หน้า 1 จากทั้งหมด 1

มีปัญหาคาใจครับเรื่องในหนังสือ One up on wall street

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 18, 2010 3:55 pm
โดย tumm008
ไม่รู้ Post ถูกห้องหรือปล่าวต้องขออนุญาติถามดังนี้ครับ
หุ้นโตเร็ว ในหนังสือบอกนั้นที่ย่อหน้าสุดท้ายเขียนว่า

หุ้นโตเร็วเป็นหุ้นที่ชนะตลาด ผมจะหาตัวที่มีงบดุลดี และทำกำไรค่อนข้างมาก เทคนิคนี้ก็คือการดูว่าเมื่อใหร่มันจะหยุดโตและต้องจ่ายเท่าใหร่เพื่อซื้อ
การเจริญเติบโตนั้น


ประโยคที่ผมใส่สีเนี่ยมันขยายความว่ายังงัยครับผมไม่ค่อยเข้าใจ
เมื่อใหร่มันจะหยุดโตรู้ได้ยังงัยดูจากอะไร
แล้วจ่ายเท่าใหร่ในการซื้อการเติบโตก็เช่นกันจะรู้ได้ยังงัย ดูจากอะไร ขอบคุณครับ

มีปัญหาคาใจครับเรื่องในหนังสือ One up on wall street

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 18, 2010 6:04 pm
โดย Anti-Aircraft
เรื่องการเติบโตต้องเข้าใจธุรกิจของเขาน่ะครับ ไม่มีทางอื่น

ปัจจัยที่ต้องดู ก็เช่น
การเติบโตของตลาด
หากตลาดยังมีการเติบโตเรื่อยๆ เขาก็น่าจะมีโอกาสเติบโตได้ อย่างน้อยก็เท่าการเติบโตของตลาด
ส่วนแบ่งตลาด
บ. มีส่วนแบ่งตลาดเท่าไรในตลาดดังกล่าว หากส่วนแบ่งยังน้อยอยู่ ก็ยังเติบโตได้ หากครองตลาดเต็มที่แล้ว ก็โตลำบาก

มีปัญหาคาใจครับเรื่องในหนังสือ One up on wall street

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 18, 2010 6:06 pm
โดย tumm008
ขอบคุณครับที่ช่วยไขความกระจ่าง ฝากท่านอื่นๆช่วยด้วยน้าค้าบ

มีปัญหาคาใจครับเรื่องในหนังสือ One up on wall street

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 18, 2010 8:07 pm
โดย Suysak
เมื่อไหร่ถึงจะหยุดโต

หากเป็น หุ้นประเภท พานิชย์ แบบ hmpro, cpall, global ก็คือดูว่าเมื่อไหร่จะหยุดขยายสาขา ในช่วงแรกก็จะโตเร็วหน่อย เพราะ ฐานกำไรมันแคบ แต่ยิ่งขยายสาขาไปเรื่อยๆ จะหยุดโตเพราะไม่มีที่ให้ขยายแล้ว

ต้องจ่ายเท่าไหร่เพื่อซื้อความเติบโตนั้น

ผมเข้าใจว่าใน one up มีกล่าวถึง %Growth ของ กำไร กับค่า pe อยู่ครับ เพราะหุ้นโตเร็ว ตลาดมักจะให้ค่า pe สูง แต่ตัวหุ้นมักจะ มีการเติบโตของกำไรมาก เช่น ปีละ 10 - 20% หรือบางทีอาจโตกันเกินนี้เลยทีเดียว

ลองดูการเติบโตของกำไร ของ hmpro ในช่วงแรกๆ หรือ cpall หลังจากที่ขาย lotus ไปแล้ว ครับ

มีปัญหาคาใจครับเรื่องในหนังสือ One up on wall street

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 18, 2010 9:47 pm
โดย peacedev
หุ้นโตเร็ว ราคามักแพงไปด้วย
ที่น่ากลัวคือราคามักอยู่บนความคาดหวัง

