หน้า 1 จากทั้งหมด 1
พี่ๆ ได้เงินปันผลกัน กี่ เปอร์เซ็นต์
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 20, 2010 3:29 pm
โดย tradtrae
ผม เตร็ดเตร่เพิ่งหัดลงทุน เริ่มเล่นหุ้นเมื่อเดือนมีนา ปีนี้ โดยเน้นลงทุนในหุ้นที่จ่ายเงินปันผลสูงๆ พอได้เงินปันผลปุ๊บ ติดดอยปั๊บทันที 555
หุ้นที่ผมเล่น ผมกระจายไปหลายทิศหลายทาง โดยคิดเสียว่า ถ้าจะมีเสียในมูลค่าหุ้นบ้าง ก็น่าจะเจ็บน้อย
แต่ก็มีลงทุนในหุ้นที่ให้เงินปันผลน้อย yield ไม่กี่เปอร์เซ็น อย่างเช่น ...
หุ้น CPF เป็นต้น เพราะตัวนี้ รัก (เพราะอะไรไม่รู้ 555) ตั้งแต่ผมยังไม่เข้าวงการ
หุ้น IVL ที่อ่านในร้อยหุ้นเห็นว่าเงินสดเขาเยอะ เขาเทคนู้น นี่ นั้น แล้วตื่นตาตื่นใจ อยากครอบครองเป็นเจ้าของกิจการสักเสี้ยวนึง
พอกางเงินปันผลในหุ้นแต่ละตัว เทียบกับราคาที่ได้หุ้นมา ช่วงต้นปี ได้มา ...
o 7.72% เมื่อเทียบกับเงินที่ลงทุนในหุ้น หรือ
o 4.5% ของเงินลงทุนที่อยู่ในพอร์ต
หลังจากนั้น ปรับพอร์ตตัวเองไปมาให้เวียนหัวเล่นๆ พอช่วงกลางปีมีประกาศจ่ายเงินปันผลอีก เริ่มหาตัวใหม่ๆมาเสริมแคลเซียม (หวังว่าไม่ทำให้กระดูกเปราะนะ

) ได้เงินปันผลมา ...
o 3.82% เมื่อเทียบกับเงินที่ลงทุนในหุ้น หรือ
o 2.38% ของเงินลงทุนที่อยู่ในพอร์ต
รวมๆ แล้ว ตอนนี้ได้เงินปันผล 6.88% ของเงินที่ลงทุนในพอร์ต ซึ่งเมื่อเทียบกับเอาเงินไปนอนกลิ้งไปกลิ้งมาที่ธนาคารที่ได้เงินปันผลไม่ถึง 1% ก็ถือว่ากำไรในการลงทุน 5.88% โดยประมาณ
แล้ว... พี่ๆ ได้เงินปันผลกันยังไงบ้างครับ มาเล่าสู่กันฟังบ้าง
จะได้สร้างสีสัน (หรือเปล่าหว่า) ให้กับเวป Thai VI อีกสักเรื่องนึง
พี่ๆ ได้เงินปันผลกัน กี่ เปอร์เซ็นต์
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 20, 2010 11:04 pm
โดย Boyadvance
ขยันมากเลยครับ
ผมนี้ไม่เคยคิดเลยว่าได้ ปันผล กี่เปอร์เซน

:oops:
พี่ๆ ได้เงินปันผลกัน กี่ เปอร์เซ็นต์
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 20, 2010 11:56 pm
โดย yy
ผมตั้งเป้าไว้ที่ 10% ครับ
แต่ยังไปไม่ถึง
เพราะ พอมี capital gain ที่น่าสนใจ ก็ขายไปก่อนจะได้ปันผล
แต่โดยรวมแล้ว ได้ส่วนต่าง (ไม่อยากจะพูดว่า กำไร เพราะในอนาคต อาจจะหายไปก็ได้) มากกว่า 10% เยอะเลยครับ
คงเป็นเพราะช่วงขาขึ้นพอดีนะครับ เลยขายได้ที่ราคาดี
แต่ตอนนี้ ทุกตัวที่เหลืออยู่ คิดจากต้นทุนตอนซื้อ เกิน 10 % เกือบจะทุกตัวครับ :lol: :lol:
พี่ๆ ได้เงินปันผลกัน กี่ เปอร์เซ็นต์
โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 21, 2010 12:53 am
