3 นักวิเคราะห์ 1 เซียนหุ้นปันผล แนะวิธีหาหุ้นลงทุนหวังผลกำไร
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ย. 05, 2010 8:34 am
3 นักวิเคราะห์ 1 เซียนหุ้นปันผล แนะวิธีหาหุ้นลงทุนหวังผลกำไรได้ทั้งระยะกลางและระยะยาว
เทพ รุ่งธนาภิรมย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนหุ้นปันผลที่ประสบความสำเร็จมายาวนานเกือบ 30 ปี เขาเป็นผู้เขียนหนังสือขายดี กลยุทธ์หุ้นห่านทองคำ ที่โด่งดัง ห่านทองคำในความหมายของเทพ จริงๆ แล้วไม่ใช่เป็นหุ้นเพียงอย่างเดียว แต่หมายรวมถึงทรัพย์สินที่สามารถทำให้เกิดรายได้ที่ "สม่ำเสมอ" อย่างเช่น การฝากเงินกินดอกเบี้ย การลงทุนสร้างอพาร์ตเมนต์เก็บค่าเช่า ฯลฯ เพียงแต่สถานการณ์ปัจจุบันทำให้การลงทุนในทรัพย์สินประเภทอื่นไม่ให้ผลตอบแทนเท่าที่ควร
เทพ ยกวิธีการเลือกหุ้นที่จะลงทุนว่ายึดหลัก 3 ข้อตามแนวทางของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ คือ หนึ่ง. เป็นธุรกิจที่มีอนาคตและเข้าใจมัน สอง. ผู้บริหารมีคุณธรรมและมีฝีมือ และ สาม. ราคาต้องมีเหตุผล
สิ่งสำคัญบริษัทนั้น ต้องมี "แวลูครีเอชั่น" หรือคุณค่าในตัวเองต้องจำไว้เสมอว่าหุ้นไม่ใช่กระดาษที่ซื้อมาขายไปแต่ต้องมีสิ่งพิเศษอยู่ในตัวบริษัท ตัวอย่างเช่นสินค้าที่จำหน่ายเป็นที่ต้องการของตลาดหรือไม่ ถ้าต้องสำรองด้อยค่าสินทรัพย์เรื่อยๆ แบบนี้ไม่ดี ลูกหนี้การค้าเรียกเก็บได้หมดหรือไม่ ตรงนี้สามารถดูได้ที่รายงานประจำปี
สิ่งที่จะสร้างมูลค่าให้กับบริษัทได้อย่างมหาศาลคือทรัพย์สินที่ไม่มีตัวตนหรือ แบรนด์ ซึ่งเป็นค่าความนิยมทางเศรษฐกิจแม้จะลงในบัญชีไม่ได้แต่ทำให้บริษัทสามารถแข่งขันได้ระยะยาว
ผมยังไม่ได้แตะราคาหุ้นเลยด้วยซ้ำอยากให้มาดูที่คุณภาพของบริษัทที่เราเป็นเจ้าของดีกว่า ราคาหุ้นเป็นสิ่งที่คนภายนอกมอง ไม่ใช่ผู้ถือหุ้น
เทพ ยกตัวอย่างหุ้น 5 ตัวหลักในพอร์ต (จริงๆ มีมากกว่านั้น) ถือมานานหลายปีและมีต้นทุนต่ำคือ น้ำมันพืชไทย (TVO) ล่ำสูง (LST) เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ (TTA) และอินโดรามา โพลีเมอร์ส (IRP) ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น อินโดรามา เวนเจอร์ส (IVL) ทั้งหมดนี้ราคาหุ้นตกลงเกิน 60% ทั้งหมดในช่วงที่เกิดวิกฤติซับไพร์ม แต่สุดท้ายก็กลับมาได้ทั้งหมดและราคาหุ้นยังสูงกว่าเดิมอีกด้วย
