Thai VI

ผมอยากรู้เหตุผล ของคน 2 กลุ่มนี้จัง
ต้องมีข้อแตกต่าง
จริงๆแล้ว ผมอยากรู้ว่ามีเหตุอะไรหรือ จึงถือเงินสดมากกว่า 90%
ผมนึกไม่ออกจริงๆ
เงินสดก็เหมือนหุ้น
ถ้ามีทางเลือกแค่ 2 อย่าง คือ
หุ้น หรือ เงินสด
ถ้าหุ้นขึ้นเรื่อยๆ
คนที่ถือเงินสดก็จะมีค่าลดลงเรื่อยๆเช่นกัน
คนที่มี 10 ล้าน++ เมื่อ 10ปี++ จะมีฐานะ พอๆกับ ดรในิเวศน์
ปัจจุบัน คนคนนั้น ถ้ายังถือเงินสด
จะมีฐานะความเป็นอยู่แตกต่าง จาก ดร.นิเวศน์ มาก
กระทู้นี้ คือการเชียร์ให้ซื้อหุ้น
โดยมาตราฐาน ของคนทั่วไป
1. การเชียร์ให้ซื้อหุ้น (เจตนาร้าย มีผลประโยชน์แอบแฝง)
2. การเตือนให้กลัวที่จะซื้อหุ้น (มีเจตนาดี จิตใจเมตตา)
ถ้า ขยันและรู้จริงและวงเงินไม่มาก  ผมว่ามีหุ้นอีกหลายตัวที่น่าซื้อ

ความรู้และความสามารถในการยอมรับความเสี่ยงไม่เท่ากันครับ


จบ....

ในมุมกลับ
ถ้าทุกคนคิดเหมือน อ.นิเวศน์
อ. ก็จะไม่มีเท่านี้หรอกครับ
คิดต่างกันนั่นแหละ ดีแล้ว

คนกลัว มีอยู่เยอะนะคะ

กลัวเลยไม่กล้าเสี่ยง กลัวเงินหาย

หารู้ไม่ว่า เงินมันหายไปตั้งแต่เงินเฟ้อกินแล้ว

เห็นด้วยอย่างยิ่งกับพี่โว้กว้ากครับ

แต่หุ้นมันไม่ได้ขึ้นเรื่อยๆเสมอไปนี่ครับ

โว้กว้าก เขียน:ความรู้และความสามารถในการยอมรับความเสี่ยงไม่เท่ากันครับ


จบ....

คำว่า risk (ความเสี่ยง) ในทางการเงินมีความหมายเฉพาะแบบหนึ่ง  แต่

กูรูทางการเงินชอบนำมาพูดกว้าง ๆ ว่า high risk, high return  ซึ่งทำให้เข้าใจไม่ถูกต้องว่า การลงทุนเพื่อผลตอบแทนที่สูงกว่าย่อมต้องมีความเสี่ยงมากกว่า (เช่นการลงทุนในหุ้น)

เพราะกาละมังว่าในความหมายของกูรู  ถ้าพูดกว้าง ๆ ต้องบอกว่าว่า

ลงทุนในหวย.....high risk, low return

ลงทุนในพันธบัตร.....low risk, low return

ลงทุนในเงินฝาก......high risk, low return (ถ้ารัฐไม่ค้ำประกัน)

ลงทุนในหุ้น  ถ้าไม่เข้าใจ.....high risk, low return
                  ถ้าเข้าใจ.....low risk, very high return

จริงป่ะ

บางช่วง เงินสดให้ผลตอบแทนดีกว่าหุ้นมั้งครับ ช่วงที่หุ้นร่วงเยอะๆ หน่ะครับ

กูรูทางการเงินชอบนำมาพูดกว้าง ๆ ว่า high risk, high return  ซึ่งทำให้เข้าใจไม่ถูกต้องว่า การลงทุนเพื่อผลตอบแทนที่สูงกว่าย่อมต้องมีความเสี่ยงมากกว่า (เช่นการลงทุนในหุ้น)
เห็นด้วยครับ

1.ตัวที่เคยถือราคาขึ้นไปเกินพื้นฐาน เลยขาย แล้วยังไม่เจอตัวใหม่ที่จะซื้อ

2.รอโอกาส หรือเหตุการณ์บางอย่างที่คาดว่าจะเกิดอยู่

ความรู้ ทัศนคติ ความเข้าใจ และการรับความเสี่ยง ของแต่ละคนไม่เหมือนกันครับ

ยิ่งรายการข่าวสารเดี๋ยวนี้แนะนำหุ้นกันเป็นรายวัน วันละหลายตัวด้วยซ้ำ แนะนำกันบ่อยมากกว่าโพยหวยอีก

