อสูรกายในขวดแก้ว by IH.
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 29, 2010 4:21 pm
อ่านเจอใน Greenbull ห้อง value
คิดว่าสนุกและมีประโยชน์เลยเอามาฝากครับ พี่ IH. เป็นคนเขียน
« เมื่อ 19/08/2010 , 00:15:06 » Edit
--------------------------------------------------------------------------------
ผมเคยได้เขียนเล่าเรื่อง " อสูรกายในขวดแก้ว " ไว้ตั้งแต่ปลายปี 2546 ซึ่งปีนั้นเป็นปีที่ตลาดหุ้นขึ้นจาก 380 จุดเป็น 800 จุด ซึ่งหุ้นในตลาดได้ขึ้นเยอะมากทั้งหุ้นพื้นฐานอย่าง PTT หรือกระทั่งหุ้นเก็งกำไร หุ้นหลายตัวขึ้นไปหลายเท่าตัว ท้ายสุดตลาดหุ้นในปี 2547 ก็ปรับตัวลงอย่างรุนแรงจนเหลือ 580 จุด ซึ่งคนที่ถือหุ้นที่พอมีพื้นฐานก็ไม่เสียหายมากนัก แต่คนที่ติดหุ้นเก็งกำไรในรอบนั้ันอาจจะขาดทุนได้ถึง 90- 99% ครับ ถ้าใครนึกไม่ถึงว่าขาดทุนมากกว่า 99% มีได้ที่ไหนกัน ผมใบ้ให้ครับว่าเป็นหุ้นอสังหาฯ ตัวหนึ่งที่เคยมี mkt cap ขึ้นไปถึงกว่า 6-7 หมื่นล้านครับ
ตลาดรอบนี้แม้จะไม่ร้อนแรงเท่าปี 2546 แต่เริ่มเห็นสัญญาณฟองสบู่ในหุ้นบางตัว และรูปแบบการเก็งกำไรเริ่มเปลี่ยนไป หุ้นที่เก็งกำไรโดยขาดพื้นฐานรองรับอาจจะไม่ได้รับความนิยมเหมือนเดิม และราคาหุ้นส่วนใหญ่ก็ยังไม่ถึงกับขึ้นแพงหรือน่าห่วงเท่าตอนปี 2546 แต่บรรยากาศในช่วงนี้ก็ทำให้ผมนึกถึงบทความนี้ขึ้นมา แม้ว่าในปัจจุบันหุ้นอสูรกายยังไม่ได้เกิดขึ้นมากมายนัก แต่การเตือนก่อนเหตุการณ์จะเกิดย่อมดีกว่าการปล่อยให้เกิดไปแล้วจึงมาพูดทีหลังครับ
บทความเรื่อง " อสูรกายในขวดแก้ว "
-----------------------------------------------------------------------
เรื่องนี้เป็นนิยายต่างประเทศ มีชายที่เป็นตัวเอกของเรื่อง ที่มีฐานะไม่สู้ดีนัก หลงรักผู้หญิงคนนึงเป็นลูกสาวเศรษฐี ด้วยความที่มีฐานะด้อยกว่ามากจึงไม่สามารถสู่ขอแต่งงานได้ ชายคนนั้นจึงมีความทุกข์เป็นอย่างมาก จนกระทั่งได้เข้าไปนั่งในร้านเหล้าแห่งหนึ่ง ก็เห็นชายคนหนึ่งเป็นผู้มีอันจะกินแต่งตัวดีมากคนหนึ่ง แต่สีหน้าไม่สู้ดีนัก พระเอกจึงเข้าไปถามว่าพี่ชายก็มีเงินทองขนาดนี้ทำไม่ถึงมีความทุกข์อีกเล่า ชายคนนั้นจึงเล่าให้ฟังว่า เขามีขวดอยู่ใบหนึ่ง มีอสูรกายอยู่ภายในและสามารถขอได้ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นแก้วแหวนเงินทอง คฤหาสน์หลังโต ข้าทาสบริวารจำนวนมาก และเขาอยากจะขายแก้วอสูรกายนี้ให้กับพระเอก แต่มีเงื่อนไขว่าผู้ที่ซื้อขวดนี้จะต้องขายต่อในราคาต่ำกว่าที่ซื้อมาทุกครั้งและหากไม่สามารถขายได้ก่อนตายเมื่อตายไปจะต้องอยู่ในนรกตลอดกาล