โดย ส.สลึง
ลงทุนแรกๆ คิดครับ
แต่ระยะหลังไม่เคยคิดเลย
เงินปันผลทุกบาทที่ได้
เอาไป reinvest ตลอดครับ
เวลาคิดผลตอบแทน
ก็จะคิดจาก Capital Gain หัวปี-ท้ายปี
พี่ๆ ได้เงินปันผลกัน กี่ เปอร์เซ็นต์
โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 21, 2010 1:02 am
โดย yy
เห็นด้วยกับคุณ ส. สลึงครับ
เพราะผมก็ reinvest ตลอดเช่นเดียวกัน (และก็เติมเงินใหม่เข้าไปด้วยเรื่อยๆ)
และตอนสิ้นปีก็สรุปแบบเดียวกัน
แต่ก็ยังสรุปยอดรวมของเงินปันผลที่ได้ในแต่ละปี ว่าเป็นสักกี่เปอร์เซ็นต์ของต้นทุนซื้อ (คิดเฉพาะตัวที่ถือจนได้รับปันผล) ซึ่งถ้าดูแนวโน้มในปีนี้ ผมคงเกินเป้า 10 %ละครับ เพราะต้นทุนซื้อหุ้นที่เน้นปันผลนั้น ผมถือยาวมาเกือบๆ 2 ปีแล้วครับ :lol: :lol:
พี่ๆ ได้เงินปันผลกัน กี่ เปอร์เซ็นต์
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 22, 2010 1:06 am
โดย comrade
ตอนเริ่มลงทุนตั้งเป้าหมายไว้เท่าไหร่ครับ
ถ้าัตั้งไว้ 7-8 % มากกว่าฝากธนาคาร 7-8 เท่า ก็ถือว่าเข้าเป้าแล้ว
ถ้าตั้งไว้แค่ 4-5% ก็ทะลุเป้าแล้ว
ดร. นิเวศน์ตั้งเป้าผลตอบแทนการลงทุนแค่ 10-20 % ต่อปีครับ แต่บางปีแกก็ได้เป็นร้อย %
พี่ๆ ได้เงินปันผลกัน กี่ เปอร์เซ็นต์
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 22, 2010 1:09 am
โดย comrade
Sunday, March 7, 2010
อย่าหวังรวยลัดจากตลาดหุ้น - ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ปี 2546 คงจะต้องถูกจารึกว่าเป็นปีที่ตลาดหลักทรัพย์ให้ผลตอบแทนดีที่สุดปีหนึ่งในประวัติศาสตร์ของตลาดหุ้นเพราะดัชนีตลาดปรับตัวขึ้นกว่า 100% จากดัชนีประมาณ 356 จุดเป็นประมาณ 772 จุดในวันสิ้นปี
นักลงทุนทุกกลุ่มในตลาดต่างก็ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ บางคนกำไรหลายร้อยเปอร์เซ็นต์จากเงินที่นำมาลงทุนในหุ้น บางคนกำไรเพียงหลักสิบเปอร์เซ็นต์ ความดีใจและความภาคภูมิใจของนักลงทุนก็ลดหลั่นกันไปตามผลกำไรที่ได้รับเช่นเดียวกับความมั่นใจที่เกิดขึ้นจากการเล่นหุ้น
หลายๆ คนอาจจะเริ่มฝันว่าได้พบหนทางสู่ความมั่งคั่งอย่างง่ายดายและรวดเร็ว บางคนเริ่มคิดถึงวันที่ตนเองจะมีอิสรภาพทางการเงินในไม่ช้าทั้งๆ ที่เพิ่งจะเริ่มเข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์
