มี100ล้านไม่ยากอย่างที่คิด สูตรรวย'ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร'
โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 28, 2010 10:33 am
เปิดวิธีคิดฉบับ How To..ทำอย่างไร? เคล็ดลับสู่เงิน 'ร้อยล้าน' ไม่ใช่แค่ฝันเฟื่อง 'ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร' แนะวิธีลงทุนเด็ด ๆ โกยกำไรปีละ 20%
"ถ้าคนเราไม่ประหยัด หาเท่าไหร่ก็ไม่พอ (ใช้) นอกจากไปโกงเขามา ไอ้การโกงนี่มันได้มาแบบเงินล้นฟ้า แต่ก็ไม่มีความสุข ถ้าคนเราทำอาชีพสุจริตแต่ไม่ประหยัด ชีวิตนี้ก็ไม่มีทางร่ำรวย" วลีเด็ดของ ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร ประธานชมรมคนออมเงิน และผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายเกี่ยวกับการ เงินและภาษี วัย 65 ปี ที่ปัจจุบันมีทรัพย์สินเงินทองนับ "พันล้านบาท" จากนิสัยมัธยัสถ์มาตลอดชีวิต
ครอบครัววลัยเสถียร นับถือคาทอลิก แต่มีความเชื่อว่าโชคดีมาหนเดียว แต่โชคร้ายอาจเกิดขึ้นได้หลายหน ดังนั้นพวกเราต้อง "จ่าย" ให้น้อยกว่า "รับ" เราจึงจะเก็บความมั่งคั่งเอาไว้ได้...เมื่อหาเงินมาได้ 10 บาท ก็จะนำไปใช้ 5 บาท ส่วนที่เหลืออีก 5 บาท ก็เก็บออม อาจารย์สุวรรณทำมาแบบนี้ตลอดหลายสิบปี ด้วยความเชื่อที่ว่า หาได้มากน้อยเท่าไรไม่สำคัญ จ่ายมากน้อยเท่าไรเป็นเรื่องสำคัญกว่า
ดร.สุวรรณ สร้าง "เซอร์ไพรส์" ครั้งแสดงบัญชีทรัพย์สินเมื่อตอนเป็น รมช.พาณิชย์ ช่วงปี 2544 ส่วนตัวมีทรัพย์สินมากถึง 557 ล้านบาท ส่วนภรรยามีทรัพย์สิน 121 ล้านบาท สองคนรวมกันมีทรัพย์สินเกือบ 700 ล้านบาท ปัจจุบันอาจารย์เป็นประธานกรรมการ บมจ.เอสวีไอ ในช่วงเดือนมิถุนายน 2553 ที่ผ่านมา ใครหลายคนอาจเห็นชื่อประธานชมรมคนออมเงิน แอบ "ออมหุ้น" SVI เกือบ 5 ล้านหุ้น มูลค่าเฉียด 12 ล้านบาท มีต้นทุนอยู่ที่หุ้นละ 2.34 บาท ทำเอาหุ้นตัวนี้ "แอบขึ้น" ไปอย่างมากจากเหล่าสาวกที่แห่ซื้อตาม
ตั้งแต่เกษียณจากงานการเมืองก็หันมาเอาดีทางด้านงานเขียนหนังสือประเภท "ฮาวทู" มีผลงานบนแผงหนังสือนับสิบเล่ม เรียกได้ว่าเป็น "กูรู" ด้านการเงินชั้นแนวหน้าคนหนึ่งของเมืองไทย อาทิ พ่อสอนลูกให้รวย, สอนเมียให้รวย, สอนเพื่อนให้รวย, กลยุทธ์การปลดหนี้ และจ่ายภาษีก็รวยได้ เป็นต้น และเป็นวิทยากรบรรยายในงานสัมมนาต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
ดร.สุวรรณ บอกผ่าน กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ว่า ถ้าคุณอยากกอดเงิน "ร้อยล้าน" ไม่ได้อยากอย่างที่คิด หากเริ่มทำตั้งแต่วันนี้ แต่อาจต้องใช้เวลานานถึง 15 ปีขึ้นไป เพราะคงไม่มีใครเก่งมากพอที่จะหาเงินก้อนโตได้ภายในเวลา 3-5 ปีหรอกจริงมั้ย!
