ตลาดหุ้นครึ่งปีหลังยังผันผวน - เปิดกลยุทธ์ 5 เซียนรับมือ
โพสต์แล้ว: ศุกร์ มิ.ย. 18, 2010 12:16 pm
รายงานพิเศษ :ระวัง! ตลาดหุ้นครึ่งปีหลังยังผันผวน - เปิดกลยุทธ์ 5 เซียนรับมือ
สำรวจความเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย หรือ SET Index ในช่วงครึ่งแรก
ของปีเสือนี้ พบว่า ดัชนีฯ ปรับเพิ่มขึ้นสูงสุดที่บริเวณ 820.09 จุด ในวันที่ 7 เม.ย. 2553 และปรับ
ลดลงต่ำสุดมาอยู่ที่บริเวณ 679.45 จุด ในวันที่ 9 ก.พ. ที่ผ่านมา โดย 5 เดือนแรก มูลค่าการซื้อ
ขายเฉลี่ยต่อวัน อยู่ที่ 21,310.74 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 62.98% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2552 ที่
18,226.25 ล้านบาท
ในช่วงต้นปี SET Index ทำทีท่าจะเหินฟ้า ตามกรอบการทำนายเป้าหมายที่หลาย
สำนักมีมุมมองเชิงบวก ซึ่งพบว่า SET Index เริ่มไต่ระดับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทำสถิติใหม่นับ
จากต้นปีที่ผ่านมา ตามความเชื่อมั่นของนักลงทุนไทยและต่างประเทศ ที่พร้อมใจกันกลับคืนสู่
สังเวียนตลาดหุ้นไทยมากขึ้น สะท้อนจากเศรษฐกิจไทยเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวต่อเนื่อง แถมยัง
มีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ โดยเฉพาะโครงการไทยเข้มแข็งในปี 2555 ที่เข้ามาเป็น
ปัจจัยหนุนตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีแรก
แต่แล้ว SET Index ที่เหมือนทำท่าจะดีในช่วงต้นปี ก็ต้องเผชิญกับคลื่นลมแรง จน
ฉุดให้ SET Index เริ่มอ่อนตัวลง หากจำกันได้ในช่วงต้นปีมีทั้งปัจจัยภายในและภายนอก
ประเทศเข้ามากระทบ เริ่มจากปัจจัยลบประเทศจีน กรณีการปรับเพิ่มเพดานกันสำรองของ
ธนาคารพาณิชย์ขึ้น 0.50% เป็น 16% เพื่อชะลอการปล่อยสินเชื่อ รวมถึงปัญหาหนี้สินของ
ประเทศกรีซ ที่ก่อตัวมาตั้งแต่ปลายปี 2552 และกลับมาสร้างความกังวลอีกครั้งในช่วงต้นเดือน
พ.ค. ที่ผ่านมา หลังได้ออกมาร้องขอความช่วยเหลือทางด้านการเงินจากไอเอ็มเอฟและอียู
ส่วนปัจจัยในประเทศที่กดดัน SET Index คงจะหนีไม่พ้นประเด็นฮอตทางการเมือง
ทั้งกรณีศาลฯ จะพิพากษาคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาทของอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร
ในวันที่ 26 ก.พ.ที่ผ่านมา รวมไปถึงการชุมนุมใหญ่ของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จ
การแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่มเสื้อแดง บริเวณย่านราชประสงค์ จนลุกลามกลายเป็นการจลาจล
กลางเมือง และยังมีปัญหามาบตาพุด ที่ยังคงตามหลอกจากปลายปีก่อน จนปัจจุบันหลายโครงการ
ยังไม่สามารถดำเนินการต่อได้
เวลาเดินผ่านจนถึงกลางปี 2553 ปัญหารุมเร้าต่างๆ ยังปกคลุมบรรยากาศการลงทุน
โดยแม้การชุมนุมของ นปช. ได้ยุติลงไปแล้ว แต่ยังต้องมาติดตามผลกระทบต่อภาคธุรกิจ อาทิ
ธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม และบริการ ว่าจะสามารถพลิกฟื้นกับมาได้เมื่อไหร่ แถมปัญหาหนี้สิน
ของประเทศกรีซ ที่ส่อแววจะลุกลามกัดกินประเทศอื่นๆ ในยุโรป บทสรุปแล้วเป็นอย่างไร และแน่
นอนว่าจากปัจจัยดังกล่าวเหล่านี้ น่าจะเป็นปัจจัยหลักกดดันการเคลื่อนไหวของ SET Index ครึ่ง
หลัง และทำให้การลงทุนตลาดหุ้นครึ่งปีหลังเป็นสิ่งที่ท้าท้ายต่อนักลงทุน
เปิดมุมมองกูรูตลาดหุ้นไทย และกลยุทธ์ไม้เด็ดลงทุนครึ่งปีหลัง นำโดย 'เผดิมภพ
สงเคราะห์' กรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย มองว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลัง มี
โอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะ 910 จุด แต่ในช่วงที่ดัชนีฯ อ่อนตัวลงมา ซึ่งคาดว่าจะอ่อนตัวลงในช่วง
ไตรมาส 3/2553 มาอยู่ที่บริเวณ 700-720 จุด ก็เป็นจังหวะที่นักลงทุนสามารถเข้าซื้อหุ้นได้
แนะลุยหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ และหุ้นพื้นฐานที่มีกำไรดี มี ROE
มากกว่า 20%
'วีระชัย ครองสามสี' ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ฟาร์อีสท์ ระบุว่า SET Index ใน
ช่วงครึ่งปีหลังค่อนข้างผันผวน โดยมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะ 820 จุด ทั้งปีคาดเคลื่อนไหวอยู่
ไม่เกินกรอบดังกล่าว เพราะเชื่อว่า อัตราการเติบโตกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS Growth) ของบริษัท
จดทะเบียนในปีนี้ เติบโต15% จากปี 2552 สะท้อนการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนที่มีโอกาส
เติบโตกว่าในปีก่อน และคาดค่า P/E ของตลาดฯ ปีนี้อยู่ที่ 12 เท่า ประกอบกับภาครัฐออก
มาตรการเยียวยาเศรษฐกิจ ทั้งก่อนและภายหลังเกิดเหตุการณ์ไม่สงบทางการเมือง ดังนั้นเชื่อว่า
จีดีพีในปีนี้มีโอกาสเติบโต 5%
'วีระชัย' เฟ้นกลยุทธ์เด็ดเอาใจนักลงทุน แนะนำเข้าเก็บหุ้นในช่วงดัชนีฯ อ่อนตัวลง
โดยตามสถิติตลาดหุ้นในเดือน มิ.ย. จะปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งคาดจะปรับเพิ่มขึ้นไปถึงระดับ 800 จุด
แต่แนะนำในช่วงที่ดัชนีฯ อ่อนตัวลงบริเวณ 720 จุด ถือเป็นจังหวะในการเข้าซื้อ และรอขายเมื่อ
ดัชนีฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นใกล้ 800 จุด เพราะคาดในช่วงปลายไตรมาส 3/2553 หรือต้นไตรมาส
4/2553 ตลาดฯ น่าจะฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจที่มีทิศทางที่ดีขึ้น โดย SET Index ไตรมาส
2/2553-3/2553 แกว่งตัวในกรอบ 720 -800 และต้องดูแนวโน้มของตลาดหุ้นต่างประเทศ
ประกอบการลงทุนด้วย เพราะยอมรับว่ามีผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของดัชนีฯ รวมถึงภาพรวม
การเติบโตของเศรษฐกิจโลก ปัญหาดูไบ และปัจจัยที่เป็นตัวแปรสำคัญ คือ วิกฤตทางการเงินของ
ยุโรป
ฟากโบรกเกอร์ชั้นนำในธุรกิจทองคำ 'ธวัชชัย อัศวพรไชย' ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.