สิ่งที่คนจำนวนมากในตลาดหุ้นคิดและเชื่อกันในขณะนี้ก็คือหุ้นเป็นทรัพย์สินที่ให้ผลตอบแทนสูงมาก และถ้าทำโพลถามนักลงทุนว่าเขาคิดว่าตลาดหุ้นจะให้ผลตอบแทนเท่าไรในระยะยาว คำตอบคงเป็น 30 40% ต่อปีขึ้นไป โดยเฉพาะในปี 2547 นั้น หุ้นคงจะวิ่งกระฉูดไม่แพ้ปี 2546 เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เอื้ออำนวยต่อตลาดหุ้นก็ยังคงอยู่ และน่าจะดีขึ้นด้วยซ้ำไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งภาวะเศรษฐกิจที่เขาบอกกันว่าจะดียิ่งขึ้นไปอีก
แต่ถ้าถามว่ามีนักลงทุนในตลาดหุ้นกี่คนที่ร่ำรวย หรือมีอิสระทางการเงินแล้วจากการลงทุนในตลาดหุ้น คำตอบก็คือน้อยมาก แม้ว่าจะไม่มีใครทำการศึกษาเรื่องนี้ แต่ผมเชื่อว่าคนที่รวยจากการลงทุนหรือเล่นหุ้นจริงๆ นั้นมีไม่เกิน 1 ใน 100 คนที่มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการลงทุน ผมคิดว่าคงมีพอสมควรหลังจากที่ดัชนีตลาดปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรงในช่วงปีสองปีที่ผ่านมา ส่วนที่เหลือไม่ต่ำกว่า 70 80% ของนักลงทุนนั้น ผมเชื่อว่ายังไม่ได้กำไรจากหุ้นเป็นเรื่องเป็นราวจริงๆ ยกเว้นปี 2546 ที่ได้กำไรชดเชยมาบ้าง
เพราะข้อเท็จของหุ้นก็คือ ในช่วงเกือบ 30 ปีที่ผ่านมา การลงทุนในตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยปีละประมาณ 10% เท่านั้น โดยเป็นผลตอบแทนที่เกิดจากการปรับตัวขึ้นของดัชนีประมาณ 7 8% และผลตอบแทนจากเงินปันผลประมาณ 2 3% ต่อปี และข้อมูลนี้ก็บังเอิญใกล้เคียงกับผลตอบแทนของตลาดหุ้นในสหรัฐที่ให้ผลตอบแทนประมาณ 10 11% ต่อปี โดยเฉลี่ยเป็นระยะเวลา 50 60 ปีขึ้นไป
ข้อเท็จจริงต่อมาของตลาดหุ้นก็คือผลตอบแทนจากการลงทุนมีการขึ้นลงผันผวนไปเรื่อยๆ แม้ว่าการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจจะเดินหน้าต่อเนื่องมายาวนานหลายสิบปีโดยที่มีน้อยครั้งมากที่เศรษฐกิจจะติดลบและเกิดวิกฤติ นานๆครั้งดัชนีตลาดก็จะตกต่ำลงอย่างหนักเป็นเวลา 2 3 ปี เช่นเดียวกับที่บางครั้งดัชนีก็ปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรงเป็นภาวะกระทิงเปลี่ยวอย่างเช่นที่เกิดขึ้นในปีที่แล้ว ข้อสรุปที่ชัดเจนก็คือ ในระยะยาวตลาดไม่สามารถเติบโตเกิน 10 15% ต่อปี โดยเฉลี่ยได้
ด้วยเหตุดังกล่าว นักลงทุนที่คิดว่าตนเองจะสามารถลงทุนทำกำไรจากตลาดหุ้นได้ปีละ 30 40% หรือบางคนคิดว่าจะสามารถกำไรเป็นเท่าตัวในปีเดียวจึงเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีมากเกินไปหรือไม่ก็คงประมาณการฝีมือการลงทุนของตนเองสูงกว่าความเป็นจริง ซึ่งโอกาสที่จะไม่เป็นเช่นนั้นคงมีอยู่สูง ความผิดหวังจะตามมา และเมื่อถึงเวลานั้น ความคิดและภาพพจน์เกี่ยวกับตลาดหุ้นก็จะเปลี่ยนไป คนจะเลิกคิดว่าตลาดหลักทรัพย์เป็นแหล่งที่จะสามารถสร้างความมั่งคั่งที่รวดเร็วได้ และคนจำนวนมากก็จะออกจากตลาดหลักทรัพย์กลับไป ทำมาหากิน ตามเดิม