พระเอกก็โกรธและกล่าวว่าเอาสิ่งชั่วร้ายอย่างนี้มาให้เขาทำไม ชายคนนั้นใจเย็นและกล่าวต่อว่า " คิดดูสิ เธอก็ซื้อขวดนี้ไป ขอทุกอย่างที่ต้องการให้หมด และขายขวดนี้ไปให้คนอื่น เมื่อก่อนขวดใบนี้ราคาเป็นล้านเหรียญ ต้องเป็นเศรษฐีเท่านั้นถึงซื้อได้ ตอนนี้ดูสิเหลือแค่ 70 เหรียญเอง "
พระเอกด้วยความที่มีความรักอยู่และต้องการเงินเพื่อจะไปแต่งงานกับคนรักซึ่งเป็นลูกสาวเศรษฐีจึงซื้อขวดนี้ไป และสามารถขอทุกอย่างที่ปรารถนาได้ตามที่ชายผู้ขายว่าไว้จริงๆ และความร่ำรวยขึ้นมหาศาลทันตาเห็นทำให้เป็นที่เลื่องลือและมีคนอยากเอาเป็นเยี่ยงอย่าง พระเอกก็สามารถขายขวดนี้ไปได้ไม่ยากเย็นนักในราคา 69 เหรียญ หลังจากนั้นพระเอกก็ไปสู่ขอนางเอกและเข้าพิธีแต่งงานสมใจ
เรื่องราวดูเหมือนจะจบลงแบบ happy แต่เมื่อแต่งงานได้ไม่นาน พระเอกก็พบว่าตัวเองกำลังเป็นโรคเรื้อนซึ่งเป็นโรคที่สมัยนั้นยังไม่สามารถรักษาให้หายได้ พระเอกจึงทุกข์ใจอย่างยิ่งและได้นึถึงขวดอสูรกายขึ้นมา แต่เวลาก็ได้ผ่านไปพอสมควร ขวดใบนั้นได้ถูกเปลี่ยนมือหลายครั้งจนราคาลดลงเรื่อยๆ ด้วยความไม่ยั้งคิดอยากที่จะหายจากโรคร้ายทำให้พระเอกได้ซื้อขวดนี้มาในราคา 1 เซ็นต์ ซึ่งหมายความว่าจะขายในราคาต่ำกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
แม้ว่าพระเอกจะหายจากโรคเรื้อน แต่ก็ต้องพบกับความทุกข์อย่างสาหัสกว่าเดิม เพราะการเก็บขวดไว้จนตายจะต้องเผชิญกับความน่ากลัวอย่างยิ่ง จนนางเอกผู้เป็นภรรยามีความสงสัยจึงได้รู้เรื่องราวความจริงเข้า จึงได้ช่วยหาทางแก้ไข
จนกระทั่งภรรยาสืบทราบว่ามีเมืองแห่งหนึ่งที่หน่วยของเงินเล็กกว่าเซ็นต์ คือ 1 เซ็นต์แลกได้ 5 หน่วยของเงินเมืองนั้น ทั้งคู่จึงเดินทางไป แต่เมื่อทั้งคู่ได้เล่าความทั้งข้อดีและข้อเสียของขวด ก็ไม่มีใครในเมืองยอมซื้อเพราะกลัวที่จะต้องตกนรกตลอดไป ด้วยความเสียสละ นางเอกจึงปลอมตัวเป็นคนมาซื้อขวดไป พระเอกซึ่งไม่รู้จึงขายได้ไปและมีความยินดีอย่างมาก แต่ก็แปลกใจที่ทำไมนางเอกดูเหมือนมีความทุกข์อยู่ ท้ายสุดพระเอกรู้ความจริง จึงทำแบบเดียวกันบ้างคือมาปลอมตัวมาซื้อขวดไปอีก
เรืองนี้จบลงด้วยมีคนเมาและกึ่งๆ บ้ารายหนึ่งมาซื้อขวดไปที่ราคา 1 หน่วย พระเอกนางเอกจึงกลับมาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอีกครั้ง ก็จบแบบ happy ending ตามแบบฉบับนิยายครับ
เรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงหุ้นที่มีการปั่นราคาทุกครั้ง หุ้นที่สามารถขึ้นได้ 3 เท่า 5 เท่าหรือ 10 เท่าตัว ก็เหมือนการซื้อขวดอสูรกายที่สามารถให้โชคลาภได้ แต่สำหรับตลาดหุ้น เราไม่มีทางรู้ว่าเราจะเป็นคนสุดท้ายที่จะถือขวดใบนั้นหรือไม่ครับ และอาจจะมีคนถือขวดใบนั้นได้มากกว่า 1 คนครับ
