ขุดมาให้อ่านครับ กระทู้ปี 2003
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ค. 02, 2010 3:49 pm
ในกระทู้ต้นฉบับถูก lock เอาไว้ ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าเป็นสาเหตุทางเทคนิคหรือเพราะมีเนื้อหาอะไรที่ทำให้ถูก lock รึเปล่า ถ้าเป็นอย่างหลังแล้วเห็นว่าที่ขุดขึ้นมาไม่เหมาะสมก็ลบกระทู้นี้ทิ้งได้ครับ :D
Topic: ไม่เห็นด้วยกับ อ.นิเวศน์
http://www.thaivi.com/webboard/viewtopi ... ee&start=0
ที่ขุดขึ้นมาให้อ่านเพราะเชื่อว่าความเห็นหรือผลงานของใครก็ตามมันจะมีค่าเมื่อได้ให้เวลาเป็นตัวพิสูจน์ครับ ดังเช่นสุภาษิต หนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คนครับ
Topic: ไม่เห็นด้วยกับ อ.นิเวศน์
http://www.thaivi.com/webboard/viewtopi ... ee&start=0
ที่ขุดขึ้นมาให้อ่านเพราะเชื่อว่าความเห็นหรือผลงานของใครก็ตามมันจะมีค่าเมื่อได้ให้เวลาเป็นตัวพิสูจน์ครับ ดังเช่นสุภาษิต หนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คนครับ
ผมเข้าไปอ่านที่ Settrade.com พบหลายคนอ่านบทความของ อ.นิเวศน์แล้วเห็นขัดแย้งกัน จึงนำมาให้พวกเราได้อ่านกันบ้าง
หมายเหตุ: นี่เป็นความเห็นแย้งของผู้ที่ไม่เห็นด้วยนะครับ
โดยคุณ ปืด
เขียนเมื่อ : Wed,18 June 2003 , 14:59:22
ไม่เห็นด้วย ที่ว่า กาแฟ ชาเขียว บ้านเดี่ยว เป็นธุรกิจที่ โตพรวดและไม่ยั่งยืน โปรดพิจารณา
- starbuck ( ร้านกาแฟ ) ตลาด ที่อเมริกาให้ p/e เกือบ 30 และโตต่อเนื่องมาหลายปีมากแล้ว เป็นผู้นำตลาดที่ชัดเจน ไม่เห็นมีใครแข่งแล้วชนะเลย
- home builder ในอเมริกาเช่น kb home , toll brother และอีกมาก โตต่อเนื่องมาแล้วตั้งแต่ 1991 หลายบริษัทโตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 10 เท่าทั้งยอดขายและกำไร มี brand ที่ชัดเจน
- เป็ปซี่ ประเสริฐกว่าชาเขียวอย่างไร ในช่วงแรกๆ ก็มี cola หลายเจ้าเช่นกัน
โดยคุณ สมควร
เขียนเมื่อ : Wed,18 June 2003 , 15:09:44
ผมไม่เห็นด้วยกับ ดร. นิเวศน์เรื่อง supply ของ บ้านตอนนี้ เริ่มเท่ากับความต้องการแล้ว ให้พิจารณา ธุรกิจ รถยนต์ ซึ่งเป็น big ticket item เช่นกัน ในช่วงที่ยอดขายตกลงมากๆ เนื่องงจาก เศรษฐกิจโดยรวมไม่ดี จะมีสิ่งที่เรียกว่า pend up demand เกิดขึ้น หลังจากเศรษฐกิจฟื้น ความต้องการ จะสูงกว่า ความต้องการปกติ ช่วงเวลาหนึ่ง (อาจจะหลายปี) ก่อนที่ pend up demand จะหมดไป (ดูตัวเลขที่ chrysler ทำ ในช่วง 80-90)
ผมไม่เห็นด้วยที่ว่า supply ของบ้านตอนนี้เท่ากับความต้องการแล้ว ดูจาก บริษัทที่มีชื่อเสียงดี มี brand ชัดเจน เปิดกี่โครงการก็หมดในเวลาอันสั้น บริษัทที่กะตีหัวแล้วหนี ก็ขายไม่ออกเป็นเรื่องธรรมดา ตัวเลข สภาพัฒน์ก็บอก 80000 หลัง ตอนนี้ยังไม่ถึง 40000 เลย
โดยคุณ ทุย
เขียนเมื่อ : Wed,18 June 2003 , 15:20:34