ราคาหุ้น TVO ที่เขาซื้อมีต้นทุน 11 บาท ราคาตอนนี้ปรับขึ้นกว่า 200% หุ้น IVL มีต้นทุน 3.12 บาท ตอนนี้มีกำไรกว่า 600% สองบริษัทนี้เลือกลงทุนจากเหตุผลที่ว่า TVO มีสินทรัพย์ที่ดีคือตัวโรงงานและสินค้ามีแบรนด์ติดตลาด ส่วน IVL มี ROE ที่สูงมากและมีกระแสเงินสดที่ดี
"ตอนนั้นผมก็ใจหายเหมือนกันแต่นึกถึงบัฟเฟตต์ที่บอกว่าให้ถือหุ้น(ดี)ไปนานๆ เลยตั้งตัวกลับมาได้ เสียดายอย่างเดียวว่าตอนนั้นเงินสดมีไม่พอซื้อเพิ่ม เพราะหุ้น 5 ตัวดังกล่าวราคาต่ำกว่า Book Value หมดเลย"
กวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย แนะวิธีเลือกหุ้นลงทุนระยะยาวที่อาจจะต้องถือไปตลอดชีวิตมีหลัก 9 ข้อ
1. เลือกบริษัทที่ทำธุรกิจผูกขาดหรือมีมาร์เกตแชร์อันดับหนึ่ง
2. มีสถานะการเงินแข็งแกร่งมีหนี้สินน้อยมาก
3. กำไรต่อหุ้นหลายปีย้อนหลังนิ่งหรือเพิ่มขึ้นตลอด
4. ลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องเท่านั้น ถ้าทำหลายอย่างจะโฟกัสยาก
5. มีผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) สูงที่สุดในอุตสาหกรรม
6. มีอำนาจในการปรับราคาขายกับลูกค้าในระดับสูง ดูได้ที่อัตรากำไรขั้นต้นจะอยู่ในระดับสูงคงที่
7. บริษัทที่ไม่จำเป็นต้องลงทุนเยอะหรือเพิ่มทุนบ่อยๆ ในอนาคตแต่ยอดขายโตทุกปี
8. ผู้บริหารจะต้องมีความสามารถ และ
9. ผู้บริหารต้องมีธรรมาภิบาล
สิ่งที่หุ้นห่านทองคำจะต้องมี คือ แบรนด์ที่แข็งแกร่งให้คนกลับมาซื้อหรือใช้บริการต่อเนื่อง แม้จะเกิดวิกฤติจะกลับมาได้เสมอ
ที่สำคัญนักลงทุนควรหาหุ้นที่จ่ายปันผลดีๆ ติดพอร์ต หรือ หุ้น Super Dividend ตัวอย่างเช่น หุ้นมาม่า (TF) สมัยก่อนราคาเพียง 10 บาท จ่ายปันผลหุ้นละ 1 บาท หรือ ผลตอบแทน 10% ปัจจุบันราคา 1,150 บาท ปันผล 10 บาท แต่คิดเป็นผลตอบแทนแค่ 1% แบบนี้ถือว่าเราได้ผลตอบแทนเป็น 100% ในต้นทุนที่เท่าเดิม ถ้าถือโดยไม่ขาย รวมถึงหุ้นโรงพยาบาลรามคำแหง (RAM) หุ้นฟาร์มเฮ้าส์ (PB) หุ้นซอสภูเขาทอง (SAUCE) หุ้นโรงแรมโอเรียลเต็ล (OHTL) ก็อยู่ในข่ายนี้ ถ้าเราเจอหุ้นที่คาดว่าจะเป็นแบบนี้ต้องถือยาวจนตลอดชีวิต
ด้านสองนักวิเคราะห์ชั้นนำ มองว่า จะหาหุ้นลงทุนหวังกำไรระยะกลางตอนนี้ อย่าดูที่ SET Index เพราะยังมีหุ้นหลายตัวที่แนวโน้มเติบโต แต่ราคาหุ้นยังไม่สนองตอบ แนะหุ้นบางตัว หมดเวลา ของมันไปแล้ว
วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการบริหารสายงานวิจัย บล.ทรีนีตี้ แนะนำหุ้นที่ควรลงทุนในภาวะปัจจุบันขอให้เป็นบริษัทที่สามารถผ่านวิกฤติเศรษฐกิจทั้งสองครั้งมาได้แสดงถึงความสามารถของผู้บริหาร ปัจจุบันมีอยู่ 15 บริษัท เช่น BBL KBANK SCC หรือหุ้นขนาดกลางอย่าง BGH ก็มีการเติบโตจากการซื้อกิจการ รวมถึง DCC ที่มีเงินสดเยอะ และมีมาร์เกตแชร์สูงถึง 60%
นอกจากนี้ ยังต้องมี ROE ในระดับสูง โดยปกติจะเกิดขึ้นจาก 3 ปัจจัย คือ หนึ่ง. ใช้หนี้สินมาต่อยอดกำไรหรือ Leverage แบบนี้ "อันตราย" สอง. มาจากกำไรสุทธิที่สูงก็ยังไม่แน่นอนเพราะอาจจะมาจากซื้อวัสดุต้นทุนต่ำมาขายก็ได้ ถ้าจะให้แข็งแกร่งและมั่นคงต้องแบบที่ สาม. เป็นบริษัทที่มีอัตราหมุนเวียนของสินทรัพย์ที่เร็ว หรือนำเงินไปต่อเงินได้ดี เช่น PS SCC และ AP
นอกจากนี้ ราคาต้องสมเหตุผลและมีโอกาสเติบโตในอนาคต อย่างหุ้น GLOW จะมีการเติบโตรวดเร็วในอีก 3 ปีข้างหน้าจากกำลังการผลิตที่สูงขึ้นและมีรายได้สม่ำเสมอรวมถึง Dividend Yield ก็อยู่ที่ 5-6% หุ้น ADVANC ก็กำลังเปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจครั้งใหญ่ถ้ามี 3จี และค่าพี/อียังไม่สูงด้วย
ส่วนหุ้นที่ไม่ควรลงทุนและต้องระมัดระวังให้มากคือ "หุ้นตัวเล็ก" ที่ผลดำเนินการไม่ดี แต่ราคาขึ้นมาสูงแล้ว อย่างหุ้น TRUE แม้จะรับข่าวประมูล 3จี แต่ยังติดปัญหาหนี้สินที่เยอะอยู่รวมถึงต้องหาพันธมิตรมาช่วยประมูล 3จีและอาจจะต้องนำทรูมูฟเข้าตลาดหุ้น ดูแล้วปัจจัยลบเยอะกว่าข่าวดี
รวมถึงหุ้นตัวใหญ่ที่ราคาลงมาเยอะแต่ดูแล้วยัง Under Perform อย่างหุ้นโรงกลั่นและปิโตรเคมี เช่น PTTAR IRPC TOP ปีนี้ผลประกอบการไม่โดดเด่นถ้ายังไม่มีแนะว่า "อย่าเพิ่งเข้า" ดีกว่า
หุ้นที่ขึ้นแบบไม่มีเหตุผลสุดท้ายเมื่อไม่มีข่าวดีมารองรับราคาหุ้นจะร่วงแน่นอนขอให้ระวังดีๆ
พิชัย เลิศสุพงศ์กิจ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส บล.ธนชาต ให้น้ำหนักไปที่หุ้นกลุ่มพลังงานขนาดใหญ่ที่ไม่ใช่โรงกลั่นและปิโตรเคมี เช่น PTT PTTEP BANPU ที่ยังมีอัพไซด์เหลือให้ลงทุนได้ ส่วนหุ้น SCC จะถึงเวลา "เก็บเกี่ยว" ในปี 2554 และธุรกิจซีเมนต์รวมถึงกระดาษน่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ราคาหุ้นตอนนี้ยังห่างจากราคาเป้าหมาย 340 บาทมากแถมปีหน้ามีลุ้นจ่ายปันผลมากขึ้นด้วย