จะจ่ายเท่าไหร่ ก็คือ MOS ที่แต่ละคนมักให้ได้ไม่เท่ากันครับ
บางคนชอบของแพงเพราะเข้าใจว่าของแพงมักจะดี บางคนชอบของถูกเพราะเข้าใจว่าจ่ายน้อยกว่าคุณค่าของมัน

มีปัญหาคาใจครับเรื่องในหนังสือ One up on wall street

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ค. 19, 2010 7:49 am
โดย Green
ตอนแรกๆ ที่เริ่มเติบโต ฐานกำไรยังน้อยอยู่ ลงทุนอาจจะไม่เยอะ แต่เติบโตมาก บางบริษัท พอฐานกำไรเยอะแล้ว ต้องลงทุนมากๆ เพื่อที่จะได้ อัตรากำไรเติบโตเท่าๆ เดิมได้ ซึ่งต้องเหนื่อยมากยิ่งขึ้น  

เข้าใจว่า เขาคงพยายามชี้ให้เรามองหา บริษัทที่สามารถเติบโตได้ โดยไม่ต้องลงทุนอะไรมาก ซึ่งเขายกตัวอย่าง บริษัท ฟิลลิปมอริส  ว่า สามารถกำไรเพิ่มขึ้นได้มาก โดยไม่ต้องขยายกำลังการผลิตเลย เนื่องจากทำการลดต้นทุนและ ขึ้นราคาขายบุหรี่ ได้เรื่อยๆ ในทุกๆ ปี เป็นต้น

มีปัญหาคาใจครับเรื่องในหนังสือ One up on wall street

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ค. 19, 2010 12:59 pm
โดย unnop.t
ต้องวิเคราะห์ธุรกิจให้ออกว่า บริษัทโตได้จากอะไร ปัจจัยนั้นยังอยู่มั๊ย หรือบริษัทมีการใช้ Strategy ใหม่ ๆในการขยายตลาดหรือเปล่า ต้องตามข่าวของบริษัท

การเติบโตจะสะท้อนออกมาในงบการเงิน การเติบโตยอดขาย กำไร QoQ หรือ YoY

การจ่ายเพื่อซื้อการเติบโตนั้น มันก็คือการ valuation เพื่อหาราคาที่เหมาะสมโดยมองภาพการเิติบโตนั้นในอนาคต ยกตัวอย่างเช่น คุณมั่นใจว่าอีก 5 ปีบริษัทนี้น่าจะโตได้ปีละไม่ต่ำกว่า 15% คุณอาจทำได้โดยการทำ forward p/e หรือ DCF โดยการประมาณการณ์จากการเติบโตนั้น  

หุ้นเติบโตเป็นหุ้นที่ตลาดให้ความคาดหวังสูง ส่วนใหญ่แล้วบริษัทที่โตเร็ว ราคาค่อนข้างจะสะท้อนออกมาแล้ว จะเห็นว่า P/E ค่อนข้างสูง ตรงนี้มันเป็นศิลปะส่วนตัวแล้วครับว่า เราประเมินอนาคตถูกต้องแค่ไหน ยอมรับ MOS แค่ไหน

ถ้าคุณสามารถประเมิน หรือมองได้ออกก่อนนายตลาดว่าบริษัทนี้จะเติบโตในอนาคต คุณก็จะได้ที่ราคาถูกกว่าใคร เซียนทั้งหลายจะแตกต่างจากนักลงทุนธรรมดาตรงนี้ละครับ ไม่ใช่ว่าเซียนจะไม่เคยผิด แต่เขาถูกบ่อยกว่าผิด  :8)

ส่วนผมยังผิด ๆถูก ๆ  :lol:

มีปัญหาคาใจครับเรื่องในหนังสือ One up on wall street

โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ค. 20, 2010 12:48 am
โดย กล้วยไม้ขาว
ผมว่ามันเป็นประโยคที่ขยายความข้อความที่อยู่ก่อนหน้า
ซึ่งน่าจะอยู่ก่อนหน้าส่วนที่ยกมาอีก