ผมก็ไม่เห็นด้วยกับการซื้อหุ้นโดยดู p/bv ธุรกิจที่มี roe สูงๆ จะมีกำไรมากกว่า ธุรกิจที่มี roe ต่ำๆ เมื่อมี bv เท่ากัน เช่น มีแม่ไก่สองตัว ตัวหนึ่ง ไข่เป็นทอง อีกตัว ไข่ธรรมดา ถ้า เอาแม่ไก่นี้ไป ฆ่าขายเนื้อ ได้ราคาเท่ากัน ( bv เท่ากัน ) ดร. จะให้ราคาแม่ไก่สองตัวนี้เท่ากันไหม
ถ้า ดร. มีเวลาอยากให้ไปอ่าน annual report ของ berkshire hathaway ที่ warren buffet เขียน ตอนที่ซื้อ sea candy
โดยคุณ คนโง่
เขียนเมื่อ : Wed,18 June 2003 , 15:27:13
เรื่องเงินปันผลก็เช่นกัน เชียร์เหลือเกินให้จ่ายปันผลเยอะๆ ถ้าเป็นธุรกิจที่อิ่มตัวไม่มีทางขยายก็เห็นด้วย แต่ถ้าธุรกิจ กำลังโต roe เกิน 10 % ผู้บริหารมีความสามารถในการรักษา roe จ่ายปันผลหมด แล้วจะโตได้อย่างไร รู้ไหมตอนนี้บริษัทจดทะเบียนจำนวนมากเดือดร้อนมากเลย อยากขยาย ก็มีคนมาเซ้าซี้เรื่อง ปันผล
warren buffett 's Berkshire Hathaway ไม่เคยจ่ายปันผลเลย
อยากให้อ่านเรื่อง buffetology จะได้เข้าใจ
โดยคุณ สมชาย
เขียนเมื่อ : Wed,18 June 2003 , 15:36:33
ธุรกิจ รถยนต์ cyclical มากกว่า home builder เสียอีก ให้ไปดู งบ GE , chrysler , ford เทียบกับ toll brother , kb home
home builder โตประมาณ 20-30 % ทั้ง top และ bottom line มาสม่ำเสมอ ตลอด ตั้งแต่ 91 ไม่เห็นชื่อ อาจจะคิดว่าเป็น coke ก็ได้นะ
โดยคุณ Tik1234
เขียนเมื่อ : Wed,18 June 2003 , 17:10:56
I think we cannot compare P/E of new born market like Thailand(PE7) and China and other markets in Asia (exclude Japan) with P/E in Nikkei and DOWs.
P/E of Food Sector in SET can not be 30 likes Star Bucks
โดยคุณ คนผ่านมาอ่าน
เขียนเมื่อ : Wed,18 June 2003 , 23:09:49
ดร.ท่านก้อเพ้อเจ้อไปตามอารมณ์น่ะครับ เอาตลาดไทย ไปเทียบกับ ตลาดสหรัฐ
ทัศนคติ ของประชาชนต่อตลาดหลักทรัพย์มันต่างกันเห็นอยู่ชัดๆ ท่านเป็นคนพูดเรื่อง
ธรรมาภิบาล กับ value investor ในฝันของท่านที่จะให้เกิดในประเทศไทย ผมอ่านแล้ว
เฝือครับ ก้อท่านเองเป็นคนเขียนบอกเองว่า ธรรมาภิบาลของบริษัทฯ จดทะเบียนบ้านเรา
ได้เกรดอย่างมากก้อแค่ C อ่านแล้วขัดแย้งกันดีจัง ตามประสา ดร. คงกำลังหาทางไปสู่
นิพพานอยู่ ผมว่านะ เห็นจบ ด็อกเตอร์กันมาเกลื่อนเมือง ไม่เห็นมีใครนิพพานได้สักคน ยิ่งสูง
อีโก้ก้อสูงตามดีกรีที่ได้น่ะครับ
โดยคุณ ผมเห็นด้วย1
เขียนเมื่อ : Thu,19 June 2003 , 09:39:03
กระทู้นี้ดูร้อนแรงดีนะครับ กับการเสนอความคิดเห็นเชิงขัดแย้ง
คุณปืด คุณสมควร คุณทุย คุณคนโง่ คุณสมชาย ลักษณะการพูดและความต่อเนื่องนี่
เหมือนเป็นคน คนเดียวกันพูดเลย แต่เอาเหอะครับ แย้งกันด้วยเหตุและผลก็ว่ากันไป
เหรียญเดียวยังมีสองด้านเลย
ในส่วนความเห็นของผม
ดร.นิเวศน์ แกเป็น Value Investor ชั้นนำของเมืองไทยอยู่แล้วคงไม่มีใครกล้า
