Thai VI

ดูหลายๆ อย่างครับเช่น
1 D/E ratio ถ้าสูงกว่า 1.5 ก็แสดงว่าหนี้สินมากกว่า 1.5 เท่าของทุน ถ้า D/E มากกว่า 2 โอกาสที่จะต้องเพิ่มทุนก็มีครับ อย่างไรก็ตาม การดู D/E จะต้องดู Interest bearing debt คือหนี้ที่จ่ายดอกเบี้ยเป็นหลักครับ จะไม่รวมหนี้ที่ไม่มีดอกเบี้ย เช่น เจ้าหนี้การค้า หรือรายได้รับล่วงหน้าเข้ามาด้วยครับ

2 ดู cash flow from operation หลักการเปลี่ยนแปลงในสินทรัพย์การดำเนินงานครับ ถ้าติดลบมากๆ ซัก 2 ปีติดต่อกันก็อาจจะมีความเสี่ยงที่จะต้องเพิ่มทุนครับ

3 ดูนโยบายการเติบโตของบริษัทและแนวโน้มธุรกิจครับ ถ้าเป็นธุรกิจที่เติบโตน้อยก็อาจจะไม่ต้องมีการขยายกิจการความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มทุนก็ต่ำครับ แต่ถ้าเป็นธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตหรือผู้บริหารมีความต้องการที่จะสร้างให้ธุรกิจเติบโตด้วยการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด ก็มีโอกาสที่จะเพิ่มทุนครับ

4 บางบริษัทอาจจะขาดทุนติดต่อกันหลายๆ ปีจนส่วนของผู้ถือหุ้นลดลงเรื่อยๆ ในขณะที่หนี้สินเพิ่มขึ้น ก็มีโอกาสต้องเพิ่มทุนครับ

5 Current ratio ต่ำกว่า 0.5 คือ สินทรัพย์หมุนเวียนหารด้วยหนี้สินหมุนเวียน หากบริษัทมีหนี้ระยะสั้นมากๆ และมีปัญหาบางอย่างที่ไม่สามารถเปลี่ยนหนี้ระยะสั้นเป็นหนี้ระยะยาวได้ เช่น ไม่สามารถกู้เงินระยะยาวกับธนาคารได้ ไม่สามารถออกหุ้นกู้ได้ เนื่องจากฐานะทางการเงินของบริษัทอาจจะไม่ดี ทำให้บริษัทมีความเสี่ยงที่จะขาดสภาพคล่องจากการที่ต้องคืนหนี้ระยะสั้นได้จึงอาจจะต้องเพิ่มทุนครับ

การเพิ่มทุนนั้นแม้จะไม่ใช่เรื่องดีนักสำหรับผู้ถือหุ้นเพราะหุ้นที่ดีที่สุดคือหุ้นที่สามารถเติบโตไปได้เรื่อยๆ โดยที่ไม่ต้องเพิ่มทุน หรือถ้าจะเพิ่มทุนก็ต้องเพิ่มทุนในสัดส่วนไม่สูงนักเพื่อไม่เป็นภาระกับผู้ถือหุ้น แต่การเพิ่มทุนก็ไม่ถึงกับเป็นเรื่องเลวร้ายเกินไปหากบริษัทสามารถนำเงินที่ได้รับจากการเพิ่มทุนนั้นไปลงทุนเพิ่มแล้วได้ผลตอบแทนที่สูงมากเพียงพอครับ ส่วนการเพิ่มทุนเพื่อนำเงินไปชำระหนี้นั้นถือว่าเป็นการเพิ่มทุนเพื่อให้รอดพ้นจากภาวะวิกฤติก็อาจจะไม่ใช่การเพิ่มทุนที่สร้างผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้นในระยะยาวได้มากนัก ยกตัวอย่างเช่นหุ้นสื่อสารที่ทำโทรศัพท์บ้านและมือถือตัวหนึ่งทีเพิ่มทุนไปก็ต้องการไปชำระหนี้และลด D/E ซึ่งก็ได้เงินเพียงเพื่อต่อลมหายใจเท่านั้นแต่ไม่เพียงพอที่จะไปเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันได้ครับ