นอกจากผลตอบแทนของตลาดหลักทรัพย์ที่ไม่ได้สูงลิ่วอย่างที่หลายคนคิดแล้ว การจัดสรรเงินมาลงทุนในหุ้นสำหรับคนส่วนมากก็มักจะเป็นจำนวนน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับทรัพย์สินทั้งหมดที่มีอยู่ ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่คงลงทุนในหุ้นไม่เกิน 20 30% ของเม็ดเงินที่มี เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่ากำไรจากหุ้นจะเป็น 100% ในปีใดปีหนึ่ง แต่ถ้าเงินส่วนใหญ่อีก 70 80% กลับฝากอยู่ในธนาคารได้ดอกเบี้ยเพียง 1% ต่อปี ผลตอบแทนรวมก็จะได้เพียงประมาณ 21 31% เท่านั้น ซึ่งไม่เพียงพอที่จะทำให้ใครรวยได้อย่างรวดเร็ว
ข้อสรุปของผมก็คือ เป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับคนทั่วไปที่จะร่ำรวยจากตลาดหุ้นแม้ว่าในช่วงนี้หลายๆ คนจะคิดว่าเป็นไปได้ไม่ยาก คนมักจะเอาสิ่งที่เพิ่งจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้มาเป็นฐานในการมองไปข้างหน้า สิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเพียงปีหรือสองปีมักจะมีอิทธิพลมากกว่าประวัติศาสตร์เกือบ 30 ปีที่ผ่านมาของไทยและประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นนับเป็น 100 ปีของตลาดหุ้นที่เจริญที่สุดอย่างสหรัฐอเมริกา
Value Investor ที่จะประสบความสำเร็จ ร่ำรวย และเป็นอิสระทางการเงินจากตลาดหุ้นได้นั้น ผมคิดว่าจะต้องมองตลาดหุ้นด้วยความเป็นจริง คาดหวังผลตอบแทนปีละไม่เกิน 15% โดยเฉลี่ยจากการลงทุนไม่ว่าภาวะแวดล้อมจะสดใสเพียงใด ไม่ควรลงทุนในหุ้นที่เก็งกำไรสูงแต่ควรซื้อหุ้นที่มีความปลอดภัยมากด้วยเม็ดเงินในสัดส่วนที่สูง นั่นคืออย่าฝากเงินในธนาคารซึ่งให้ดอกเบี้ยเพียง 1% ต่อปีมากนัก และสุดท้ายซึ่งหนีไม่พ้นก็คือจะต้องลงทุนในตลาดหุ้นยาวนานไม่ออกไปไหนถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ ไม่ว่าภาวะตลาดจะเป็นอย่างไร
การลงทุนให้ประสบความสำเร็จจริง ๆ นั้น ไม่มีทางลัด และมันต้องการเวลา วอเร็น บัฟเฟตต์เคยพูดว่าคุณไม่สามารถผลิตเด็กภายใน 1 เดือนโดยใช้ผู้ชาย 9 คนได้ เช่นเดียวกันการลงทุนนั้นอย่าหวังรวยเร็ว ควรหวังรวยช้าแต่แน่นอนจะดีกว่า
พี่ๆ ได้เงินปันผลกัน กี่ เปอร์เซ็นต์
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 22, 2010 1:28 am
โดย เด็กเลี้ยงไม้
ไม่ได้คิดอะครับ reinvest เช่นกัน
ส่วนใหญ่ก็แค่เทียบว่า จากเริ่มต้นรวมปันผลและ capital gain เป็นเท่าไรครับ