ปฏิเสธความสำเร็จของแกได้นะครับ ดังนั้นเวลาแกมองก็มองกันไกลๆ มองกันหลายปี
5 ปี 10 ปี ก็ว่าไป ซึ่ง ถ้าพิจารณาจากบทความแล้ว ผมเห็นว่า
บ้าน - ธุรกิจ Real Estate คงจะบูมสุดก็คือ 2 ปีนี้เท่านั้นแหละครับ สังเกตุหลายๆ
โครงการเลยทีเดียว นำโครงการเก่ามาปัดฝุ่น ตกแต่งกันใหม่ กำลังซื้อจริง ๆ ก็ไม่ได้
มากมายอย่างที่คิด หลายโครงการลงโฆษณากันเป็นปี ก็ยังขายเพื่อปิดโครงการยังไม่ได้
สักที โดยเฉพาะบ้านเดี่ยว ราคาก็ 2 ล้านขึ้นไป (โดยรวมเฉลี่ย 3 ล้านบาท) ราคาที่สูง
ขนาดนี้ต้องมีรายได้สูงพอสมควรที่จะตอบสนองตรงนี้ได้ และคนจำพวกนี้ต่างก็มีบ้าน
เป็นของตัวเองกันแล้วทั้งนั้น ยิ่งปีหน้ามาตราการลดหย่อนภาษีของรัฐหายไป ยิ่งแย่ครับ
โดยคุณ ผมเห็นด้วย2
เขียนเมื่อ : Thu,19 June 2003 , 09:48:01
กาแฟ - ธุรกิจที่ฟันกำไรกันสูงมาก ลงทุนไม่เยอะนัก ผลตอบแทน การคืนทุน ในระยะเวลาสั้น
แต่คู่แข่งเยอะมาก จะเห็นได้ว่าเปิดกันดาษดื่น ที่สำคัญกาแฟไทยบางเจ้า ดันตั้งราคาขายซะ
ขาดแค่ 5 บาทก็เท่ากาแฟ STARBUCK ซะแล้ว ทั้ง ๆ ที่ ไม่ต้องจ่ายค่าโฆษณา ค่าสร้าง
แบรนด์เหมือนของนอกสักหน่อย จากปัจจัยรอบ ๆ ด้าน ธุรกิจนี้ในความเห็นผม ถ้าไม่โดดเด่น
จริง ๆ ละก็ รอดยากครับ
ชาเขียว - อันนี้ตามสมัยนิยมนะครับ จะเห็นว่าเมืองไทยจะบ้าอะไรเป็นพัก ๆ ช่วงนี้ฮิตเรื่อง
สุขภาพ ชาเขียวเลยกลายมาเป็นตัวชูโรงของหลาย ๆ ผลิตภัณฑ์กันทีเดียว การทำกำไรระยะสั้น
คงเป็นไปได้ด้วยดีครับ เพราะมีความนิยมจากผู้บริโภคอยู่ แต่ระยะยาวคงไม่ดีสักเท่าไหร่
ก็ถ้ามองกันสั้น ๆ บ้าน - กาแฟ - ชาเขียว คงเป็นอะไรที่น่าสนใจอย่างมาก แต่ถ้ามองกันยาว ๆ
ผมว่าต้องพิจารณากันดี ๆ แล้วล่ะครับ
ขอเป็นอีกหนึ่งความเห็นนะครับ
โดยคุณ มดง่าม
เขียนเมื่อ : Thu,19 June 2003 , 10:19:04
-ทุกความเห็นคือความเห็นส่วนตัวครับ ส่วนตัวมองว่าไม่ควรเป็นเหมือนการโต้วาที หาเหตุผลมาแย้งกัน ผมว่ารับทุกความเห็นและก็มีความเห็นเป็นส่วนตัวต่างหากไว้
-ถ้าความเห็นเหมือนกันหมดไม่มีการซื้อขายหุ้นหรอกครับ
โดยคุณ ปืด
เขียนเมื่อ : Thu,19 June 2003 , 11:26:59
ผมไม่เห็นด้วย ว่า กาแฟ ชาเขียว บ้านเดี่ยวเป็นอะไรที่สั้นๆ
- starbuck โตมาเป็น 10 ปีแล้ว
- ชาเขียวในญี่ปุ่นก็ได้รับความนิยมมาเป็น ร้อยปีแล้ว ส่วนตัวผมเองรู้จักชาเขียวมาเกือบสิบปี ก็ยังไม่เสื่อมความนิยม
- home builder ในอเมริกาโตมาเป็นสิบปีแล้ว อย่างต่อเนื่อง
คุยกันด้วยตัวเลขดีกว่าครับ ใช้ความรู้สึกคงไม่เหมาะนัก
โดยคุณ ปืด
เขียนเมื่อ : Thu,19 June 2003 , 11:30:11
เคยมีคนทำสำรวจ ถามคนอเมริกาว่า คุณคิดว่าคุณสามารถทำ sandwich ได้อร่อยกว่า mcdonald ไหม เกิน 50 %บอกว่า เขาสามารถทำได้อร่อยกว่า แล้วทำไม mc donald โตมานับ สามสิบสี่สิบปีครับ เข้าใจว่าแรกๆ ที่เกิด ก็คงมีคนคิดแบบ dr. นิเวศน์เต็มไปหมด ว่าเป็นคงไม่นานหรอก แล้วเป็นไง