ลองกลับไปอ่าน paragraph ก่อนดูครับ

มีปัญหาคาใจครับเรื่องในหนังสือ One up on wall street

โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ค. 20, 2010 12:30 pm
โดย tumm008
ขอบคุณทุกคำตอบครับ
แสดงว่าขึ้นอยู่กับข้อมูลที่เราสามารถหามาได้ว่า บริษัทที่เรากำลังสนใจจะลงทุนเนี่ย ทำอะไรอยู่และจะสะท้อนไปในอนาคตตามที่เราคาดหวังได้เท่าใหร่ แบบนี้ธุระกิจแบบที่สามารถคาดการอนาคตได้ ก็ต้องเป็นธุระกิจประเภทที่ ยอดขาย กำไร สามารถเดาได้เลยว่า คนกิน คนใช้ของ กำลังโตแบบใหนมีเทรนไปทางใหน ใช่ใหมครับ ส่วนสินค้าที่คนกิน คนใช้ ต้องเอาอารมมาตัดสินในการเลือกสินค้า บริษัทแบบนั้นก็ต้องคาดการกำไรยากกว่า Model DCF ที่ว่าเนี่ยก็ไม่เหมาะกับทุกธุระกิจถูกต้องใหมครับ ผมมาถูกทางใหมอ่ะ ขอบคุณอีกครั้งครับ

มีปัญหาคาใจครับเรื่องในหนังสือ One up on wall street

โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ค. 20, 2010 12:47 pm
โดย peacedev
tumm008 เขียน:ขอบคุณทุกคำตอบครับ
แสดงว่าขึ้นอยู่กับข้อมูลที่เราสามารถหามาได้ว่า บริษัทที่เรากำลังสนใจจะลงทุนเนี่ย ทำอะไรอยู่และจะสะท้อนไปในอนาคตตามที่เราคาดหวังได้เท่าใหร่ แบบนี้ธุระกิจแบบที่สามารถคาดการอนาคตได้ ก็ต้องเป็นธุระกิจประเภทที่ ยอดขาย กำไร สามารถเดาได้เลยว่า คนกิน คนใช้ของ กำลังโตแบบใหนมีเทรนไปทางใหน ใช่ใหมครับ ส่วนสินค้าที่คนกิน คนใช้ ต้องเอาอารมมาตัดสินในการเลือกสินค้า บริษัทแบบนั้นก็ต้องคาดการกำไรยากกว่า Model DCF ที่ว่าเนี่ยก็ไม่เหมาะกับทุกธุระกิจถูกต้องใหมครับ ผมมาถูกทางใหมอ่ะ ขอบคุณอีกครั้งครับ
:)

Re: มีปัญหาคาใจครับเรื่องในหนังสือ One up on wall street

โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ค. 20, 2010 7:09 pm
โดย tn143
จำได้ว่า One up on wall street เขาพูดเรื่องพื้นๆไม่ซับซ้อน
ผมเข้าใจว่างี้

เมื่อใหร่มันจะหยุดโต
ก็ดูจำนวนสาขา เช่น 7 เต็มประเทศรึยัง ถ้าเต็มแล้วมันก็ไม่ใช่โตไว
ดูขนาดรายได้/กำไร เช่น กำไรปีละ 10,000ล้าน จะโตเป็น 100,000ล้าน
มันยากกว่า กำไร 100 ล้าน ไป 1000ล้าน

ต้องจ่ายเท่าใหร่เพื่อซื้อ การเจริญเติบโตนั้น
PEG  pe เทียบ growth
market cap ขนาดนี้ เอาเงินไปสร้างใหม่ แพงหรือถูก

มีปัญหาคาใจครับเรื่องในหนังสือ One up on wall street

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 06, 2010 1:05 pm
โดย chatree
ผมเพิ่งอ่านมาเหมือนกัน ขออนุญาติแชร์นะครับ ประโยคนี้ต้องแบ่งออกเป็นสองประโยคครับ ประโยคแรกคือ ดูว่าเมื่อไหร่มันจะหยุดโต หมายถึงถ้าเรานึกว่าบริษัทนี้จะโตต่อไปซัก 10 ปี แต่จริงๆมันใกล้จะหยุดโตแล้ว เราก็จะซื้อแพงเกินไป เพราะฉะนั้นจึงต้องดูว่ามันจะหยุดโตอีกใกล้หรือไกลเท่าไหร่ อีกประโยคหนึ่งคือ ต้องจ่ายเท่าไหร่เพื่อซื้อการเจริญเติบโตนั้น หมายถึงว่า หากเราเทียบราคาของบริษัทที่มีผลตอบแทนใกล้เคียงกัน อาจจะพบว่าบริษัทที่กำลังเติบโตนั้น มีราคาแพงกว่า แต่เราคิดว่าเราจะจ่ายเพิ่มอีกเท่าไหร่ถึงจะคุ้มหากบริษัทยังจะเติบโตต่อไป คิดว่าอย่างเป็นอย่างนี้นะครับ