ดังนั้น ในตลาดแบบนี้มีหุ้นปั่นที่ผมอาจจะเรียกแทนว่าหุ้นอสูรกายจำนวนมาก จึงอยากให้เพื่อนๆ คิดถึงเรื่องนี้ไว้เป็น
คิดว่าสนุกและมีประโยชน์เลยเอามาฝากครับ พี่ IH. เป็นคนเขียน
« เมื่อ 19/08/2010 , 00:15:06 » Edit
--------------------------------------------------------------------------------
ผมเคยได้เขียนเล่าเรื่อง " อสูรกายในขวดแก้ว " ไว้ตั้งแต่ปลายปี 2546 ซึ่งปีนั้นเป็นปีที่ตลาดหุ้นขึ้นจาก 380 จุดเป็น 800 จุด ซึ่งหุ้นในตลาดได้ขึ้นเยอะมากทั้งหุ้นพื้นฐานอย่าง PTT หรือกระทั่งหุ้นเก็งกำไร หุ้นหลายตัวขึ้นไปหลายเท่าตัว ท้ายสุดตลาดหุ้นในปี 2547 ก็ปรับตัวลงอย่างรุนแรงจนเหลือ 580 จุด ซึ่งคนที่ถือหุ้นที่พอมีพื้นฐานก็ไม่เสียหายมากนัก แต่คนที่ติดหุ้นเก็งกำไรในรอบนั้ันอาจจะขาดทุนได้ถึง 90- 99% ครับ ถ้าใครนึกไม่ถึงว่าขาดทุนมากกว่า 99% มีได้ที่ไหนกัน ผมใบ้ให้ครับว่าเป็นหุ้นอสังหาฯ ตัวหนึ่งที่เคยมี mkt cap ขึ้นไปถึงกว่า 6-7 หมื่นล้านครับ
ตลาดรอบนี้แม้จะไม่ร้อนแรงเท่าปี 2546 แต่เริ่มเห็นสัญญาณฟองสบู่ในหุ้นบางตัว และรูปแบบการเก็งกำไรเริ่มเปลี่ยนไป หุ้นที่เก็งกำไรโดยขาดพื้นฐานรองรับอาจจะไม่ได้รับความนิยมเหมือนเดิม และราคาหุ้นส่วนใหญ่ก็ยังไม่ถึงกับขึ้นแพงหรือน่าห่วงเท่าตอนปี 2546 แต่บรรยากาศในช่วงนี้ก็ทำให้ผมนึกถึงบทความนี้ขึ้นมา แม้ว่าในปัจจุบันหุ้นอสูรกายยังไม่ได้เกิดขึ้นมากมายนัก แต่การเตือนก่อนเหตุการณ์จะเกิดย่อมดีกว่าการปล่อยให้เกิดไปแล้วจึงมาพูดทีหลังครับ
บทความเรื่อง " อสูรกายในขวดแก้ว "
-----------------------------------------------------------------------
เรื่องนี้เป็นนิยายต่างประเทศ มีชายที่เป็นตัวเอกของเรื่อง ที่มีฐานะไม่สู้ดีนัก หลงรักผู้หญิงคนนึงเป็นลูกสาวเศรษฐี ด้วยความที่มีฐานะด้อยกว่ามากจึงไม่สามารถสู่ขอแต่งงานได้ ชายคนนั้นจึงมีความทุกข์เป็นอย่างมาก จนกระทั่งได้เข้าไปนั่งในร้านเหล้าแห่งหนึ่ง ก็เห็นชายคนหนึ่งเป็นผู้มีอันจะกินแต่งตัวดีมากคนหนึ่ง แต่สีหน้าไม่สู้ดีนัก พระเอกจึงเข้าไปถามว่าพี่ชายก็มีเงินทองขนาดนี้ทำไม่ถึงมีความทุกข์อีกเล่า ชายคนนั้นจึงเล่าให้ฟังว่า เขามีขวดอยู่ใบหนึ่ง มีอสูรกายอยู่ภายในและสามารถขอได้ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นแก้วแหวนเงินทอง คฤหาสน์หลังโต ข้าทาสบริวารจำนวนมาก และเขาอยากจะขายแก้วอสูรกายนี้ให้กับพระเอก แต่มีเงื่อนไขว่าผู้ที่ซื้อขวดนี้จะต้องขายต่อในราคาต่ำกว่าที่ซื้อมาทุกครั้งและหากไม่สามารถขายได้ก่อนตายเมื่อตายไปจะต้องอยู่ในนรกตลอดกาล
พระเอกก็โกรธและกล่าวว่าเอาสิ่งชั่วร้ายอย่างนี้มาให้เขาทำไม ชายคนนั้นใจเย็นและกล่าวต่อว่า " คิดดูสิ เธอก็ซื้อขวดนี้ไป ขอทุกอย่างที่ต้องการให้หมด และขายขวดนี้ไปให้คนอื่น เมื่อก่อนขวดใบนี้ราคาเป็นล้านเหรียญ ต้องเป็นเศรษฐีเท่านั้นถึงซื้อได้ ตอนนี้ดูสิเหลือแค่ 70 เหรียญเอง "