โดยคุณ ปืด
เขียนเมื่อ : Thu,19 June 2003 , 11:33:22
-เรื่องของร้านหนังสือ ที่ ดร. คิดว่าเป็นอะไรสั้นๆ ขอให้ไปอ่าน annual report ปี ล่าสุด ที่ warren buffet เขียน เกี่ยวกับ amazon และ buffet ซื้อ หุ้นกู้ของ amazon
- ล่าสุด warren buffet ซื้อ home builder ที่ชื่อ clayton home ที่ p/e 15 ครับ
โดยคุณ สมชาย
เขียนเมื่อ : Thu,19 June 2003 , 11:38:49
ใครรู้บ้างว่า มาม่า ที่เชียร์กันนักหนา กำลังเผชิญปัญหาหนัก
1. ต้นทุนการผลิต ผันผวนตามราคา ข้าวสาลี และ น้ำมันพืช ดูจาก gross margin ย้อนหลัง หลายๆ ปี ผันผวนมาก
2. การขึ้นราคา ไม่ใช่ว่าจะทำกันได้ง่ายๆ ลองขึ้นตอนนี้ดูสิ เสียส่วนแบ่งการตลาดแน่นอน
3. asset turnover ตกมาตลอดในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา
โดยคุณ ทุย
เขียนเมื่อ : Thu,19 June 2003 , 11:43:19
ผมเป็นคนหนึ่งล่ะ ที่กินบะหมี่สำเร็จรูป โดยไม่สนว่าจะเป็น มาม่า ไวไว หรือ ยำยำ อะไรก็ได้รสชาติ เหมือนๆ กัน
โดยคุณ หมอดู คู่กะ หมอเดา
เขียนเมื่อ : Thu,19 June 2003 , 16:15:30
ผมก็เป็นคนหนึ่งครับ ที่กินบะหมี่สำเร็จรูป
และต้องเป็น มาม่า หมูสับเท่านั้น
อย่างอื่นลองมาหมดแล้ว ไม่ถูกคอผมเลยครับ
โดยคุณ ถึก
เขียนเมื่อ : Thu,19 June 2003 , 17:02:17
เขาพูดถึงมาม่า มาตั้งนานแล้ว และก็รวยกันหมดแล้ว
คุณทุย ทุยสมชื่อจริงๆ
ไม่เชื่อเขาก็ไม่ต้องเชื่อ ผลตอบแทนจะเป็นเครื่องพิสูจน์เอง
โดยคุณ ทุย
เขียนเมื่อ : Thu,19 June 2003 , 17:59:29
แล้วจะคอยดู เห็น งบไตรมาสหนึ่งแล้วยัง กำไรโตสมใจไหม และราคาน้ำมันพืชก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะลง ราคาข้าวก็เพิ่มเอาเพิ่มเอา ไตรมาสต่อไปก็คงกำไรดีอีกแน่ ยอดขายก็คงโตมโหฬารในระดับ 0 % ต่อไปเป็นปีที่ห้า gross margin ปีนี้ก็คงต่ำกว่า 20 % ขอให้ถือให้มั่นคงนะครับ จะได้รวยสมใจ
ใช่ผมมันไม่ฉลาด เขาให้เชื่อก็ไม่เชื่อ ถึงแม้เพื่อนจะกินหญ้าก็ตาม กลัวว่าจะรวยเกินหน้าเกินตา คุณถึก
อยากฉลาดแบบคุณถึกจัง
โดยคุณ ทุย
เขียนเมื่อ : Thu,19 June 2003 , 18:01:44
ข้าวแกงข้างบ้านอร่อยกว่าตั้งเยอะ มีประโยชน์ด้วย ( โทษทีเล่นหุ้นแล้วมีกำไรเลยมีเงินซื้อข้าวแกงกิน ไม่ต้องกินมาม่า )
โดยคุณ ปืด
เขียนเมื่อ : Thu,19 June 2003 , 18:20:04
ผมเชื่อว่า TF , HTC , SSC , WACOAL จะทำผลตอบแทนได้ต่ำกว่าหุ้นชั้นนำกลุ่มอสังหา อย่าง LH , AP , supali หรือ หุ้นในกลุ่มอาหาร อย่าง s&p (มีกาแฟ blue cup) หรือ ชาเขียวอย่าง TIPCO , MALEE ในปีต่อๆ ไปนี้ แล้วจะได้รู้กันว่า กาแฟ( เสียดาย nescafe ยังไม่เข้าตลาด ) , ชาเขียว , บ้านเดี่ยว ไม่ใช่ อะไรที่มาไวไปไวอย่างที่ นายแบงค์เข้าใจ
โดยคุณ สมควร
เขียนเมื่อ : Thu,19 June 2003 , 18:32:18