หากคุณอยากพบกับ Road to Wealth หรือ หนทางสู่ความมั่งคั่ง ให้ปฏิบัติตัวดังนี้...
ข้อแรก ต้องเป็นคนที่หมั่นศึกษาหาความรู้ตลอดเวลา ไม่ใช่เรียนจบแล้วก็แล้วกัน ความคิดต้องมีความทันสมัย ก้าวทันทุกเหตุการณ์ ที่สำคัญต้องเก่งภาษาอังกฤษ ไม่เช่นนั้นหากินลำบากแน่นอน
ข้อสอง คุณต้องขยัน เป็นคนหนักเอาเบาสู้ ถึงไหนถึงกัน
ข้อสาม ต้องหมั่นดูแลความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอ อย่าให้ตัวเองต้องตกอยู่ในความไม่ปลอดภัย
ข้อสุดท้าย คุณต้องรู้จักประหยัด อดออม อย่าโลภเป็นอันขาด เพราะความโลภเป็นหนทางสู่ความไม่มั่นคงในชีวิต ข้อคิดและนิสัยเหล่านี้ถือพื้นฐานของคนที่จะร่ำรวย
“เงินร้อยล้านบาทถ้าอยากมีต้องรีบทำ ควรเริ่มคิดตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยปี 2 หรือปี 3 ถ้าช้ากว่านั้นอาจไม่ทันการณ์ แต่ถ้าไม่หวังสูงมากอยากมีเงินสัก 5 ล้านบาท ก่อนอายุ 40 ปี ก็สามารถทำตามวิธีนี้ได้เหมือนกัน”
การลงทุนเรื่องอายุก็สำคัญถ้าหากอายุยังน้อย 20-30 ปี ก็สามารถลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงได้มาก เนื่องจากยังมีเวลาการทำงานเหลืออีกมากเมื่อพลาดพลั้งไปก็ยังหาเงินได้ใหม่ แต่หากอายุเยอะไม่ควรลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง เพราะถ้าผิดพลาดไปก็จะไม่มีเวลาแก้ตัว ชีวิตบั้นปลายจะลำบาก นอกจากนี้เรื่องการกระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์หลายประเภทก็มีความสำคัญ
ประธานชมรมคนออมเงิน แนะนำว่า สมมติถ้ามีเงิน 100 บาท อาจแบ่งเงินออกมาราวๆ 50-60% เพื่อนำไปลงทุนในตลาดหุ้น ถ้าเป็นช่วงนี้ก็ควรเน้นหุ้นกลุ่มสถาบันการเงิน เนื่องจากกลุ่มนี้จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ และมีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง แต่ควรจะเลือกซื้อตัวไหนบ้าง คงต้องขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคล คงไม่สามารถบอกเป็นตัวๆ ได้
"ผมไม่ใช่เซียนหุ้น ไม่เชี่ยวชาญขนาดนั้น ที่สำคัญไม่อยากคุยเรื่องหุ้นเท่าไรนัก" อาจารย์ออกตัว
ส่วนหุ้นกลุ่ม Modern Trade (ธุรกิจค้าปลีก) ถือเป็นอีกกลุ่มที่น่าสนใจ โดยเฉพาะสยามแม็คโคร (MAKRO) ซีพี ออลล์ (CPALL) และบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ (BIGC) ส่วนตัวชอบ MAKRO มากที่สุด เพราะเมื่อปี 2552 มีกำไรต่อหุ้นสูงถึง 6.36 บาท เมื่อเทียบกับหุ้น BIGC ที่มีกำไรต่อหุ้นเพียง 3.58 บาท ส่วนหุ้น CPALL มองว่าแพงไปหน่อย แต่หากมองในแง่เงินปันผลก็โอเค