พระเอกด้วยความที่มีความรักอยู่และต้องการเงินเพื่อจะไปแต่งงานกับคนรักซึ่งเป็นลูกสาวเศรษฐีจึงซื้อขวดนี้ไป และสามารถขอทุกอย่างที่ปรารถนาได้ตามที่ชายผู้ขายว่าไว้จริงๆ และความร่ำรวยขึ้นมหาศาลทันตาเห็นทำให้เป็นที่เลื่องลือและมีคนอยากเอาเป็นเยี่ยงอย่าง พระเอกก็สามารถขายขวดนี้ไปได้ไม่ยากเย็นนักในราคา 69 เหรียญ หลังจากนั้นพระเอกก็ไปสู่ขอนางเอกและเข้าพิธีแต่งงานสมใจ
เรื่องราวดูเหมือนจะจบลงแบบ happy แต่เมื่อแต่งงานได้ไม่นาน พระเอกก็พบว่าตัวเองกำลังเป็นโรคเรื้อนซึ่งเป็นโรคที่สมัยนั้นยังไม่สามารถรักษาให้หายได้ พระเอกจึงทุกข์ใจอย่างยิ่งและได้นึถึงขวดอสูรกายขึ้นมา แต่เวลาก็ได้ผ่านไปพอสมควร ขวดใบนั้นได้ถูกเปลี่ยนมือหลายครั้งจนราคาลดลงเรื่อยๆ ด้วยความไม่ยั้งคิดอยากที่จะหายจากโรคร้ายทำให้พระเอกได้ซื้อขวดนี้มาในราคา 1 เซ็นต์ ซึ่งหมายความว่าจะขายในราคาต่ำกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
แม้ว่าพระเอกจะหายจากโรคเรื้อน แต่ก็ต้องพบกับความทุกข์อย่างสาหัสกว่าเดิม เพราะการเก็บขวดไว้จนตายจะต้องเผชิญกับความน่ากลัวอย่างยิ่ง จนนางเอกผู้เป็นภรรยามีความสงสัยจึงได้รู้เรื่องราวความจริงเข้า จึงได้ช่วยหาทางแก้ไข
จนกระทั่งภรรยาสืบทราบว่ามีเมืองแห่งหนึ่งที่หน่วยของเงินเล็กกว่าเซ็นต์ คือ 1 เซ็นต์แลกได้ 5 หน่วยของเงินเมืองนั้น ทั้งคู่จึงเดินทางไป แต่เมื่อทั้งคู่ได้เล่าความทั้งข้อดีและข้อเสียของขวด ก็ไม่มีใครในเมืองยอมซื้อเพราะกลัวที่จะต้องตกนรกตลอดไป ด้วยความเสียสละ นางเอกจึงปลอมตัวเป็นคนมาซื้อขวดไป พระเอกซึ่งไม่รู้จึงขายได้ไปและมีความยินดีอย่างมาก แต่ก็แปลกใจที่ทำไมนางเอกดูเหมือนมีความทุกข์อยู่ ท้ายสุดพระเอกรู้ความจริง จึงทำแบบเดียวกันบ้างคือมาปลอมตัวมาซื้อขวดไปอีก
เรืองนี้จบลงด้วยมีคนเมาและกึ่งๆ บ้ารายหนึ่งมาซื้อขวดไปที่ราคา 1 หน่วย พระเอกนางเอกจึงกลับมาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอีกครั้ง ก็จบแบบ happy ending ตามแบบฉบับนิยายครับ
เรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงหุ้นที่มีการปั่นราคาทุกครั้ง หุ้นที่สามารถขึ้นได้ 3 เท่า 5 เท่าหรือ 10 เท่าตัว ก็เหมือนการซื้อขวดอสูรกายที่สามารถให้โชคลาภได้ แต่สำหรับตลาดหุ้น เราไม่มีทางรู้ว่าเราจะเป็นคนสุดท้ายที่จะถือขวดใบนั้นหรือไม่ครับ และอาจจะมีคนถือขวดใบนั้นได้มากกว่า 1 คนครับ
ดังนั้น ในตลาดแบบนี้มีหุ้นปั่นที่ผมอาจจะเรียกแทนว่าหุ้นอสูรกายจำนวนมาก จึงอยากให้เพื่อนๆ คิดถึงเรื่องนี้ไว้เป็น