ส่วนหุ้นธนาคารพาณิชย์ปีหน้าถ้าเศรษฐกิจฟื้นตัวเต็มที่ ธนาคารที่มีพอร์ตสินเชื่อรายย่อยกับเอสเอ็มอีสัดส่วนที่สูงก็จะได้เปรียบ เช่น KBANK ส่วนหุ้น BAY ดูแล้วยัง Under Perform เทียบกับการตั้งสำรองที่เกือบครบแล้วและมีพอร์ตรายย่อยถึง 50% BBL ยังมีสภาพคล่องสูงแต่อาจจะมาช้าหน่อยเพราะสินเชื่อบริษัทขนาดใหญ่น่าจะกลับมาในอีก 18 เดือน ส่วน TMB มองว่าถึงจุดเทิร์นอะราวด์จริง แต่ราคาตอนนี้คิดว่า "ไปเร็วเกินไป"
หุ้น AOT ก็ยัง Under Perform ส่วน THAI แม้จะขึ้นมาเยอะแต่ถ้าการท่องเที่ยวกลับมาก็จะฟื้นเร็วแถมต้นทุนดำเนินงานก็ลดลงอย่างมาก ส่วน PS และ LPN ยังมีอัพไซด์และมีสตอรี่เติบโตที่ดีต่อเนื่อง BANPU และ TUF ก็น่าสนใจเพราะไปซื้อกิจการในต่างประเทศรองรับการเติบโตในอนาคต
ส่วนหุ้นที่ไม่ควรลงทุนให้ดูเป็นรายกลุ่มอย่างกลุ่มค้าปลีก ยานยนต์ และเกษตร ตอนนี้วิ่งขึ้นไปเทรดที่ระดับสูงสุดแล้ว หุ้นกลุ่มที่ยังมีอัพไซด์เช่นพลังงานยังเทรดที่ค่ากลางอยู่ รวมถึงโรงพยาบาล สื่อสาร อสังหาริมทรัพย์ และขนส่ง พวกนี้ยังพอมีช่องทำกำไรได้แต่ขอให้เลือกเป็นรายตัวดีกว่า
.......................................
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id ... &gblog=104
เทพ รุ่งธนาภิรมย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนหุ้นปันผลที่ประสบความสำเร็จมายาวนานเกือบ 30 ปี เขาเป็นผู้เขียนหนังสือขายดี กลยุทธ์หุ้นห่านทองคำ ที่โด่งดัง ห่านทองคำในความหมายของเทพ จริงๆ แล้วไม่ใช่เป็นหุ้นเพียงอย่างเดียว แต่หมายรวมถึงทรัพย์สินที่สามารถทำให้เกิดรายได้ที่ "สม่ำเสมอ" อย่างเช่น การฝากเงินกินดอกเบี้ย การลงทุนสร้างอพาร์ตเมนต์เก็บค่าเช่า ฯลฯ เพียงแต่สถานการณ์ปัจจุบันทำให้การลงทุนในทรัพย์สินประเภทอื่นไม่ให้ผลตอบแทนเท่าที่ควร
เทพ ยกวิธีการเลือกหุ้นที่จะลงทุนว่ายึดหลัก 3 ข้อตามแนวทางของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ คือ หนึ่ง. เป็นธุรกิจที่มีอนาคตและเข้าใจมัน สอง. ผู้บริหารมีคุณธรรมและมีฝีมือ และ สาม. ราคาต้องมีเหตุผล
สิ่งสำคัญบริษัทนั้น ต้องมี "แวลูครีเอชั่น" หรือคุณค่าในตัวเองต้องจำไว้เสมอว่าหุ้นไม่ใช่กระดาษที่ซื้อมาขายไปแต่ต้องมีสิ่งพิเศษอยู่ในตัวบริษัท ตัวอย่างเช่นสินค้าที่จำหน่ายเป็นที่ต้องการของตลาดหรือไม่ ถ้าต้องสำรองด้อยค่าสินทรัพย์เรื่อยๆ แบบนี้ไม่ดี ลูกหนี้การค้าเรียกเก็บได้หมดหรือไม่ ตรงนี้สามารถดูได้ที่รายงานประจำปี
