แกะรอย สิงค์โปร์ (เป้าหมายที่ดูไบไปไม่ถึง)
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ค. 16, 2010 10:18 am
วันนี้หากพูดถึงสิงค์โปร์ ใครๆก็นึกถึงความสะอาด อลังการ คนมีการศึกษา รวย มีระเบียบ(อะไรจะขนาดนั้น !!)..ย้อนกลับไป 30 ปีก่อน สิงค์โปรยังล้าหลังกว่าเรามาก "ไม่มีอะไรเลย"
สิงค์โปร์ในปัจจุบันย้ายฐานการผลิตที่สกปรกออกนอกประเทศหมด เน้นส่งเสริมให้ต่างชาติมาลงทุน โดยเอื้อประโยชน์ทางภาษี และมาตรการต่างๆเช่น นโยบายสนับสนุนการซื้ออสังหาริมทรัพย์ ที่คุ้มกว่าเช่า --ระบบสาธารณูปโภคของสิงค์โปร์วันนี้ มีการขนส่งมวลชนที่สะดวก --มีการออกกฏลดการนำรถยนต์เข้าใจกลางเมือง ลดมลภาวะ และ รถติด (สร้าง Shopping Street ใต้ดินที่ทันสมัย)
ล่าสุดก็คือ Casino ที่เน้นจับนักท่องเที่ยวต่างชาติ (ถ้าคนสิงค์โปร์เข้า จะเสียค่าเข้า เพราะเขาไม่สนับสนุนให้คนของเขาเล่นการพนัน) -- วันนี้เศรษฐกิจเน้นหนักไปที่ภาคบริการที่ทันสมัย การสร้างประเทศให้เป็นศูนย์กลางการเงินของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ทั้งหมดนี้ อยู่ภายใต้วิสัยทัศน์ ของชายที่ชื่อ "ลี กวน ยู" --ทุกครั้งที่ไทยจะขุดคลองคอดกระ ก็จะมีชายคนนี้ ถือกระเป๋า เจมส์บอนด์ บรรจุด้วยเงินสด ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ "เบรคโครงการได้ทุกยุคทุกสมัย" --วันนี้รัฐบาลอภิสิทธ์ได้ เสนอแผนท่อส่งน้ำมัน ..หรือนี่จะเป็นการกระตุ้นให้ "ลี กวน ยู" มาเที่ยวเมืองไทยอีกรอบ!!-- แต่ด้วยอายุของ "ลี กวน ยู" ที่มากขึ้น ครั้งนี้ อาจต้องให้ลูกชาย "ลี เซียง ลุง" หิ้วกระเป๋ามาแทน !!(ล้อเล่นนะ...หุ หุ)
ผมได้เกร่ินมาอย่างยืดยาว เพราะอยากจะชี้ถึง ประเด็นการพัฒนาประเทศที่อาศัย เงินและอำนาจที่เบ็ดเสร็จ สิงค์โปร์ในวันนี้เป็นแบบอย่างที่จีนแผ่นดินใหญ่พยายามเดินตาม ..ด้วยปริมาณการค้าของจีนที่เกินดุล ส่งผลให้ Reserve ที่มีในมือ "ถือได้ว่ามากที่สุดในโลก"
หากมองไปรอบๆเอเชีย จะพบว่าเศรษฐกิจที่ประสบความสำเร็จ สูงสุด ก็คือ สิงค์โปร์และ มาเลเซีย (จับคนขัง ไม่ต้องสืบสวน (ยิ่งกว่า) พรก.ฉุกเฉิน แต่ไม่เห็นมีใครท้วงติง!!"อย่างว่า ประเทศเขารวย ไม่มีใครกล้าแตะ..หุ หุ) ..มาตอนนี้ก็จีนเอาบ้าง(ผูกขาดและกีดกันการค้า ส่งเสริมการลงทุนในจีนเท่านั้น และกันการโอนเงินออก!!)--- จะเห็นได้ว่าสิ่งที่ ทั้งสามประเทศนี้มีเหมือนกันก็คือ "เผด็จการทุนนิยม"
การ มีระบบการเมืองที่มั่นคง กลับทำให้ ทุนนิยมสามารถ เติบโต ซึ่งขัดกับความเชื่อสมัยก่อน ว่าเผด็จการกับทุนนิยม มันไปด้วยกันไม่ได้ แต่ทุกวันนี้ เราได้เรียนรู้จาก สิงค์โปร์, มาเลเซีย และ จีน ว่า "เผด็จการทุนนิยมมันเป็นไปได้" แถมมันยังเติบโตได้อย่างมั่นคงตลอด 30 ปีที่ผ่านมา
ซึ่งถ้ามองให้ดีแล้ว การที่ประเทศต่างๆมุ่งสู่การเป็นประชาธิปไตย มันไม่ได้การันตีความมั่งคั่งแต่อย่างใด เพราะแท้จริงแล้ว ทุนนิยมต่างหากที่สร้างให้เกิดจุดนั้น ส่วนเผด็จการกับความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ก็หลอมจนแทบแยกจากกันไม่ออก -- เศรษฐกิจเอเชียในวันนี้ช่างท้าทายแนวคิดดังเดิมของการเมืองการปกครองที่เคย มีมาในอดีตเสียจริงๆ??
