Thai VI

วันนี้กลุ่มเคมีดิ่งพสุธายกทีม
สาเหตุหลักคงมาจากที่จีนประกาศเมื่อวันก่อน
นอกจากไฟใต้ ที่เผาทั้งตลาดอยู่แล้ว

ตอนนี้เก็บnpcอยู่ค่ะ ชอร์ตไปแล้วรับกลับวันนี้
ไม่รู้เร็วไปรึเปล่า
อยากรู้ว่าตัวนี้รับผลกระทบจากการที่จีนติดเบรคมากมั้ยคะ
เท่าที่ทราบคือเขาผลิตต้นน้ำ ที่คงไม่ได้เน้นส่งออก
แต่กำลังจะขยายการผลิตมากลางน้ำด้วยนี่น่ะสิ

ผมก็รับครับตั้งแต่ 92 ยัน 86 บาท!
แต่รับด้วยความยินดีนะครับ ถือว่าสำเร็จไปแล้วครึ่งนึง
คือรับได้ที่ต้นทุนต่ำพอสมควร ต่อไปรอขายอย่างเดียว
รอบที่แล้ว รับตั้งแต่ 95 ยัน 89 พอขึ้นไป 108 ผมก็ทยอยขายไปบ้าง
รอบนี้กลับมารับใหม่ เป็นหุ้นตลาดตัวเดียว
ที่ซื้อครับก็เลยต้องเข้า-ออกเร็วหน่อย

ผมคิดว่าคงเป็นกองทุนฝรั่งเค้าขายครับ แรงรับก็น่าจะเป็นต่างชาติ+กบข อะไรทำนองนี้ละครับ เวลาต่างชาติจะขาย เค้าก็กดปุ่มขายครับอาจจะไม่สนใจพื้นฐานบริษัทมากนัก

ข่าวที่จะมีมาตรการชะลอการเติบโตทางเศรษกิจของจีน
ผมคิดว่าน่าจะเป็นข่าวดีในระยะยาวนะครับ เพราะขืนปล่อยไปให้เติบโตอย่างนี้ ลูกโป่งคงแตกสักวัน และสูตรราคาวัตถุดิบและสินค้าของ NPC ออกแบบมาให้มี spread ค่อนข้างคงที่ครับ ดังนั้นกำไรจะผันผวนตามราคาผลิตภัณฑ์ไม่มากกำไรน่าจะขึ้นอยู่กับการผลิต ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มต่างๆ ครับ

์NPC เป็นหุ้นตลาดที่น่าสนใจครับ ทั้งในแง่ปันผล และอัตราการเจริญเติบโต
แม้แต่ SCC ก็ถือหุ้นค่อนข้างมากจนเกือบเต็มเพดานที่ 25 % เพราะถ้าเกินต้องทำ tender offer นะครับ

ขอถือเป็นเืืพื่อนคนอ-ริน ด้วยคนครับ..

น่าสนเหมือนกันครับ

เพียงแต่ผมเล็ง ปูนใหญ่ไว้ก่อนแล้ ติดปัญหาที่ทรัพย์ไม่พอซื้อครับ

ถ้ามีเพื่อนถืออย่างคุณลูกอีสานก็อุ่นใจแล้วค่ะ


ที่ยังเก็บเพิ่มอยู่ก็เพราะคิดว่าต่อให้จีนลดความเร็วจริงๆ
ก็ไม่น่าลดการนำเข้าวัสดุกลุ่มนี้ลงมาก
อาจจะโตช้าลง แต่คงโตต่ออยู่ดี
จะคิดถูกหรือผิด เดี๋ยวก็รู้ค่ะ

ผ่านการวิเคราะห์ของคุณ ลูกอีสาน ผมก็เชื่อครับว่าหุ้นดีแน่

_ลูกอีสาน เขียน: ข่าวที่จะมีมาตรการชะลอการเติบโตทางเศรษกิจของจีน
ผมคิดว่าน่าจะเป็นข่าวดีในระยะยาวนะครับ เพราะขืนปล่อยไปให้เติบโตอย่างนี้ ลูกโป่งคงแตกสักวัน

อันนี้เห็นด้วยกับคุณ ลูกอีสาน ครับ

ก็คล้ายๆ กับที่ของเรา ออกมาแตะเบรคอสังหาฯ และกำหนดแผนแม่บทสำหรับสถาบันการเงินน่ะครับ

กันไว้ก่อนดีกว่าแก้ครับ

ได้อ่านบทวิเคราะห์ของกิมเอ็ง...
นำมาฝากเพื่อนๆ ที่สนใจ
แต่อ่านแล้วมีแต่ข้อดีนะ ไม่ได้พูดถึงข้อเสีย
หากมองในระยะยาวๆ แล้วกลุ่มปิโตรเคมีเมืองไทยน่าจะมีสองราย
คือปตท. ใช้วัตถุดิบจากแก็ส และปูนซิเมนต์ไทย ซึ่งมาสายแนฟทา
หันมามอง NPC กลายเป็นลูกครึ่งไปแล้ว เพราะทั้งปตท และ ปูนซิเมนต์ไทย
ถือหุ้นค่อนข้างมากทั้งสองฝ่าย ซึ่งไม่น่าจะเป็นผลดีในระยะยาว ดังนั้นหากปตท ลงทุนปิโตรเคมีน่าจะลงทุนผ่าน TOC มากกว่า เพราะปตท ถือหุ้นใน toc ค่อนข้างสูง ไม่รู้ว่าผมคิดมากไปหรือเปล่า แต่มองอีกด้านอาจจะเป็นผลดีที่มีผู้ถือหุ้นที่แข็งแกร่งทั้งสองกลุ่ม.....

