ

ผมแนะนำให้จดทะเบียนครับ เพราะการทำธุรกิจในรูปแบบร่วมทุนจะทำได้ชัดเจนและแบ่งเป็นสัดส่วนกับรายได้ประจำได้มากกว่า ในส่วนการจดทะเบียนทำได้หลายรูปแบบ ได้แก่ คณะบุคคล ห้างหุ้นส่วน และบริษัท ถ้ามีแค่ 2 คน จดได้แค่คณะบุคคลและห้างหุ้นส่วนเท่านั้น อัตราภาษีของแต่ละแบบก้อไม่เหมือนกัน

ถ้าเป็นคณะบุคคล การเสียภาษีเหมือนบุคคลธรรมดาที่อัตราก้าวหน้า ดังนั้นวิธีนี้จะเสียภาษีค่อนข้างเยอะหน่อย ถ้าเป็นผม ผมไม่แนะนำวิธีนี้ครับ

ส่วนห้างหุ้นส่วนจำกัด (มีหุ้นส่วน 2 คนขึ้นไป) หรือบริษัท (ต้องมีผู้ถือหุ้น 7 คนขึ้นไป) จะเสียในอัตรานิติบุคคล (30% หรือ ถ้าเข้าหลักเกณฑ์ SME ก็ 15%)  แต่ข้อเสียของวิธีนี้คือจะต้องมีเสียค่าใช้จ่ายในการทำบัญชีรายเดือน (3000-5000 บาท) และค่าตรวจสอบบัญชี (ปีละ 12000 - 20000) บาท แต่การตั้งในรูปแบบนี้จะได้ประโยชน์ในแง่เอาค่าใช้จ่ายต่างๆ มาหักภาษีได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยกว่าแบบคณะบุคคล

ลองศึกษาดูครับ ถ้าสามารถตั้งให้เข้าเกณฑ์ของ SME ได้จะประหยัดภาษีได้เยอะเลย ผมว่าต้องวางแผนภาษีดีๆ นะครับ อ้อ รายได้จากเงินปันผลจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนจำกัด ก็เครดิตภาษีได้นะครับ เพราะเราเสียภาษีไปแล้วกับภาษีของนิติบุคคล

ขอบพระคุณอย่าสูงครับ
พี่ๆที่นี่ใจดีทุกคนเลย

จดทะเบียนดีกว่าแน่นอนครับเพราะรายได้เกินล้านแน่นอน ถ้าไม่จดหักแวทคืนไม่ได้นะครับ เสียแวทบานเลย
เรื่อง7ลองเสริชดูก่อนละกันครับ เคยอ่านผ่านๆก็มีคนบ่นเยอะเลยเรื่องรายได้ไม่ได้เยอะมากถ้าสาขาไหนขายดีมาเปิดข้างๆเราอีก

ขอบคุณสำหรับทุกคำแนะนำครับ

ระวังเรื่องสาขาเปิดติดๆกันหน่อยก้อดีครับ ซอยบ้านผมมี 2 สาขาห่างกัน 150 m.

โหวตให้แล้วครับ
จดดีกว่าเยอะ เน้น เยอะ