"เผด็จการทุนนิยม..น่าคิด!!" --แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น "เผด็จการ"ที่ว่า ต้องฉลาดและเข้าใจการค้า อย่างพื้นฐานของสิงค์โปร์ผู้นำมีความรู้ทางด้านการค้าขาย ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นกฏหมายต่างๆ(เอื้อต่อการจัดการรวมทั้งภาษีธุรกิจที่จูงใจ)การ จัดการเงินทุน(ก็ง่ายต่อการเคลื่อนย้าย และใช้ดอลล่าห์เป็นสกุลเงินซึ่งไม่ต้องเสี่ยง ในการเคลื่อนย้ายแบบไทย) คือทุกกฎเกณฑ์จะออกมาแบบเข้าใจการค้า... "จุดนี้ทำให้ สิงค์โปร์เป็นศูนย์กลางทางด้านการค้าและการเงิน" ประเด็นนี้ ผู้นำและระบบราชการไทยยังตีโจทย์ไม่แตก และนี่ก็คือ Key success Factor ของสิงค์โปร์ คือ แม้ไม่มีทรัพยากรแต่ใช้เพียงสมองก็ "ชนะได้"...
เขียนโดย pawawit ที่ http://pawawit.blogspot.com
สิงค์โปร์ในปัจจุบันย้ายฐานการผลิตที่สกปรกออกนอกประเทศหมด เน้นส่งเสริมให้ต่างชาติมาลงทุน โดยเอื้อประโยชน์ทางภาษี และมาตรการต่างๆเช่น นโยบายสนับสนุนการซื้ออสังหาริมทรัพย์ ที่คุ้มกว่าเช่า --ระบบสาธารณูปโภคของสิงค์โปร์วันนี้ มีการขนส่งมวลชนที่สะดวก --มีการออกกฏลดการนำรถยนต์เข้าใจกลางเมือง ลดมลภาวะ และ รถติด (สร้าง Shopping Street ใต้ดินที่ทันสมัย)
ล่าสุดก็คือ Casino ที่เน้นจับนักท่องเที่ยวต่างชาติ (ถ้าคนสิงค์โปร์เข้า จะเสียค่าเข้า เพราะเขาไม่สนับสนุนให้คนของเขาเล่นการพนัน) -- วันนี้เศรษฐกิจเน้นหนักไปที่ภาคบริการที่ทันสมัย การสร้างประเทศให้เป็นศูนย์กลางการเงินของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ทั้งหมดนี้ อยู่ภายใต้วิสัยทัศน์ ของชายที่ชื่อ "ลี กวน ยู" --ทุกครั้งที่ไทยจะขุดคลองคอดกระ ก็จะมีชายคนนี้ ถือกระเป๋า เจมส์บอนด์ บรรจุด้วยเงินสด ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ "เบรคโครงการได้ทุกยุคทุกสมัย" --วันนี้รัฐบาลอภิสิทธ์ได้ เสนอแผนท่อส่งน้ำมัน ..หรือนี่จะเป็นการกระตุ้นให้ "ลี กวน ยู" มาเที่ยวเมืองไทยอีกรอบ!!-- แต่ด้วยอายุของ "ลี กวน ยู" ที่มากขึ้น ครั้งนี้ อาจต้องให้ลูกชาย "ลี เซียง ลุง" หิ้วกระเป๋ามาแทน !!(ล้อเล่นนะ...หุ หุ)