เราคาดว่า บมจ. ปิโตรเคมีแห่งชาติ (NPC) จะประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 1/47 ออกมามีกำไรสุทธิ 854 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 2.75 บาท เพิ่มขึ้น 17% yoy ซึ่งเป็นผลมาจากส่วนต่างราคาจำหน่ายกับราคาวัตถุดิบ (Spread Margin) ที่เพิ่มขึ้นตามการปรับเพิ่มขึ้นของราคาเอทิลีนและภาระดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลงจากการจ่ายชำระคืนหนี้สิน

ราคาเอทิลีนและโพรพิลีนเฉลี่ยในไตรมาสแรกเพิ่มขึ้น 41% yoy และ 5% yoy เป็น 780 เหรียญ/ตัน และ 680 เหรียญ/ตัน ตามลำดับ ทำให้เราคาดว่ารายได้ของบริษัทจะเติบโต 23% yoy ในขณะที่ต้นทุนขายของบริษัทก็เพิ่มขึ้น 26% yoy ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับเปลี่ยนสูตรการซื้อวัตถุดิบโดยไปอิงราคาของ HDPE แทนที่สูตรเดิมที่อิงราคาของเอทิลีน จากผลดังกล่าวทำให้อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทลดลงเล็กน้อยเป็น 26% ในไตรมาสนี้ เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 27%

ราคาเอทิลีนในปัจจุบันปรับเพิ่มขึ้นมาสู่ระดับสูงสุดของปีที่ 840 เหรียญ/ตัน เพิ่มขึ้น 95% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งปัจจัยสนับสนุนการปรับขึ้นของราคามาจากราคาน้ำมันดิบที่พุ่งขึ้นมาอยู่ในระดับที่สูงสุดในรอบ 13 ปี และความต้องการที่แข็งแกร่งจากประเทศจีน แม้ว่าล่าสุดจีนจะประกาศชะลอความร้อนแรงของเศรษฐกิจลง ซึ่งอาจจะส่งผลให้ราคาปิโตรเคมีอ่อนตัวลงบ้างเล็กน้อย แต่เราเชื่อว่าจะเป็นเพียงแค่เหตุการณ์ระยะสั้นเนื่องจากว่าจีนเป็นผู้นำเข้าสินค้าปิโตรเคมีรายใหญ่ ทำให้สามารถที่จะควบคุมกลไกของราคาสินค้าได้ในระดับหนึ่ง แต่ในความเป็นจริงแล้วจีนมีปริมาณความต้องการสินค้าปิโตรเคมีที่สูงกว่ากำลังการผลิตในประเทศอยู่มาก ทำให้อย่างไรก็ตามในช่วงอีกอย่างน้อย 2-3 ปี จีนก็จำเป็นที่จะต้องนำเข้าสินค้าปิโตรเคมีอย่างไม่มีทางเลือก ซึ่งทำให้เราคาดว่าราคาปิโตรเคมีจะปรับตัวเพียงช่วงสั้นและจะทะยานขึ้นต่อไปจนขึ้นสูงสุดภายในปี 2548-2549

ยิ่งไปกว่านั้นแล้ว ไม่เสมอไปทุกครั้งที่ราคาปิโตรเคมีปรับตัวลดลงและจะทำให้บริษัทผู้ผลิตสินค้าปิโตรเคมีมีความสามารถในการทำกำไรลดลง ทั้งนี้เนื่องจากว่าราคาของต้นทุนวัตถุดิบอาจปรับลดเร็วกว่าราคาสินค้าสำเร็จรูปในบางครั้งก็เป็นได้ ซึ่งหมายความว่า Spred Margin และความสามารถในการทำกำไรจะไม่ลดลงไปตามราคาปิโตรเคมีที่อ่อนตัวลง ซึ่งในกรณีดังกล่าวดูจะค่อนข้างใกล้เคียงกับกรณีของ NPC ที่มีสัญญาซื้อวัตถุดิบอีเทนจากทาง PTT ในแบบ Net back formula ที่เป็นการซื้อวัตถุดิบอ้างอิงราคาจำหน่ายสินค้าสำเร็จรูป ซึ่งจะทำให้ Spred Margin ค่อนข้างจะมีเสถียรภาพ แม้ว่าราคาเอทิลีนจะปรับตัวเพิ่มขึ้นมากหรือลดลงแรกก็ตาม

เราคาดว่าบริษัทจะทำกำไรในปีนี้ได้ 3,075 ล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้น 9.92 บาท เพิ่มขึ้น 33% yoy ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาเอทิลีนและกำลังการผลิตเม็ดพลาสติกโพลีเอทิลีนความหนาแน่นสูง (HDPE) กำลังการผลิต 250,000 ตัน/ปี ซึ่งจะเริ่มเปิดดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 3/47 นี้

เราคาดว่าบริษัทจะทำกระแสเงินสดในปีนี้ได้อย่างแข็งแกร่งถึง 14 บาท/หุ้น เพิ่มขึ้น 12% yoy ซึ่งจากกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งทำให้เราคาดว่าบริษัทจะสามารถจ่ายเงินปันผลในปีนี้ได้ 7 บาท/หุ้น คิดเป็นอัตราเงินปันผลตอบแทน 7.5% ราคาหุ้นในปัจจุบันถือว่าถูกมาก ซื้อขายอยู่ที่ PER 9.3 เท่า และมีส่วนลดอยู่ 38% จากราคาที่เหมาะสมของเราที่ 149 บาท ดังนั้นเราคงคำแนะนำ ซื้อ