ดังนั้น หวย เสี่ยงน้อยกว่าหุ้นครับ :lol: หวยเดือนหนึ่งมีลุ้น 2 ครั้ง หุ้นลุ้นกันได้ทุกครั้งพอตลาดเปิด

คนที่ถือหุ้น 90% เพราะคิดว่าหุ้นจะขึ้น
คนที่ถือเงินสด 90% เพราะคิดว่าหุ้นจะลง

แค่นี้แหละครับ  :lol:

โว้กว้าก เขียน:ความรู้และความสามารถในการยอมรับความเสี่ยงไม่เท่ากันครับ


จบ....

ผมเห็นด้วยกับความเห็นนี้ครับ

ลองคิดดูนะครับ

ถ้า 10 ปีที่แล้วมี 100 คนที่มีมูลค่าทรัพย์สินรวม 10 ล้านบาทแล้วเลือกที่จะถือเงินสด 90% --> ตอนนี้อย่างน้อย 90% คนก็น่าจะมีมูลค่าทรัพย์สินรวมกันไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไป

ในอีกมุมมองนึง ถ้า 10 ปีที่แล้วมี 100 คนที่มีมูลค่าทรัพย์สินรวม 10 ล้านบาทแล้วเลือกที่จะถือเป็นหุ้น 90% --> ตอนนี้จะมีกี่คนที่มีมูลค่าทรัพย์สินรวมในมือเกิน 10 ล้านบาท (ส่วนตัวผมว่าไม่ถึง 20%) นี่ยังไม่ต้องพูดถึงคนที่จะประสบความสำเร็จอย่างสูงเช่นอ.

[quote="NoNameLFC"]คนที่ถือหุ้น 90% เพราะคิดว่าหุ้นจะขึ้น
คนที่ถือเงินสด 90% เพราะคิดว่าหุ้นจะลง

แค่นี้แหละครับ

ถ้าคิดว่าจะลง เอาเงินไปซื้อที่ทำไร่สับปะรดดีกว่าครับ

ส.สลึง เขียน:ในมุมกลับ
ถ้าทุกคนคิดเหมือน อ.นิเวศน์
อ. ก็จะไม่มีเท่านี้หรอกครับ
คิดต่างกันนั่นแหละ ดีแล้ว

 :) ถ้าทุกคนคิดเหมือน อ.  

อ. คงมีเยอะกว่านี้มาก ๆ ๆ    :)

ถือเงินสดต่ำกว่า10เปอร์เซนต์เพราะ......

เงินสดมีด้อยค่า
หุ้นมีปันผล

ความไม่รู้ คือ ความเสี่ยง

คนที่รู้เรื่องการลงทุนหุ้น ก็คิดว่าไม่เสี่ยงเท่าไหร่
เทียบกับคนไม่รู้อะไรเลย เขาถือเงินสดเลยรู้สึกว่าอุ่นใจกว่าหรือเปล่า

ตั้งแต่ลงทุนแนวนี้ ยังไม่เคยรู้สึกว่ามีเงินสดในมือเลย
มีแต่รู้สึกว่าต้องหาเงินมาเพิ่มเพื่อซื้อหุ้นที่เราหาเจอ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ก่อนลงทุนแนวนี้รู้สึกว่าเงินสดไม่เคยขาดมือเลย
ปัจจุบันรู้สึกมีเงินไม่เคยพอเลยที่จะซื้อหุ้นที่เจอ ครับ
ไม่ซื้อก็เสียดายโอกาสที่เราเจอ ครับ

ที่สำคัญ รู้สึกได้เลยว่าใช้จ่ายประหยัดขึ้น ไม่เหมือนเมื่อก่อน ฟู่ฟ่า
จะใช้อะไร  คิดแต่ว่าเอาไปซื้อหุ้นดีกว่า

ผมสงสัยว่าจะถือไว้ทำไมทั้งสองอย่างนั่นแหละครับ
ไม่หนักไม่เมื่อยบ้างเหรอ





มีเงินสดก็เอาไปฝากแบ็งค์ มีหุ้นก็เอาไปฝากศูนย์ฝากหลักทรัพย์สิครับ  :lol:

[quote="กล้วยไม้ขาว"]ผมสงสัยว่าจะถือไว้ทำไมทั้งสองอย่างนั่นแหละครับ
ไม่หนักไม่เมื่อยบ้างเหรอ





มีเงินสดก็เอาไปฝากแบ็งค์ มีหุ้นก็เอาไปฝากศูนย์ฝากหลักทรัพย์สิครับ

Saran เขียน:หวย เสี่ยงน้อยกว่าหุ้นครับ :lol: หวยเดือนหนึ่งมีลุ้น 2 ครั้ง หุ้นลุ้นกันได้ทุกครั้งพอตลาดเปิด

แล้วถ้าดูราคาหุ้นเดือนละ 2 ครั๊งล่ะครับ
ยังจะเสี่ยงกว่าหวยหรือเปล่า :lol: :lol: :lol:

ผมชอบ รูปโลโก้ พี่ sorawut  จัง น้อง อ้อย  :lol:  :lol:   เกี่ยวกับหุ้นตัวไหนบ้างหรือเปล่าครับ  :lol:

[quote="KGYF"]ผมชอบ รูปโลโก้ พี่ sorawut

jo7393 เขียน:ตั้งแต่ลงทุนแนวนี้ ยังไม่เคยรู้สึกว่ามีเงินสดในมือเลย
มีแต่รู้สึกว่าต้องหาเงินมาเพิ่มเพื่อซื้อหุ้นที่เราหาเจอ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ก่อนลงทุนแนวนี้รู้สึกว่าเงินสดไม่เคยขาดมือเลย
ปัจจุบันรู้สึกมีเงินไม่เคยพอเลยที่จะซื้อหุ้นที่เจอ ครับ
ไม่ซื้อก็เสียดายโอกาสที่เราเจอ ครับ

ผมเข้าใจแล้วๆ...อาการมันเป็นเพราะแบบนี้นี่เอง  กำลังโดนคนรอบข้างบอกเปลี่ยนไป พอดีเลย^_^"(แม่บอกเด๋วนี้ งก)

Energy_eak เขียน:

ผมเข้าใจแล้วๆ...อาการมันเป็นเพราะแบบนี้นี่เอง

ขออนุญาติมองต่างมุมนะครับ

ที่มักจะมีการพูดกันว่า vi ลงหุ้น 100% นี่
มีการเข้าใจผิดกันหรือเปล่า  เพราะไม่งั้น บัฟเฟตต์ (หรือ ดร.นิเวศน์ของพวกเรา) จะมีเงินมาลงเวลาหุ้นฟุบเศรษฐกิจพังซะทุกทีได้อย่างไร?

แสดงว่าแกต้องมีเงินเก็บไว้ ไม่ได้เอามาลงทุนหมด 100% ใช่ไหมครับ?

อาจจะตีความกันผิดไปที่ว่าลง 100% นี่หมายถึงลงแต่หุ้น ไม่ได้ไปลงอย่างอื่น เช่นอสังหา  ทอง ฯลฯ  แต่ต้องมีเงินส่วนที่เป็นสภาพคล่องไว้ลงในยามวิกฤตได้เสมอ รึเปล่า

หลักของ VI ก็ต้องซื้อหุ้นถูกกว่ามูลค่าแท้จริงของมัน   ถ้าถือเต็มไว้ตลอด  ทำให้ไม่มีเงินไปซื้อเวลาบริษัทใดบริษัทหนึ่งมีปัญหา (ชั่วคราว)
ไม่น่าจะใช่นะครับ

แต่ผมก็เห็นด้วยนะครับ VI คงไม่ซื้อขายบ่อยๆ ทำ market timing เพราะเราไม่สามารถเดาใจตลาดได้ตลอด

อย่างไรก็ตามทั้งหมดนี้ผมอาจจะเข้าใจผิด  เพราะเป็นมือใหม่
ผู้รู้ช่วยแย้งผมทีนะครับ  ขอบคุณครับ

เห็น ดร. นิเวศน์ ท่านบอกว่าท่านใช้ Margin มาซื้อ เพราะเงินอยู่ในหุ้นหมด ... แต่จริงๆแล้วท่านอาจจะเอาเงินปันผลปีละหลายสิบล้านมาซื้อเพิ่มด้วย

กาละมัง เขียน:

โว้กว้าก เขียน:ความรู้และความสามารถในการยอมรับความเสี่ยงไม่เท่ากันครับ


จบ....

คำว่า risk (ความเสี่ยง) ในทางการเงินมีความหมายเฉพาะแบบหนึ่ง