ผมมีความเข้าใจเกี่ยวกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อย่างหนึ่งไม่รู้ถูกหรือเปล่า คนที่กิน มักจะไม่ค่อยมีตังค์กินข้าว เช่นนักเรียนนักศึกษาที่ยังไม่มีรายได้ และ ทางบ้านค่อนข้างยากจน หรือไม่ก็คนที่รายได้น้อย ทีนี้ถ้าเศรษฐกิจฟื้นแบบ ทั่วถึง คือ พืชผลทางการเกษตรราคาดี การค้าการขายคล่อง คน ก็จะมีเงินมากินอะไรที่มีประโยชน์มากขึ้น ทำให้ความจำเป็นที่จะต้องกิน บะหมี่เพื่อพอให้อิ่มไปวันๆ ก็จะหมดไป ยอดขาย มาม่าในปีที่แล้วจึงตกลง รวมถึง ไตรมาสแรกที่ผ่านมา และ อนาคตก็จะตก ลง ด้วย ตลาดที่จะมีศักยภาพ ของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็จะเป็นพวก ประเทศเพื่อนบ้านเรา อย่าง พม่า ลาว เขมร อะไรทำนองเนี้ย
โดยคุณ นักศึกษาแดนใต้
[email protected]
เขียนเมื่อ : Thu,19 June 2003 , 18:54:07
พูดถึงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแล้ว ผมจะกินก็ตอนหาอะไรกินไม่ได้จริง ๆ หรือไม่ก็ไม่มีตังค์จริง
หรือไม่ก็น้ำท่วมครับ
ถ้าไม่ขาดแคลนจริงๆก็ไม่กินหรอกครับ
โดยคุณ genie
[email protected]
เขียนเมื่อ : Thu,19 June 2003 , 20:36:36
ในความคิดส่วนตัวของผม ผมคิดว่าการที่คุณปืดยกตัวอย่างเช่นstarbuckกับสิ่งที่อ. เอ่ยถึงมันค่อนข้างคนละประเด็นอยู่ซักหน่อย เพราะประเด็นที่คุณปืดพูดถึงเป็นมุมมองเชิงจุลภาคคือเรายกโมเดลที่ประสบความสำเร็จ แต่ในขณะที่ผมอ่านบทความของอ. ผมกลับเห็นว่าสิ่งที่อ. พูดถึงคือเรื่องเชิงมหภาค ยกตัวอย่างง่ายๆนะครับ ตอนที่aramazonบูม หรือyahooบูม ณ ช่วงเวลานั้นต่างมี webที่ขายหนังสือ หรือsearch engineตามมามากมาย แต่สุดท้ายที่คงเหลือก็คือผู้แข็งแกร่งเพียงไม่กี่ราย อีกตัวอย่างที่ใกล้ตัวขึ้นอีกนิด "ชาไข่มุก" ถ้าคุณๆจำกันได้ก่อนหน้านี้มีสารพัดเจ้า แล้วปัจจุบันเหลือกี่เจ้าครับ แม้แต่สาโท ที่รัฐสนับสนุนจากหลายร้อยเจ้าปัจจุบันก็จะเหลือเพียง2-3เจ้าเท่านั้น ซึ่งผมว่าสิ่งนี้แหละครับที่อ. กำลังบอก มันคือวัฐจักรและธรรมชาติของธุรกิจครับ
โดยคุณ pooh
[email protected]
เขียนเมื่อ : Fri,20 June 2003 , 00:37:58
แต่ชาเขียวอร่อยดีนะ บะหมี่สำเร็จรูปก็อร่อย แม้ว่าผมจะมีปัญญาซื้อไวน์แพงๆ และกินภัตตาคารทุกมื้อได้โดยไม่เดือดร้อน แต่ผมก็ยังชอบกินนะครับ พูดแล้วหิวไปกินดีก่า
โดยคุณ มดง่าม
[email protected]
เขียนเมื่อ : Fri,20 June 2003 , 07:51:10
ขอเสริมคุณgenieอีกนิดครับ ผมอ่านบทความของดร.นิเวศน์แล้ว เป็นการมองภาพรวมของธุรกิจ เมื่อผลตอบแทนสูงก็มีคนเข้ามามาก ส่วนกระทู้ก็แย้งโดยอ้างชื่อยี่ห้อเป็นเหตุการณืที่จะตามมา เมื่อมีผุ้เข้ามาเล่นมาก ผู้ที่สร้างชื่อยี่ห้อ แล้วลูกค้าจงรักภักดีนั่นคือผู้ที่อยู่รอดภายหลัง
โดยคุณ ปืด
เขียนเมื่อ : Fri,20 June 2003 , 09:32:31
ผมขอเสนออีกภาพ ที่ค่อนข้างขัดแย้งกับ ดร.