สิ่งที่จะสร้างมูลค่าให้กับบริษัทได้อย่างมหาศาลคือทรัพย์สินที่ไม่มีตัวตนหรือ แบรนด์ ซึ่งเป็นค่าความนิยมทางเศรษฐกิจแม้จะลงในบัญชีไม่ได้แต่ทำให้บริษัทสามารถแข่งขันได้ระยะยาว
ผมยังไม่ได้แตะราคาหุ้นเลยด้วยซ้ำอยากให้มาดูที่คุณภาพของบริษัทที่เราเป็นเจ้าของดีกว่า ราคาหุ้นเป็นสิ่งที่คนภายนอกมอง ไม่ใช่ผู้ถือหุ้น
เทพ ยกตัวอย่างหุ้น 5 ตัวหลักในพอร์ต (จริงๆ มีมากกว่านั้น) ถือมานานหลายปีและมีต้นทุนต่ำคือ น้ำมันพืชไทย (TVO) ล่ำสูง (LST) เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ (TTA) และอินโดรามา โพลีเมอร์ส (IRP) ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น อินโดรามา เวนเจอร์ส (IVL) ทั้งหมดนี้ราคาหุ้นตกลงเกิน 60% ทั้งหมดในช่วงที่เกิดวิกฤติซับไพร์ม แต่สุดท้ายก็กลับมาได้ทั้งหมดและราคาหุ้นยังสูงกว่าเดิมอีกด้วย
ราคาหุ้น TVO ที่เขาซื้อมีต้นทุน 11 บาท ราคาตอนนี้ปรับขึ้นกว่า 200% หุ้น IVL มีต้นทุน 3.12 บาท ตอนนี้มีกำไรกว่า 600% สองบริษัทนี้เลือกลงทุนจากเหตุผลที่ว่า TVO มีสินทรัพย์ที่ดีคือตัวโรงงานและสินค้ามีแบรนด์ติดตลาด ส่วน IVL มี ROE ที่สูงมากและมีกระแสเงินสดที่ดี
"ตอนนั้นผมก็ใจหายเหมือนกันแต่นึกถึงบัฟเฟตต์ที่บอกว่าให้ถือหุ้น(ดี)ไปนานๆ เลยตั้งตัวกลับมาได้ เสียดายอย่างเดียวว่าตอนนั้นเงินสดมีไม่พอซื้อเพิ่ม เพราะหุ้น 5 ตัวดังกล่าวราคาต่ำกว่า Book Value หมดเลย"
กวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย แนะวิธีเลือกหุ้นลงทุนระยะยาวที่อาจจะต้องถือไปตลอดชีวิตมีหลัก 9 ข้อ
1. เลือกบริษัทที่ทำธุรกิจผูกขาดหรือมีมาร์เกตแชร์อันดับหนึ่ง
2. มีสถานะการเงินแข็งแกร่งมีหนี้สินน้อยมาก
3. กำไรต่อหุ้นหลายปีย้อนหลังนิ่งหรือเพิ่มขึ้นตลอด
4. ลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องเท่านั้น ถ้าทำหลายอย่างจะโฟกัสยาก
5. มีผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) สูงที่สุดในอุตสาหกรรม
6. มีอำนาจในการปรับราคาขายกับลูกค้าในระดับสูง ดูได้ที่อัตรากำไรขั้นต้นจะอยู่ในระดับสูงคงที่
7. บริษัทที่ไม่จำเป็นต้องลงทุนเยอะหรือเพิ่มทุนบ่อยๆ ในอนาคตแต่ยอดขายโตทุกปี