ผมได้เกร่ินมาอย่างยืดยาว เพราะอยากจะชี้ถึง ประเด็นการพัฒนาประเทศที่อาศัย เงินและอำนาจที่เบ็ดเสร็จ สิงค์โปร์ในวันนี้เป็นแบบอย่างที่จีนแผ่นดินใหญ่พยายามเดินตาม ..ด้วยปริมาณการค้าของจีนที่เกินดุล ส่งผลให้ Reserve ที่มีในมือ "ถือได้ว่ามากที่สุดในโลก"
หากมองไปรอบๆเอเชีย จะพบว่าเศรษฐกิจที่ประสบความสำเร็จ สูงสุด ก็คือ สิงค์โปร์และ มาเลเซีย (จับคนขัง ไม่ต้องสืบสวน (ยิ่งกว่า) พรก.ฉุกเฉิน แต่ไม่เห็นมีใครท้วงติง!!"อย่างว่า ประเทศเขารวย ไม่มีใครกล้าแตะ..หุ หุ) ..มาตอนนี้ก็จีนเอาบ้าง(ผูกขาดและกีดกันการค้า ส่งเสริมการลงทุนในจีนเท่านั้น และกันการโอนเงินออก!!)--- จะเห็นได้ว่าสิ่งที่ ทั้งสามประเทศนี้มีเหมือนกันก็คือ "เผด็จการทุนนิยม"
การ มีระบบการเมืองที่มั่นคง กลับทำให้ ทุนนิยมสามารถ เติบโต ซึ่งขัดกับความเชื่อสมัยก่อน ว่าเผด็จการกับทุนนิยม มันไปด้วยกันไม่ได้ แต่ทุกวันนี้ เราได้เรียนรู้จาก สิงค์โปร์, มาเลเซีย และ จีน ว่า "เผด็จการทุนนิยมมันเป็นไปได้" แถมมันยังเติบโตได้อย่างมั่นคงตลอด 30 ปีที่ผ่านมา
ซึ่งถ้ามองให้ดีแล้ว การที่ประเทศต่างๆมุ่งสู่การเป็นประชาธิปไตย มันไม่ได้การันตีความมั่งคั่งแต่อย่างใด เพราะแท้จริงแล้ว ทุนนิยมต่างหากที่สร้างให้เกิดจุดนั้น ส่วนเผด็จการกับความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ก็หลอมจนแทบแยกจากกันไม่ออก -- เศรษฐกิจเอเชียในวันนี้ช่างท้าทายแนวคิดดังเดิมของการเมืองการปกครองที่เคย มีมาในอดีตเสียจริงๆ??
"เผด็จการทุนนิยม..น่าคิด!!" --แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น "เผด็จการ"ที่ว่า ต้องฉลาดและเข้าใจการค้า อย่างพื้นฐานของสิงค์โปร์ผู้นำมีความรู้ทางด้านการค้าขาย ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นกฏหมายต่างๆ(เอื้อต่อการจัดการรวมทั้งภาษีธุรกิจที่จูงใจ)การ จัดการเงินทุน(ก็ง่ายต่อการเคลื่อนย้าย และใช้ดอลล่าห์เป็นสกุลเงินซึ่งไม่ต้องเสี่ยง ในการเคลื่อนย้ายแบบไทย) คือทุกกฎเกณฑ์จะออกมาแบบเข้าใจการค้า... "จุดนี้ทำให้ สิงค์โปร์เป็นศูนย์กลางทางด้านการค้าและการเงิน" ประเด็นนี้ ผู้นำและระบบราชการไทยยังตีโจทย์ไม่แตก และนี่ก็คือ Key success Factor ของสิงค์โปร์ คือ แม้ไม่มีทรัพยากรแต่ใช้เพียงสมองก็ "ชนะได้"...
เขียนโดย pawawit ที่ http://pawawit.blogspot.com