ธุรกิจ อสังหา บ้านเรา ผ่าน consolidation มาแล้ว อย่างหนักเสียด้วย ช่วงวิกฤติที่ผ่านมา ผู้ที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบันเป็นพวกที่ มีศักยภาพ และมี brand จึงไม่ถูกนัก ถ้าจะเหมารวมว่า ในปัจจุบันเป็นธุรกิจที่มาไวไปไว แน่นอนจะเกิดฟองสบู่ได้อีก ถ้า นายแบงค์ ปล่อยให้ใครก็ไม่รู้ มากู้ไปสร้างโครงการโดยไม่คำนึงถึง ความเป็นไปได้ของโครงการ
สถานะการ อสังหาบ้านเราตอนนี้ไม่ต่างจาก สหรัฐ หลัง consolidation ปี 1991 คือเหลือรายใหญ่ที่มีศักยภาพไม่กี่ราย (oligopoly) และมี niche รายย่อย อีกมาก บริษัทใหญ่ๆ เหล่านี้ก็จะโตได้อย่างต่อเนื่อง เป็น ธุรกิจที่ mature มี barrier to entry
ธุรกิจทุกธุรกิจ ในช่วงเริ่มต้น การแข่งขันรุนแรงเป็นเรื่องธรรมดา ช่วง ต้น 1900 มีบริษัทรถยนต์ เป็น พัน บริษัท ตอนนี้ เหลือ ไม่กี่บริษัท ดังนั้นการที่จะ ระบุว่า กาแฟ ชาเขียว บ้านเดี่ยว เป็นการไม่สมควรอย่างยิ่ง และ ธุรกิจเหล่านี้ ก็ไม่ได้อยู่ในภาวะเริ่มต้นอย่างที่ นายแบงค์เข้าใจ
โดยคุณ ปืด
เขียนเมื่อ : Fri,20 June 2003 , 09:38:02
ธุรกิจ บ้านเดี่ยวตอนนี้เป็น oligopoly ครับ บ้านไม่มีคุณภาพไม่มี brand คนซื้อ เขาไม่กล้าซื้อแล้วครับ
ธุรกิจ กาแฟบ้านเรา ก็ไม่ได้ fragmented มีรายใหญ่ครองตลาด อาจจะหลายเจ้าหน่อย
ชาเขียวค่อนข้างจะเริ่มต้น แต่ก็เริ่มมีรายใหญ่ปรากฎขึ้น ผมเชื่อว่าไม่ใช่ fad แน่นอน
สงสัยจัง ดร. มีอคติอะไรกับ ธุรกิจนี้หรือเปล่า
โดยคุณ ทุย
เขียนเมื่อ : Fri,20 June 2003 , 09:41:26
การ consolidation ในธุรกิจบ้าน ที่ผ่านมา ผมกลับมองว่าเป็นสิ่งที่ดี ที่ทำให้รายใหญ่ยิ่งใหญ่และมั่นคงขึ้น (สังเกตุได้จาก ส่วนแบ่งการตลาด land and house เพิ่มจากไม่ถึง 10 % ก่อน วิกฤต เป็น กว่า 30 % ) นี่เป็นโอกาสในกาสซื้อธุรกิจที่ดีในราคาถูก ต่างหาก
พวกรายเล็กรายน้อยที่ไม่มีความสามารถ กะตีหัวแล้วหนี ไม่มีใครกล้าซื้อแล้วครับ และจะเกิดยากมาก
โดยคุณ ทุย
เขียนเมื่อ : Fri,20 June 2003 , 09:43:01
land and house ควรได้ p/e ไม่ต่ำกว่า 20 ไม่ใช่ ไม่ถึง 10 อย่างที่ ดร. กำลังพยายามชี้นำ
โดยคุณ genie
genie_agy
เขียนเมื่อ : Fri,20 June 2003 , 11:07:36