มุมมองส่วนตัวของ ดร.สุวรรณ เชื่อว่า ตลาดหุ้นในช่วงที่เหลือของปี 2553 และปี 2554 คงจะปรับตัวดีขึ้นเรื่อยๆ คาดว่าดัชนีสิ้นปี 2553 จะขึ้นจาก 780-790 จุด มายืนแถวๆ 860 จุด หรือบวกมาประมาณ 10% กลุ่มยานยนต์ และอสังหาริมทรัพย์ ก็ชอบ เพราะหุ้นกลุ่มนี้จ่ายเงินปันผลดี ส่วนตัวมองว่ากลุ่มนิคมอุตสาหกรรมกำลังจะฟื้นตัว หลังลงไปสัมผัส “จุดต่ำสุด” ฉะนั้นหากมีเงินก็รีบหาจังหวะเก็บไว้ได้
โดยเฉพาะไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น (TICON) หุ้นตัวนี้เขามีดีตรงเงินปันผล ส่วนอมตะ คอร์ปอเรชัน (AMATA) ซื้อเก็บไว้ก็ดีเชื่อว่าราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นหลังสถานการณ์การเมือง และภาวะเศรษฐกิจกำลังจะดีขึ้น
ด้านกลุ่มท่องเที่ยว ถือเป็นอีกกลุ่มที่น่าจับตามอง เพราะตอนนี้กลุ่มนักธุรกิจกลับมาแล้ว และอีกไม่นานกลุ่มท่องเที่ยวจะตามมา ส่วนกลุ่มที่เข้ามาจัดงานประชุม และแสดงสินค้า อาจยังกล้าๆ กลัวๆ คงต้องให้เวลาเขาอีกสักหนึ่งปี
นอกจากการลงทุนในหุ้นปัจจัยพื้นฐานดีและจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอแล้ว กูรูท่านนี้ยังแนะนำว่า ให้นักลงทุนแบ่งเงินประมาณ 10-15% ไปลงทุนในทองคำ เชื่อว่าสิ้นปีนี้ทองคำอาจขึ้นมายืนระดับ 20,000 บาท ได้ไม่ยาก และอีก 5-10% ให้เก็บเป็นเงินสดไว้ใช้ยามฉุกเฉิน ส่วนที่เหลือให้นำไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์
การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เป็นสิ่งที่ ดร.สุวรรณ แนะนำมานานแล้ว บ้านของอาจารย์ที่ปัจจุบันใช้เป็นสำนักงานด้วย อยู่ในซอยสุขุมวิท 8 (ซอยปรีดา) อาจารย์ซื้อมาเพียง 5 ล้านบาท เมื่อ 20-30 ปีก่อน ปัจจุบันเฉพาะที่ดินก็มีมูลค่าหลายสิบล้านบาทแล้ว ถ้าเทียบกับฝากเงินแบงก์ ใช้ประโยชน์กับบ้านไม่ได้ แต่บ้านทำให้เราอยู่สบาย
"หากคุณลงทุนตามแบบฉบับของผม รับรองได้ว่าจะได้รับกำไรเข้ากระเป๋าปีละ 20% แน่นอน แต่ทั้งหมดต้องทำบนความไม่เสี่ยง ไม่โลภ และหุ้นแต่ละตัวต้องมีการเติบโตที่ดี และมีเงินปันผลสม่ำเสมอ" อาจารย์ย้ำ
ถามเรื่องทิศทางเศรษฐกิจ ดร.สุวรรณ เชื่อว่าทุกอย่างคงไปได้ด้วยดี ดูจากราคาสินค้าเกษตรที่มีทิศทางดีขึ้น ปกติประเทศไทยจะส่งออกแต่วัตถุดิบ แต่วันนี้ส่งเป็นสินค้าสำเร็จรูปมากขึ้น ซึ่งการส่งออกในลักษณะนี้จะมีมาร์จินที่ดีกว่า ยิ่งมองไปในธุรกิจยานยนต์จะเห็นเลยว่า ปีนี้ผลิตรถยนต์ได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่วนค่าเงินบาทอาจยืนราวๆ 32.2-32.3 บาท คงไม่ลงไปอยู่ 31 บาทแน่นอน สำหรับราคาน้ำมันอาจนิ่งอยู่ระดับ 80-85 เหรียญต่อบาร์เรล
"ผมมองการเมืองไทยคงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เพราะเดือนเมษายน ปี 2554 ก็จะมีการเลือกตั้งแล้ว"
สำหรับสถานการณ์ในต่างประเทศ ต้องมองว่า 3 ประเทศใหญ่ อย่างสหรัฐอเมริกา จีน และอินเดีย ก็คงดีขึ้นตามลำดับ แม้จะไม่ดีขึ้นมากมาย แต่ก็ดีกว่าย่ำอยู่ที่เดิม ส่วนตัวมองว่าประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งมีประชากรราวๆ 100-200 คน จะเป็นประเทศที่น่าจับตามอง เพราะการเมืองเขาดีกว่าเรามาก ฉะนั้นถ้าเขาขยับทำอะไรขึ้นมา คงมีผลต่อสถานการณ์เศรษฐกิจโลกเหมือนกัน
ถ้าย้อนดูบทสัมภาษณ์เก่าๆ ปรัชญาการใช้ชีวิตของ ดร.สุวรรณ คงหนี้ไม่พ้นบทเรียนเกี่ยวกับ "คุณค่าของเงิน" ความมัธยัสถ์ อดออม และการใช้เงินทำงาน ที่สำคัญชีวิตนี้อย่าไปเป็นหนี้ เรามีเราใช้เท่าที่มี อยากซื้ออะไรมีตังค์ซื้อก็ซื้อ ถ้าไม่มีตังค์ก็อดออมเอาไว้ก่อน วันหลังมีตังค์ก็ไปซื้อดีที่สุด ทั้งหมดคือหลักการใช้ชีวิตที่ต้องมีการวางแผน และไม่ประมาท
Tags : ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร • ชมรมคนออมเงิน • ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายเกี่ยวกับการเงินและภาษี
http://bit.ly/bKepcD :lol:
"ถ้าคนเราไม่ประหยัด หาเท่าไหร่ก็ไม่พอ (ใช้) นอกจากไปโกงเขามา ไอ้การโกงนี่มันได้มาแบบเงินล้นฟ้า แต่ก็ไม่มีความสุข ถ้าคนเราทำอาชีพสุจริตแต่ไม่ประหยัด ชีวิตนี้ก็ไม่มีทางร่ำรวย" วลีเด็ดของ ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร ประธานชมรมคนออมเงิน และผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายเกี่ยวกับการ เงินและภาษี วัย 65 ปี ที่ปัจจุบันมีทรัพย์สินเงินทองนับ "พันล้านบาท" จากนิสัยมัธยัสถ์มาตลอดชีวิต
ครอบครัววลัยเสถียร นับถือคาทอลิก แต่มีความเชื่อว่าโชคดีมาหนเดียว แต่โชคร้ายอาจเกิดขึ้นได้หลายหน ดังนั้นพวกเราต้อง "จ่าย" ให้น้อยกว่า "รับ" เราจึงจะเก็บความมั่งคั่งเอาไว้ได้...เมื่อหาเงินมาได้ 10 บาท ก็จะนำไปใช้ 5 บาท ส่วนที่เหลืออีก 5 บาท ก็เก็บออม อาจารย์สุวรรณทำมาแบบนี้ตลอดหลายสิบปี ด้วยความเชื่อที่ว่า หาได้มากน้อยเท่าไรไม่สำคัญ จ่ายมากน้อยเท่าไรเป็นเรื่องสำคัญกว่า