8. ผู้บริหารจะต้องมีความสามารถ และ
9. ผู้บริหารต้องมีธรรมาภิบาล
สิ่งที่หุ้นห่านทองคำจะต้องมี คือ แบรนด์ที่แข็งแกร่งให้คนกลับมาซื้อหรือใช้บริการต่อเนื่อง แม้จะเกิดวิกฤติจะกลับมาได้เสมอ
ที่สำคัญนักลงทุนควรหาหุ้นที่จ่ายปันผลดีๆ ติดพอร์ต หรือ หุ้น Super Dividend ตัวอย่างเช่น หุ้นมาม่า (TF) สมัยก่อนราคาเพียง 10 บาท จ่ายปันผลหุ้นละ 1 บาท หรือ ผลตอบแทน 10% ปัจจุบันราคา 1,150 บาท ปันผล 10 บาท แต่คิดเป็นผลตอบแทนแค่ 1% แบบนี้ถือว่าเราได้ผลตอบแทนเป็น 100% ในต้นทุนที่เท่าเดิม ถ้าถือโดยไม่ขาย รวมถึงหุ้นโรงพยาบาลรามคำแหง (RAM) หุ้นฟาร์มเฮ้าส์ (PB) หุ้นซอสภูเขาทอง (SAUCE) หุ้นโรงแรมโอเรียลเต็ล (OHTL) ก็อยู่ในข่ายนี้ ถ้าเราเจอหุ้นที่คาดว่าจะเป็นแบบนี้ต้องถือยาวจนตลอดชีวิต
ด้านสองนักวิเคราะห์ชั้นนำ มองว่า จะหาหุ้นลงทุนหวังกำไรระยะกลางตอนนี้ อย่าดูที่ SET Index เพราะยังมีหุ้นหลายตัวที่แนวโน้มเติบโต แต่ราคาหุ้นยังไม่สนองตอบ แนะหุ้นบางตัว หมดเวลา ของมันไปแล้ว
วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการบริหารสายงานวิจัย บล.ทรีนีตี้ แนะนำหุ้นที่ควรลงทุนในภาวะปัจจุบันขอให้เป็นบริษัทที่สามารถผ่านวิกฤติเศรษฐกิจทั้งสองครั้งมาได้แสดงถึงความสามารถของผู้บริหาร ปัจจุบันมีอยู่ 15 บริษัท เช่น BBL KBANK SCC หรือหุ้นขนาดกลางอย่าง BGH ก็มีการเติบโตจากการซื้อกิจการ รวมถึง DCC ที่มีเงินสดเยอะ และมีมาร์เกตแชร์สูงถึง 60%
นอกจากนี้ ยังต้องมี ROE ในระดับสูง โดยปกติจะเกิดขึ้นจาก 3 ปัจจัย คือ หนึ่ง. ใช้หนี้สินมาต่อยอดกำไรหรือ Leverage แบบนี้ "อันตราย" สอง. มาจากกำไรสุทธิที่สูงก็ยังไม่แน่นอนเพราะอาจจะมาจากซื้อวัสดุต้นทุนต่ำมาขายก็ได้ ถ้าจะให้แข็งแกร่งและมั่นคงต้องแบบที่ สาม. เป็นบริษัทที่มีอัตราหมุนเวียนของสินทรัพย์ที่เร็ว หรือนำเงินไปต่อเงินได้ดี เช่น PS SCC และ AP
นอกจากนี้ ราคาต้องสมเหตุผลและมีโอกาสเติบโตในอนาคต อย่างหุ้น GLOW จะมีการเติบโตรวดเร็วในอีก 3 ปีข้างหน้าจากกำลังการผลิตที่สูงขึ้นและมีรายได้สม่ำเสมอรวมถึง Dividend Yield ก็อยู่ที่ 5-6% หุ้น ADVANC ก็กำลังเปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจครั้งใหญ่ถ้ามี 3จี และค่าพี/อียังไม่สูงด้วย