มีปัญหาคาใจครับเรื่องในหนังสือ One up on wall street

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 08, 2010 3:51 am
โดย imerlot
เทคนิคนี้ก็คือการดูว่าเมื่อใหร่มันจะหยุดโต
และต้องจ่ายเท่าใหร่เพื่อซื้อ
การเจริญเติบโตนั้น..
หุ้นกลุ่มที่สามก็คือ  หุ้น  “นางฟ้าตกสวรรค์”  นี่คือหุ้นที่เคยเป็น “นางฟ้า”  ของนักลงทุน  เป็นหุ้นที่เคยร้อนแรง  ราคาปรับตัวขึ้นไปหลายเท่าในเวลาอันสั้นและเหตุผลที่ราคาหุ้นขึ้นไปสูงมาก นั้นเป็นเพราะบริษัทกำลังมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นและเติบโตมาก นักลงทุนคาดหวังบริษัทไว้สูงมากและให้ราคาหุ้นสูงอย่างไม่น่าเชื่อ  อย่างไรก็ตาม  เมื่อเวลาผ่านไป ผลการดำเนินงานกลับไม่เป็นไปตามที่คาดด้วยเหตุผลต่าง ๆ  นานา  สร้างความผิดหวังและทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นทิ้งอย่าง “บ้าคลั่ง” เช่นเดียวกับในตอนที่เข้าซื้อหุ้น  ผลก็คือ  ราคาหุ้นตกต่ำมาติดดิน  ประเด็นสำคัญในการซื้อหุ้นนางฟ้าตกสวรรค์ก็คือ  เราจะต้องเห็นว่าบริษัทจะกลับมาเป็น  “นางฟ้า”  มีผลงานโดดเด่นได้เหมือนเดิมหรือใกล้เคียงกับของเดิมและราคาหุ้นนั้นต่ำมาก  เราไม่ต้องการซื้อหุ้นเพียงเพราะราคามันตกลงมามาก  เราไม่ต้องการนางฟ้าที่  “ตกนรก” ไปแล้ว
ที่มา
http://www.thaivi.com/webboard/viewtopi ... 56&start=0

มีปัญหาคาใจครับเรื่องในหนังสือ One up on wall street

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 08, 2010 4:16 am
โดย imerlot
จาก..เทคนิคนี้ก็คือการดูว่าเมื่อใหร่มันจะหยุดโต ...

เป็น..เมื่อใหร่มัน...โตช้าลง

กูรู  "William O' neil"
http://books.google.co.th/books?id=qokQ ... &q&f=false


More Sell rules every investor should master บทที่ 21
หน้า 120


บอกว่า
ถ้า earning กำไร นั้น ได้ เติบโต 100% มาหลายๆ Quarter แล้ว
เกิด deceleration in growth คือ ถอยมาโตแค่ 30% แล้ว ก็ 20%...

จะแสดงถึง..ภาวะนางฟ้า ใกล้ จะตกสวรรค์แล้ว

มีปัญหาคาใจครับเรื่องในหนังสือ One up on wall street

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 08, 2010 4:19 am
โดย imerlot
แถม
http://en.wikipedia.org/wiki/Earnings_growth
Sustainability of high growth rates

High growth rates cannot be sustained indefinitely.
Ben McClure[4] suggests that period for which such rates can be sustained can be estimated using the following:

Competitive Situation                 Sustainable period
Not very competitive                          1 year
Solid company with recognizable brand name           5 years
Company with very high barriers to entry     10 years