โกลเบล็ก เปิดเผยว่า SET Index ในช่วงครึ่งปีหลังมีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะ 839 จุด
โดยเชื่อว่าปัจจัยพื้นฐานของประเทศไทยดี และมีศักยภาพในการเติบโต ซึ่งยังมองว่าจากการที่
ภาครัฐมีมาตรการออกมากระตุ้นภาคเศรษฐกิจเพิ่มเติม และเร่งกระตุ้นความมั่นใจให้กลับมาได้
โดยเร็ว ก็น่าจะส่งผลบวกต่ออัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ และเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเรียกความ
เชื่อมั่น
มาต่อกันที่ความเห็นของ 'ชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ' ผู้ช่วยกรรมการ ผู้อำนวยการสาย
งานวิจัย บล.บัวหลวง ก็เป็นไปในทิศทางเดียวกันโบรกเกอร์อื่นๆ คือ มองว่าตลาดหุ้นไทยในช่วง
ที่เหลือ มีโอกาสที่จะเคลื่อนไหวผันผวนและอยู่ในกรอบแคบๆ โดยมีความเห็นว่า ตลาดหุ้นไทยยัง
ไม่ใช่ตลาดหลักที่นักลงทุนต่างชาติเลือกเข้ามา เมื่อเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นในเอเชียที่ยังน่า
สนใจมากกว่า ได้แก่ ตลาดหุ้นไต้หวัน เกาหลีใต้ และจีน พร้อมกันนี้ ปัจจุบันค่า Discount P/E
เริ่มมีส่วนต่างที่แคบลงเหลือเพียง 5% จากระดับปกติที่ 15% โดยในช่วงที่ตลาดหุ้นผันผวนเช่น
นี้ คงจะหนีไม่พ้นการเข้าเร็วออกเร็ว และต้องอย่าลืมติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด
ฟาก 'รณกฤต สารินวงศ์' ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บล.คันทรี่ กรุ๊ป เผยว่า การลง
ทุนในช่วงนี้ควรเป็นการลงทุนระยะสั้นหรือเก็งกำไร รับความผันผวน เพราะการลงทุนระยะยาวจะ
ไม่ประสบความสำเร็จมากนัก สำหรับหุ้นที่แนะนำ ได้แก่ หุ้นปัจจัยลบคลี่คลาย คือ ADVANC
เพราะได้รับปัจจัยบวกหลังจากภาครัฐเตรียมที่จะเปิดประมูล 3.9G
นอกจากนี้ แนะนำ หุ้นพื้นฐานดี ราคาถูก คือ QH โดยในช่วงไตรมาส 1/2553 ที่ผ่าน
มากำไรขยายตัว 240% หรือมีกำไรอยู่ที่ ประมาณ 1 พันล้านบาท ทั้งนี้ คาดมีกำไรในปี 2553
ทุบสถิติจากปีก่อนที่มีกำไรอยู่ที่ 1,715.87ล้านบาท โดยประเมินราคาพื้นฐานไว้ที่ 2.40 บาท
(P/E 8 เท่า) ต่อกันที่หุ้นแนวโน้มกำไรทุบสถิติ คือ PDI โดยไตรมาส 1/2553 อยู่ที่ 311 ล้าน
บาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่ขาดทุนอยู่ที่ 170 ล้านบาท โดยคาดการณ์ว่ากำไรในปีนี้น่าจะ
เติบโตกว่า 300% หรืออยู่ที่ 800 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีกำไรอยู่ที่ 296.04 ล้านบาท
สำหรับหุ้นดักกระแส แนะนำ KASET ตามคาดการณ์ราคาข้าวในอนาคตมีแนวโน้ม
ปรับตัวเพิ่มขึ้น เพราะที่ผ่านมาราคาข้าวตกต่ำมาเป็นระยะเวลานาน สำหรับหุ้นร้อน กราฟสวย
คือ BSBM และ TOG ส่วน BSBM น่าจะได้รับผลดีจากราคาเหล็กที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น
ตามทิศทางของราคาน้ำมันและผลดีจากโครงการรถไฟฟ้า โดยแนะนำ รอซื้อเมื่อราคาหุ้นอ่อนตัว
ส่วน TOG นั้น ล่าสุดมีข่าวว่านักลงทุนต่างประเทศสนใจเข้าซื้อหุ้น ประเมินราคาเหมาะสมไว้ที่
4.80 บาท แนะนำรอซื้อเมื่อราคาหุ้นอ่อนตัว
..และนี่เป็นการรวบรวมกลยุทธ์การลงทุนในตลาดหุ้นไทยครึ่งปีหลังที่
eFinanceThai.com นำมาฝากกัน นักลงทุนคงต้องใช้ความระมัดระวังในการลงทุนเป็นพิเศษ
ท่ามกลางแนวโน้มตลาดหุ้นที่อาจผันผวน แต่อย่าลืม การลงทุนมีความเสี่ยง ควรใช้ความระมัด
ระวังและศึกษารายละเอียดก่อนการลงทุน..