เรียนคุณปืด ผมบอกตามตรงว่าผมไม่ปฏิเสธความคิดเห็นของคุณ แต่ในมุมมองของผมบทความของ อ. เป็นเสมือนสัญญาณเตือนก็เท่านั้น เพราะภายใต้การเติบโตที่รุนแรง panicก็ย่อมที่จะเกิดขึ้นตามมา ฉะนั้นการเลือกลงทุนก็ควรที่จะให้ความใส่ใจเช่นกัน เพราะผมเชื่อว่ายังมีนักลงทุนอีกหลายท่านที่คิดในเชิงเหมารวม ฉะนั้นหากไม่มีสิ่งที่มาเบรคหรือกระตุ้นให้หยุดคิดน่าจะเป็นสิ่งที่แย่กว่านะครับ
โดยคุณ หมอดู คู่กะ หมอเดา
เขียนเมื่อ : Fri,20 June 2003 , 13:26:25
ขอชูจักกะแร้ เชียร์ คุณ genie สักหนึ่งเสียง ครับ
โดยคุณ ไม่ลงชื่อกลัวโดนด่า
เขียนเมื่อ : Fri,20 June 2003 , 17:56:44
เหม็นเต่า
โดยคุณ ทุย
เขียนเมื่อ : Mon,23 June 2003 , 09:22:27
ถ้ามีเจตนา บริสุทธิ์ก็ เป็นสิ่งที่ดีครับ แต่ยังสงสัยในการพยายามชี้นำว่า VI ไม่ควรลงทุนใน หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์
โดยคุณ ปืด
เขียนเมื่อ : Mon,23 June 2003 , 09:32:58
อยากให้ ดร. เตือน หุ้นอย่าง wacoal ด้วยว่า แพงไป แล้ว ขึ้นอย่างไร้เหตุผล p/e ตั้ง 11 กำไรไม่โตมา ห้าปีแล้ว ธุรกิจบริษัทแม่ที่ list อเมริกายิ่งแย่หนัก แทบไม่มีกำไร ราคาก็ตกเอาตกเอา จนถูกถอดจาก russell 2000 แล้ว
นี่ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งครับ
โดยคุณ ทุย
เขียนเมื่อ : Mon,23 June 2003 , 09:40:06
warren buffet ที่ใครๆ หลายคน นับถือ ว่าเป็น อาจารย์ใหญ่ของ value investor (ทั้งๆที่ตัวเขาเองก็แย้งเสมอมา) มักลงทุนในหุ้นที่ มีปัจจัยพื้นฐานดีหวังผลกันในระยะยาว เข้าซื้อ หุ้น อสังหา ที่สร้างบ้านเดี่ยว clayton home ที่ p/e 15 เมื่อ สองสามเดือนที่ผ่านมานี้เอง
ทั้งๆ ที่หลายคนกำลังกลัวว่าอสังหา ในอเมริการ้อนแรงเกินไปแล้ว และกำลังจะ ตกต่ำ
เลยสงสัยว่าที่มี คนบางคนในระดับ ดร. ออกมาเขียนว่า VI ไม่ลงทุนในหุ้นอสังหา และ p/e ไม่ควร เกินสิบ เป็นเพราะ ไม่รู้จริงๆ หรือมี นอกมีใน ถ้าไม่รู้ควรกลับไปศึกษามาใหม่นะครับ
โดยคุณ ถึก
เขียนเมื่อ : Mon,23 June 2003 , 10:27:40
คุณทุยพยายามเน้นด้านอสังหาฯ ดีจังนะครับ และสิ่งที่นำมาเปรียบเทียบนี่ผมว่า
มีสถานะการณ์ที่ไกลตัวไปหน่อยหรือเปล่าครับ โดยส่วนตัวถ้าผมจะลงทุนผมคง
มองที่ปัจจัยต่าง ๆ ภายในประเทศก่อน แนวโน้มควรจะเป็นอย่างไร ไม่ใช่ Warren
Buffet ลงทุนด้านไหนแล้วผมจะไปลงทุนตามนะครับ เค๊ากับผมอยู่กันคนละประเทศกัน
แต่ถ้าเอาหลักแนวคิดของ Warren Buffet มาปรับใช้ให้เหมาะกับสถานการณ์บ้านเรา
อย่างนี้ผมว่าน่าจะดีกว่านะครับ
อีกอย่างคนระดับ ดร. ออกมาเขียนบทความ เราก็รับฟังเค๊าไว้สิครับ ในมุมมองของเขา
ที่มีภายในประเทศ ส่วนคุณจะเชื่อหรือไม่นั่นก็อีกเรื่องนึง เพราะคุณเองควรจะเป็นคน
หาข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจในการลงทุนครั้งสุดท้ายไม่ใช่เหรอครับ
อีกอย่างส่วนตัวผมเห็นว่าถ้าทำกำไรระยะสั้นหุ้นกลุ่มอสังหาฯก็น่าสนใจอยู่ แต่หากจะถือ
ยาว ๆ ผมว่ามีน้อยตัวมากที่จะเลือกได้ในหุ้นกลุ่มนี้
อ้อ p/e เมืองนอก กับ เมืองไทย อย่าเอามาเทียบกันเลยครับ ดูมูลค่าตลาดแล้วของเรา
มันแค่เศษเสี้ยวของเขา อย่าพยายามเอาตัวเลขบ่งชี้ต่าง ๆ ของเมืองนอกมาเป็นบรรทัดฐาน
เทียบกับตัวเลขภายในประเทศเลยครับ คนละเรื่องเดียวกัน
โดยคุณ ทุย
เขียนเมื่อ : Mon,23 June 2003 , 11:08:38
ผมเพียงอยากให้มองหลายๆ ด้านเกี่ยวกับ ธุรกิจอสังหา ดร. นิเวศน์ บอกว่าไม่ดี ผมว่าเหตุผลไม่ค่อยเข้าท่า ใช้ความรู้สึกเป็นส่วนใหญ่ โดยไม่คำนึงถึงสภาพความเป็นจริงและตัวเลขที่เป็นทางการ ผมก็นำความคิด คนที่เก่งกว่า ดร. นิเวศน์ มานำเสนอ
คนระดับ ดร. ไม่จำเป็นต้องฉลาด หรือมีเหตุผลกว่า คนจบ ป4 ไม่อย่างนั้น คนจบ ป4 บางคน ทำไมมี ลูกน้อง จบ ดร. เต็มเลย หรือหวังเงินอย่างเดียว
ผมฟัง แต่ผมไม่จำเป็นต้อง เชื่อฟัง ผมไม่กินหญ้าครับ หรือคุณถึก กิน
ขนาดของตลาด กับ p/e มันเกี่ยวกันยังไงครับ คนไทยส่วนใหญ่ไม่ได้โง่กว่าฝรั่งนะครับ ยกเว้นบางคน ที่ บอกว่า ดร. ออกมาพูดแล้วต้องเชื่อ
โดยคุณ ทุย
เขียนเมื่อ : Mon,23 June 2003 , 11:08:44
ผมเพียงอยากให้มองหลายๆ ด้านเกี่ยวกับ ธุรกิจอสังหา ดร. นิเวศน์ บอกว่าไม่ดี ผมว่าเหตุผลไม่ค่อยเข้าท่า ใช้ความรู้สึกเป็นส่วนใหญ่ โดยไม่คำนึงถึงสภาพความเป็นจริงและตัวเลขที่เป็นทางการ ผมก็นำความคิด คนที่เก่งกว่า ดร. นิเวศน์ มานำเสนอ
คนระดับ ดร. ไม่จำเป็นต้องฉลาด หรือมีเหตุผลกว่า คนจบ ป4 ไม่อย่างนั้น คนจบ ป4 บางคน ทำไมมี ลูกน้อง จบ ดร. เต็มเลย หรือหวังเงินอย่างเดียว
ผมฟัง แต่ผมไม่จำเป็นต้อง เชื่อฟัง ผมไม่กินหญ้าครับ หรือคุณถึก กิน
ขนาดของตลาด กับ p/e มันเกี่ยวกันยังไงครับ คนไทยส่วนใหญ่ไม่ได้โง่กว่าฝรั่งนะครับ ยกเว้นบางคน ที่ บอกว่า ดร. ออกมาพูดแล้วต้องเชื่อ
โดยคุณ ทุย
เขียนเมื่อ : Mon,23 June 2003 , 11:11:01
ผมเข้าใจว่า อย่างคุณถึก เนี่ย คงถือ htc , ssc หรือ wacoal แน่เลย ถือยาวๆ เลยนะครับ