ส่วนหุ้นที่ไม่ควรลงทุนและต้องระมัดระวังให้มากคือ "หุ้นตัวเล็ก" ที่ผลดำเนินการไม่ดี แต่ราคาขึ้นมาสูงแล้ว อย่างหุ้น TRUE แม้จะรับข่าวประมูล 3จี แต่ยังติดปัญหาหนี้สินที่เยอะอยู่รวมถึงต้องหาพันธมิตรมาช่วยประมูล 3จีและอาจจะต้องนำทรูมูฟเข้าตลาดหุ้น ดูแล้วปัจจัยลบเยอะกว่าข่าวดี
รวมถึงหุ้นตัวใหญ่ที่ราคาลงมาเยอะแต่ดูแล้วยัง Under Perform อย่างหุ้นโรงกลั่นและปิโตรเคมี เช่น PTTAR IRPC TOP ปีนี้ผลประกอบการไม่โดดเด่นถ้ายังไม่มีแนะว่า "อย่าเพิ่งเข้า" ดีกว่า
หุ้นที่ขึ้นแบบไม่มีเหตุผลสุดท้ายเมื่อไม่มีข่าวดีมารองรับราคาหุ้นจะร่วงแน่นอนขอให้ระวังดีๆ
พิชัย เลิศสุพงศ์กิจ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส บล.ธนชาต ให้น้ำหนักไปที่หุ้นกลุ่มพลังงานขนาดใหญ่ที่ไม่ใช่โรงกลั่นและปิโตรเคมี เช่น PTT PTTEP BANPU ที่ยังมีอัพไซด์เหลือให้ลงทุนได้ ส่วนหุ้น SCC จะถึงเวลา "เก็บเกี่ยว" ในปี 2554 และธุรกิจซีเมนต์รวมถึงกระดาษน่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ราคาหุ้นตอนนี้ยังห่างจากราคาเป้าหมาย 340 บาทมากแถมปีหน้ามีลุ้นจ่ายปันผลมากขึ้นด้วย
ส่วนหุ้นธนาคารพาณิชย์ปีหน้าถ้าเศรษฐกิจฟื้นตัวเต็มที่ ธนาคารที่มีพอร์ตสินเชื่อรายย่อยกับเอสเอ็มอีสัดส่วนที่สูงก็จะได้เปรียบ เช่น KBANK ส่วนหุ้น BAY ดูแล้วยัง Under Perform เทียบกับการตั้งสำรองที่เกือบครบแล้วและมีพอร์ตรายย่อยถึง 50% BBL ยังมีสภาพคล่องสูงแต่อาจจะมาช้าหน่อยเพราะสินเชื่อบริษัทขนาดใหญ่น่าจะกลับมาในอีก 18 เดือน ส่วน TMB มองว่าถึงจุดเทิร์นอะราวด์จริง แต่ราคาตอนนี้คิดว่า "ไปเร็วเกินไป"
หุ้น AOT ก็ยัง Under Perform ส่วน THAI แม้จะขึ้นมาเยอะแต่ถ้าการท่องเที่ยวกลับมาก็จะฟื้นเร็วแถมต้นทุนดำเนินงานก็ลดลงอย่างมาก ส่วน PS และ LPN ยังมีอัพไซด์และมีสตอรี่เติบโตที่ดีต่อเนื่อง BANPU และ TUF ก็น่าสนใจเพราะไปซื้อกิจการในต่างประเทศรองรับการเติบโตในอนาคต
ส่วนหุ้นที่ไม่ควรลงทุนให้ดูเป็นรายกลุ่มอย่างกลุ่มค้าปลีก ยานยนต์ และเกษตร ตอนนี้วิ่งขึ้นไปเทรดที่ระดับสูงสุดแล้ว หุ้นกลุ่มที่ยังมีอัพไซด์เช่นพลังงานยังเทรดที่ค่ากลางอยู่ รวมถึงโรงพยาบาล สื่อสาร อสังหาริมทรัพย์ และขนส่ง พวกนี้ยังพอมีช่องทำกำไรได้แต่ขอให้เลือกเป็นรายตัวดีกว่า
.......................................
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id ... &gblog=104