eFinanceThai.com
โดย : เครื่องเสียง
เรียบเรียง โดย ศุภวรรณ วราภรณ์
อนุมัติ โดย พิมพ์รภัส ศิริไพรวัน
อีเมล์แสดงความคิดเห็น [email protected]
ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย วันที่ 18/06/10 เวลา 12:05:39
สำรวจความเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย หรือ SET Index ในช่วงครึ่งแรก
ของปีเสือนี้ พบว่า ดัชนีฯ ปรับเพิ่มขึ้นสูงสุดที่บริเวณ 820.09 จุด ในวันที่ 7 เม.ย. 2553 และปรับ
ลดลงต่ำสุดมาอยู่ที่บริเวณ 679.45 จุด ในวันที่ 9 ก.พ. ที่ผ่านมา โดย 5 เดือนแรก มูลค่าการซื้อ
ขายเฉลี่ยต่อวัน อยู่ที่ 21,310.74 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 62.98% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2552 ที่
18,226.25 ล้านบาท
ในช่วงต้นปี SET Index ทำทีท่าจะเหินฟ้า ตามกรอบการทำนายเป้าหมายที่หลาย
สำนักมีมุมมองเชิงบวก ซึ่งพบว่า SET Index เริ่มไต่ระดับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทำสถิติใหม่นับ
จากต้นปีที่ผ่านมา ตามความเชื่อมั่นของนักลงทุนไทยและต่างประเทศ ที่พร้อมใจกันกลับคืนสู่
สังเวียนตลาดหุ้นไทยมากขึ้น สะท้อนจากเศรษฐกิจไทยเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวต่อเนื่อง แถมยัง
มีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ โดยเฉพาะโครงการไทยเข้มแข็งในปี 2555 ที่เข้ามาเป็น
ปัจจัยหนุนตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีแรก
แต่แล้ว SET Index ที่เหมือนทำท่าจะดีในช่วงต้นปี ก็ต้องเผชิญกับคลื่นลมแรง จน
ฉุดให้ SET Index เริ่มอ่อนตัวลง หากจำกันได้ในช่วงต้นปีมีทั้งปัจจัยภายในและภายนอก
ประเทศเข้ามากระทบ เริ่มจากปัจจัยลบประเทศจีน กรณีการปรับเพิ่มเพดานกันสำรองของ
ธนาคารพาณิชย์ขึ้น 0.50% เป็น 16% เพื่อชะลอการปล่อยสินเชื่อ รวมถึงปัญหาหนี้สินของ
ประเทศกรีซ ที่ก่อตัวมาตั้งแต่ปลายปี 2552 และกลับมาสร้างความกังวลอีกครั้งในช่วงต้นเดือน
พ.ค. ที่ผ่านมา หลังได้ออกมาร้องขอความช่วยเหลือทางด้านการเงินจากไอเอ็มเอฟและอียู
ส่วนปัจจัยในประเทศที่กดดัน SET Index คงจะหนีไม่พ้นประเด็นฮอตทางการเมือง
ทั้งกรณีศาลฯ จะพิพากษาคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาทของอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร
ในวันที่ 26 ก.พ.ที่ผ่านมา รวมไปถึงการชุมนุมใหญ่ของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จ
การแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่มเสื้อแดง บริเวณย่านราชประสงค์ จนลุกลามกลายเป็นการจลาจล
กลางเมือง และยังมีปัญหามาบตาพุด ที่ยังคงตามหลอกจากปลายปีก่อน จนปัจจุบันหลายโครงการ
ยังไม่สามารถดำเนินการต่อได้
เวลาเดินผ่านจนถึงกลางปี 2553 ปัญหารุมเร้าต่างๆ ยังปกคลุมบรรยากาศการลงทุน
โดยแม้การชุมนุมของ นปช. ได้ยุติลงไปแล้ว แต่ยังต้องมาติดตามผลกระทบต่อภาคธุรกิจ อาทิ
ธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม และบริการ ว่าจะสามารถพลิกฟื้นกับมาได้เมื่อไหร่ แถมปัญหาหนี้สิน
ของประเทศกรีซ ที่ส่อแววจะลุกลามกัดกินประเทศอื่นๆ ในยุโรป บทสรุปแล้วเป็นอย่างไร และแน่
นอนว่าจากปัจจัยดังกล่าวเหล่านี้ น่าจะเป็นปัจจัยหลักกดดันการเคลื่อนไหวของ SET Index ครึ่ง
หลัง และทำให้การลงทุนตลาดหุ้นครึ่งปีหลังเป็นสิ่งที่ท้าท้ายต่อนักลงทุน
เปิดมุมมองกูรูตลาดหุ้นไทย และกลยุทธ์ไม้เด็ดลงทุนครึ่งปีหลัง นำโดย 'เผดิมภพ
สงเคราะห์' กรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย มองว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลัง มี
โอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะ 910 จุด แต่ในช่วงที่ดัชนีฯ อ่อนตัวลงมา ซึ่งคาดว่าจะอ่อนตัวลงในช่วง
ไตรมาส 3/2553 มาอยู่ที่บริเวณ 700-720 จุด ก็เป็นจังหวะที่นักลงทุนสามารถเข้าซื้อหุ้นได้
แนะลุยหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ และหุ้นพื้นฐานที่มีกำไรดี มี ROE
มากกว่า 20%
'วีระชัย ครองสามสี' ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ฟาร์อีสท์ ระบุว่า SET Index ใน
ช่วงครึ่งปีหลังค่อนข้างผันผวน โดยมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะ 820 จุด ทั้งปีคาดเคลื่อนไหวอยู่
ไม่เกินกรอบดังกล่าว เพราะเชื่อว่า อัตราการเติบโตกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS Growth) ของบริษัท
จดทะเบียนในปีนี้ เติบโต15% จากปี 2552 สะท้อนการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนที่มีโอกาส
เติบโตกว่าในปีก่อน และคาดค่า P/E ของตลาดฯ ปีนี้อยู่ที่ 12 เท่า ประกอบกับภาครัฐออก
มาตรการเยียวยาเศรษฐกิจ ทั้งก่อนและภายหลังเกิดเหตุการณ์ไม่สงบทางการเมือง ดังนั้นเชื่อว่า
จีดีพีในปีนี้มีโอกาสเติบโต 5%
'วีระชัย' เฟ้นกลยุทธ์เด็ดเอาใจนักลงทุน แนะนำเข้าเก็บหุ้นในช่วงดัชนีฯ อ่อนตัวลง
โดยตามสถิติตลาดหุ้นในเดือน มิ.ย. จะปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งคาดจะปรับเพิ่มขึ้นไปถึงระดับ 800 จุด
แต่แนะนำในช่วงที่ดัชนีฯ อ่อนตัวลงบริเวณ 720 จุด ถือเป็นจังหวะในการเข้าซื้อ และรอขายเมื่อ
ดัชนีฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นใกล้ 800 จุด เพราะคาดในช่วงปลายไตรมาส 3/2553 หรือต้นไตรมาส
4/2553 ตลาดฯ น่าจะฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจที่มีทิศทางที่ดีขึ้น โดย SET Index ไตรมาส
2/2553-3/2553 แกว่งตัวในกรอบ 720 -800 และต้องดูแนวโน้มของตลาดหุ้นต่างประเทศ
ประกอบการลงทุนด้วย เพราะยอมรับว่ามีผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของดัชนีฯ รวมถึงภาพรวม
การเติบโตของเศรษฐกิจโลก ปัญหาดูไบ และปัจจัยที่เป็นตัวแปรสำคัญ คือ วิกฤตทางการเงินของ
ยุโรป
ฟากโบรกเกอร์ชั้นนำในธุรกิจทองคำ 'ธวัชชัย อัศวพรไชย' ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.