ดร.สุวรรณ สร้าง "เซอร์ไพรส์" ครั้งแสดงบัญชีทรัพย์สินเมื่อตอนเป็น รมช.พาณิชย์ ช่วงปี 2544 ส่วนตัวมีทรัพย์สินมากถึง 557 ล้านบาท ส่วนภรรยามีทรัพย์สิน 121 ล้านบาท สองคนรวมกันมีทรัพย์สินเกือบ 700 ล้านบาท ปัจจุบันอาจารย์เป็นประธานกรรมการ บมจ.เอสวีไอ ในช่วงเดือนมิถุนายน 2553 ที่ผ่านมา ใครหลายคนอาจเห็นชื่อประธานชมรมคนออมเงิน แอบ "ออมหุ้น" SVI เกือบ 5 ล้านหุ้น มูลค่าเฉียด 12 ล้านบาท มีต้นทุนอยู่ที่หุ้นละ 2.34 บาท ทำเอาหุ้นตัวนี้ "แอบขึ้น" ไปอย่างมากจากเหล่าสาวกที่แห่ซื้อตาม
ตั้งแต่เกษียณจากงานการเมืองก็หันมาเอาดีทางด้านงานเขียนหนังสือประเภท "ฮาวทู" มีผลงานบนแผงหนังสือนับสิบเล่ม เรียกได้ว่าเป็น "กูรู" ด้านการเงินชั้นแนวหน้าคนหนึ่งของเมืองไทย อาทิ พ่อสอนลูกให้รวย, สอนเมียให้รวย, สอนเพื่อนให้รวย, กลยุทธ์การปลดหนี้ และจ่ายภาษีก็รวยได้ เป็นต้น และเป็นวิทยากรบรรยายในงานสัมมนาต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
ดร.สุวรรณ บอกผ่าน กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ว่า ถ้าคุณอยากกอดเงิน "ร้อยล้าน" ไม่ได้อยากอย่างที่คิด หากเริ่มทำตั้งแต่วันนี้ แต่อาจต้องใช้เวลานานถึง 15 ปีขึ้นไป เพราะคงไม่มีใครเก่งมากพอที่จะหาเงินก้อนโตได้ภายในเวลา 3-5 ปีหรอกจริงมั้ย!
หากคุณอยากพบกับ Road to Wealth หรือ หนทางสู่ความมั่งคั่ง ให้ปฏิบัติตัวดังนี้...
ข้อแรก ต้องเป็นคนที่หมั่นศึกษาหาความรู้ตลอดเวลา ไม่ใช่เรียนจบแล้วก็แล้วกัน ความคิดต้องมีความทันสมัย ก้าวทันทุกเหตุการณ์ ที่สำคัญต้องเก่งภาษาอังกฤษ ไม่เช่นนั้นหากินลำบากแน่นอน
ข้อสอง คุณต้องขยัน เป็นคนหนักเอาเบาสู้ ถึงไหนถึงกัน
ข้อสาม ต้องหมั่นดูแลความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอ อย่าให้ตัวเองต้องตกอยู่ในความไม่ปลอดภัย
ข้อสุดท้าย คุณต้องรู้จักประหยัด อดออม อย่าโลภเป็นอันขาด เพราะความโลภเป็นหนทางสู่ความไม่มั่นคงในชีวิต ข้อคิดและนิสัยเหล่านี้ถือพื้นฐานของคนที่จะร่ำรวย
“เงินร้อยล้านบาทถ้าอยากมีต้องรีบทำ ควรเริ่มคิดตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยปี 2 หรือปี 3 ถ้าช้ากว่านั้นอาจไม่ทันการณ์ แต่ถ้าไม่หวังสูงมากอยากมีเงินสัก 5 ล้านบาท ก่อนอายุ 40 ปี ก็สามารถทำตามวิธีนี้ได้เหมือนกัน”
การลงทุนเรื่องอายุก็สำคัญถ้าหากอายุยังน้อย 20-30 ปี ก็สามารถลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงได้มาก เนื่องจากยังมีเวลาการทำงานเหลืออีกมากเมื่อพลาดพลั้งไปก็ยังหาเงินได้ใหม่ แต่หากอายุเยอะไม่ควรลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง เพราะถ้าผิดพลาดไปก็จะไม่มีเวลาแก้ตัว ชีวิตบั้นปลายจะลำบาก นอกจากนี้เรื่องการกระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์หลายประเภทก็มีความสำคัญ