พี่ๆ ได้เงินปันผลกัน กี่ เปอร์เซ็นต์
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 22, 2010 1:44 am
โดย romee
ยินดีด้วยครับ แต่ก็อย่าประมาทเป็นดีที่สุด...เพราะปีนี้ หยิบหุ้นตามคนอื่น ยังไงก็+ แต่เวลาตลาดทรุด...ถึงตอนนั้น ถ้าไม่รู้จริง เหนื่อยแน่ๆครับ
ส่วนเรื่องปันผลของหุ้น ผมขอแค่ 4% ขึ้นไป ก็หรูหราแล้ว เพราะหวังกับ ส่วนต่างของราคาหุ้น มากกว่า
พี่ๆ ได้เงินปันผลกัน กี่ เปอร์เซ็นต์
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 22, 2010 2:29 am
โดย << New >>
ของผมจะซื้อแต่ละตัวตอนนี้ตั้งเป็นกฏว่า ถ้าจะมีนัยยะของport ต้องมี fwdปันผลมากกว่า 10%ครับ ไม่ได้อยากได้ปันผลเยอะๆนะครับ แต่กะว่าปันผลมันจะเป็นตัวช่วยขับดันให้หุ้นขึ้น หรือพยุงไม่ให้หุ้นตกน่ะครับ ส่วนปันผลที่ได้จริงๆก็เอาไป reinvest หมดครับ ไม่เคยเอามานับเหมือนกัน
พี่ๆ ได้เงินปันผลกัน กี่ เปอร์เซ็นต์
โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 23, 2010 8:26 am
โดย tradtrae
ขอบคุณพี่ๆ ที่ร่วมแชร์ความคิดเห็นครับ ทำให้รู้ว่า ตอนนี้ผมได้เดินบนเส้นทางพี่ๆ เคยเดินกันมากก่อน คือ เมื่อเริ่มลงทุนในเบื้องต้น ก็จะมองเรื่องผลตอบแทนของเงินปันผล กันเป็นเรื่องปกติ
โดยส่วนตัว หลังจากที่เข็ดการกับการติดดอยและขายหมูไปแล้วนั้น ตอนนี้พยายามทำใจให้เลิกคิดเรื่อง capital gain ครับ คิดไปปวดหัวเปล่าๆ และมันก็ไม่ตรงกับหลักการในตอนแรกที่จะเข้ามาลงทุนในหุ้น คือ ขอผลตอบแทนในรูปเงินปันผลมากกว่าเงินฝากธนาคาร และ capital gain ไม่ได้ขี้เหร่จนน่าใจหาย (หุ้นไม่หดครับ)
ดังนั้น การจะคาดหวังว่าจะต้องรวยจากหุ้น การตั้งค่าความเสี่ยงให้สูง จึงไม่มีแนวความคิดนี้ครับ
ผมเลยเลือกที่จะถือหุ้นหลายตัว มากกว่าจะเน้นแค่ 3-4 ตัว ตามที่เคยอ่านเจอในกระทู้อื่นๆ ที่พี่ๆ แนะนำไว้
ที่กำไรอยู่ก็ปล่อยไป เผื่อว่าตลาดทรุด หุ้นทรุด หากปัจจัยพื้นฐานยังดีอยู่ คิดว่าอย่างเก่งก็แดงไม่เท่าไหร่ คงไม่เลือดอาบมาก เว้นเสียแต่ว่าหุ้นทั้งหมดพากันลงเหวครับ
พี่ๆ ได้เงินปันผลกัน กี่ เปอร์เซ็นต์
โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 23, 2010 12:12 pm
โดย romee
tradtrae เขียน:
ผมเลยเลือกที่จะถือหุ้นหลายตัว มากกว่าจะเน้นแค่ 3-4 ตัว ตามที่เคยอ่านเจอในกระทู้อื่นๆ ที่พี่ๆ แนะนำไว้
จำนวนตัว มันไม่สำคัญเท่ากับว่า เรารู้จริง กับทุกตัวที่ถือหรือเปล่านะสิครับ
http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=26058 ลองอ่านดูครับ :B