โกลเบล็ก เปิดเผยว่า SET Index ในช่วงครึ่งปีหลังมีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะ 839 จุด
โดยเชื่อว่าปัจจัยพื้นฐานของประเทศไทยดี และมีศักยภาพในการเติบโต ซึ่งยังมองว่าจากการที่
ภาครัฐมีมาตรการออกมากระตุ้นภาคเศรษฐกิจเพิ่มเติม และเร่งกระตุ้นความมั่นใจให้กลับมาได้
โดยเร็ว ก็น่าจะส่งผลบวกต่ออัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ และเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเรียกความ
เชื่อมั่น
มาต่อกันที่ความเห็นของ 'ชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ' ผู้ช่วยกรรมการ ผู้อำนวยการสาย
งานวิจัย บล.บัวหลวง ก็เป็นไปในทิศทางเดียวกันโบรกเกอร์อื่นๆ คือ มองว่าตลาดหุ้นไทยในช่วง
ที่เหลือ มีโอกาสที่จะเคลื่อนไหวผันผวนและอยู่ในกรอบแคบๆ โดยมีความเห็นว่า ตลาดหุ้นไทยยัง
ไม่ใช่ตลาดหลักที่นักลงทุนต่างชาติเลือกเข้ามา เมื่อเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นในเอเชียที่ยังน่า
สนใจมากกว่า ได้แก่ ตลาดหุ้นไต้หวัน เกาหลีใต้ และจีน พร้อมกันนี้ ปัจจุบันค่า Discount P/E
เริ่มมีส่วนต่างที่แคบลงเหลือเพียง 5% จากระดับปกติที่ 15% โดยในช่วงที่ตลาดหุ้นผันผวนเช่น
นี้ คงจะหนีไม่พ้นการเข้าเร็วออกเร็ว และต้องอย่าลืมติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด
ฟาก 'รณกฤต สารินวงศ์' ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บล.คันทรี่ กรุ๊ป เผยว่า การลง
ทุนในช่วงนี้ควรเป็นการลงทุนระยะสั้นหรือเก็งกำไร รับความผันผวน เพราะการลงทุนระยะยาวจะ
ไม่ประสบความสำเร็จมากนัก สำหรับหุ้นที่แนะนำ ได้แก่ หุ้นปัจจัยลบคลี่คลาย คือ ADVANC
เพราะได้รับปัจจัยบวกหลังจากภาครัฐเตรียมที่จะเปิดประมูล 3.9G
นอกจากนี้ แนะนำ หุ้นพื้นฐานดี ราคาถูก คือ QH โดยในช่วงไตรมาส 1/2553 ที่ผ่าน
มากำไรขยายตัว 240% หรือมีกำไรอยู่ที่ ประมาณ 1 พันล้านบาท ทั้งนี้ คาดมีกำไรในปี 2553
ทุบสถิติจากปีก่อนที่มีกำไรอยู่ที่ 1,715.87ล้านบาท โดยประเมินราคาพื้นฐานไว้ที่ 2.40 บาท
(P/E 8 เท่า) ต่อกันที่หุ้นแนวโน้มกำไรทุบสถิติ คือ PDI โดยไตรมาส 1/2553 อยู่ที่ 311 ล้าน
บาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่ขาดทุนอยู่ที่ 170 ล้านบาท โดยคาดการณ์ว่ากำไรในปีนี้น่าจะ
เติบโตกว่า 300% หรืออยู่ที่ 800 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีกำไรอยู่ที่ 296.04 ล้านบาท
สำหรับหุ้นดักกระแส แนะนำ KASET ตามคาดการณ์ราคาข้าวในอนาคตมีแนวโน้ม
ปรับตัวเพิ่มขึ้น เพราะที่ผ่านมาราคาข้าวตกต่ำมาเป็นระยะเวลานาน สำหรับหุ้นร้อน กราฟสวย
คือ BSBM และ TOG ส่วน BSBM น่าจะได้รับผลดีจากราคาเหล็กที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น
ตามทิศทางของราคาน้ำมันและผลดีจากโครงการรถไฟฟ้า โดยแนะนำ รอซื้อเมื่อราคาหุ้นอ่อนตัว
ส่วน TOG นั้น ล่าสุดมีข่าวว่านักลงทุนต่างประเทศสนใจเข้าซื้อหุ้น ประเมินราคาเหมาะสมไว้ที่
4.80 บาท แนะนำรอซื้อเมื่อราคาหุ้นอ่อนตัว
..และนี่เป็นการรวบรวมกลยุทธ์การลงทุนในตลาดหุ้นไทยครึ่งปีหลังที่
eFinanceThai.com นำมาฝากกัน นักลงทุนคงต้องใช้ความระมัดระวังในการลงทุนเป็นพิเศษ
ท่ามกลางแนวโน้มตลาดหุ้นที่อาจผันผวน แต่อย่าลืม การลงทุนมีความเสี่ยง ควรใช้ความระมัด
ระวังและศึกษารายละเอียดก่อนการลงทุน..
eFinanceThai.com
โดย : เครื่องเสียง
เรียบเรียง โดย ศุภวรรณ วราภรณ์
อนุมัติ โดย พิมพ์รภัส ศิริไพรวัน
อีเมล์แสดงความคิดเห็น [email protected]
ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย วันที่ 18/06/10 เวลา 12:05:39