ประธานชมรมคนออมเงิน แนะนำว่า สมมติถ้ามีเงิน 100 บาท อาจแบ่งเงินออกมาราวๆ 50-60% เพื่อนำไปลงทุนในตลาดหุ้น ถ้าเป็นช่วงนี้ก็ควรเน้นหุ้นกลุ่มสถาบันการเงิน เนื่องจากกลุ่มนี้จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ และมีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง แต่ควรจะเลือกซื้อตัวไหนบ้าง คงต้องขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคล คงไม่สามารถบอกเป็นตัวๆ ได้
"ผมไม่ใช่เซียนหุ้น ไม่เชี่ยวชาญขนาดนั้น ที่สำคัญไม่อยากคุยเรื่องหุ้นเท่าไรนัก" อาจารย์ออกตัว
ส่วนหุ้นกลุ่ม Modern Trade (ธุรกิจค้าปลีก) ถือเป็นอีกกลุ่มที่น่าสนใจ โดยเฉพาะสยามแม็คโคร (MAKRO) ซีพี ออลล์ (CPALL) และบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ (BIGC) ส่วนตัวชอบ MAKRO มากที่สุด เพราะเมื่อปี 2552 มีกำไรต่อหุ้นสูงถึง 6.36 บาท เมื่อเทียบกับหุ้น BIGC ที่มีกำไรต่อหุ้นเพียง 3.58 บาท ส่วนหุ้น CPALL มองว่าแพงไปหน่อย แต่หากมองในแง่เงินปันผลก็โอเค
มุมมองส่วนตัวของ ดร.สุวรรณ เชื่อว่า ตลาดหุ้นในช่วงที่เหลือของปี 2553 และปี 2554 คงจะปรับตัวดีขึ้นเรื่อยๆ คาดว่าดัชนีสิ้นปี 2553 จะขึ้นจาก 780-790 จุด มายืนแถวๆ 860 จุด หรือบวกมาประมาณ 10% กลุ่มยานยนต์ และอสังหาริมทรัพย์ ก็ชอบ เพราะหุ้นกลุ่มนี้จ่ายเงินปันผลดี ส่วนตัวมองว่ากลุ่มนิคมอุตสาหกรรมกำลังจะฟื้นตัว หลังลงไปสัมผัส “จุดต่ำสุด” ฉะนั้นหากมีเงินก็รีบหาจังหวะเก็บไว้ได้
โดยเฉพาะไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น (TICON) หุ้นตัวนี้เขามีดีตรงเงินปันผล ส่วนอมตะ คอร์ปอเรชัน (AMATA) ซื้อเก็บไว้ก็ดีเชื่อว่าราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นหลังสถานการณ์การเมือง และภาวะเศรษฐกิจกำลังจะดีขึ้น
ด้านกลุ่มท่องเที่ยว ถือเป็นอีกกลุ่มที่น่าจับตามอง เพราะตอนนี้กลุ่มนักธุรกิจกลับมาแล้ว และอีกไม่นานกลุ่มท่องเที่ยวจะตามมา ส่วนกลุ่มที่เข้ามาจัดงานประชุม และแสดงสินค้า อาจยังกล้าๆ กลัวๆ คงต้องให้เวลาเขาอีกสักหนึ่งปี
นอกจากการลงทุนในหุ้นปัจจัยพื้นฐานดีและจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอแล้ว กูรูท่านนี้ยังแนะนำว่า ให้นักลงทุนแบ่งเงินประมาณ 10-15% ไปลงทุนในทองคำ เชื่อว่าสิ้นปีนี้ทองคำอาจขึ้นมายืนระดับ 20,000 บาท ได้ไม่ยาก และอีก 5-10% ให้เก็บเป็นเงินสดไว้ใช้ยามฉุกเฉิน ส่วนที่เหลือให้นำไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์
การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เป็นสิ่งที่ ดร.สุวรรณ แนะนำมานานแล้ว บ้านของอาจารย์ที่ปัจจุบันใช้เป็นสำนักงานด้วย อยู่ในซอยสุขุมวิท 8 (ซอยปรีดา) อาจารย์ซื้อมาเพียง 5 ล้านบาท เมื่อ 20-30 ปีก่อน ปัจจุบันเฉพาะที่ดินก็มีมูลค่าหลายสิบล้านบาทแล้ว ถ้าเทียบกับฝากเงินแบงก์ ใช้ประโยชน์กับบ้านไม่ได้ แต่บ้านทำให้เราอยู่สบาย
"หากคุณลงทุนตามแบบฉบับของผม รับรองได้ว่าจะได้รับกำไรเข้ากระเป๋าปีละ 20% แน่นอน แต่ทั้งหมดต้องทำบนความไม่เสี่ยง ไม่โลภ และหุ้นแต่ละตัวต้องมีการเติบโตที่ดี และมีเงินปันผลสม่ำเสมอ" อาจารย์ย้ำ
ถามเรื่องทิศทางเศรษฐกิจ ดร.สุวรรณ เชื่อว่าทุกอย่างคงไปได้ด้วยดี ดูจากราคาสินค้าเกษตรที่มีทิศทางดีขึ้น ปกติประเทศไทยจะส่งออกแต่วัตถุดิบ แต่วันนี้ส่งเป็นสินค้าสำเร็จรูปมากขึ้น ซึ่งการส่งออกในลักษณะนี้จะมีมาร์จินที่ดีกว่า ยิ่งมองไปในธุรกิจยานยนต์จะเห็นเลยว่า ปีนี้ผลิตรถยนต์ได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่วนค่าเงินบาทอาจยืนราวๆ 32.2-32.3 บาท คงไม่ลงไปอยู่ 31 บาทแน่นอน สำหรับราคาน้ำมันอาจนิ่งอยู่ระดับ 80-85 เหรียญต่อบาร์เรล
"ผมมองการเมืองไทยคงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เพราะเดือนเมษายน ปี 2554 ก็จะมีการเลือกตั้งแล้ว"
สำหรับสถานการณ์ในต่างประเทศ ต้องมองว่า 3 ประเทศใหญ่ อย่างสหรัฐอเมริกา จีน และอินเดีย ก็คงดีขึ้นตามลำดับ แม้จะไม่ดีขึ้นมากมาย แต่ก็ดีกว่าย่ำอยู่ที่เดิม ส่วนตัวมองว่าประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งมีประชากรราวๆ 100-200 คน จะเป็นประเทศที่น่าจับตามอง เพราะการเมืองเขาดีกว่าเรามาก ฉะนั้นถ้าเขาขยับทำอะไรขึ้นมา คงมีผลต่อสถานการณ์เศรษฐกิจโลกเหมือนกัน
ถ้าย้อนดูบทสัมภาษณ์เก่าๆ ปรัชญาการใช้ชีวิตของ ดร.สุวรรณ คงหนี้ไม่พ้นบทเรียนเกี่ยวกับ "คุณค่าของเงิน" ความมัธยัสถ์ อดออม และการใช้เงินทำงาน ที่สำคัญชีวิตนี้อย่าไปเป็นหนี้ เรามีเราใช้เท่าที่มี อยากซื้ออะไรมีตังค์ซื้อก็ซื้อ ถ้าไม่มีตังค์ก็อดออมเอาไว้ก่อน วันหลังมีตังค์ก็ไปซื้อดีที่สุด ทั้งหมดคือหลักการใช้ชีวิตที่ต้องมีการวางแผน และไม่ประมาท
Tags : ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร • ชมรมคนออมเงิน • ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายเกี่ยวกับการเงินและภาษี
http://bit.ly/bKepcD :lol: