"น้ำ" เรื่องทำเงินใกล้ตัวที่เรามองข้าม!!
โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 07, 2010 4:16 pm
ผมไปอ่าน National Geographic เกี่ยวกับเรื่อง "น้ำ" ว่าน่าสนใจเลยมาเล่าให้ฟัง ... "อะไรที่เกี่ยวกับน้ำ มันเงินทั้งนั้น" ตั้งแต่ น้ำมัน , น้ำอัดลม , น้ำเมา ,น้ำๆๆๆ ดูเศรษฐีบ้านเรา ..อันดับหนึ่ง คุณ เฉลิว (เจ้าของน้ำชูกำลัง Red Bull "Global Brand อันเดียวที่ เรา ภูมิใจ" ..คุณ เจริญ (เจ้าพ่อน้ำเมา) .. "ภิรมณ์ภักดี" เบียร์สิงห์.. โสภณพนิช "น้ำนมถัวเหลือง ไวตามิลค์ และกรีนสปอร์ต".. "สารสิน" น้ำดำที่เรา ติดใจ ..ล่าสุด "เสีย ตัน โออิชิ" น้ำชาเขียว ---จะเห็นได้ว่า "น้ำ ๆๆ ๆ และก็น้ำ" ...มันสร้างความ "รวย" เพราะมันเป็น สะสารที่ไหล!!! --"มันจึงไหล!! นำมาพาเงินเข้าประเป๋า เจ้าของน้ำ ในทุกยุคทุกสมัย ตั้งแต่เกิด โลกนี้มา"
คุณรู้ไหมว่า น้ำในโลกนี้ 97.5% เป็นน้ำเค็มและนำ้บาดาลรสกร่อย ที่เหลือ ..2.5% เป็นน้ำจืด แต่ 2 ใน 3 ส่วนอยู่ในรูป "น้ำแข็ง" --ที่เรา "กำลังกลัว" ว่าถ้า "น้ำแข็งทั่งโลกละลาย เราจะจมอยู่ใต้บาดาลกัน" (จริงหรือ)--ที่ว่าน้ำ ไม่ถึง 2% ถ้าละลาย จะทำให้ทั้งโลกจมอยู่ใต้น้ำ (ก๊าก..เลิกหลอกเด็กเสียที ครับ!!) คือ ถ้าน้ำแข็งทั่วโลกละลาย(อีกเยอะมาก)จากโลกร้อน ก็อาจทำให้ ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นจริง ก็จะส่งผลให้พื้นที่ ที่ต่ำ อาจต่ำลงกว่าระดับน้ำทะเล ซึ่งรวมถึงประเทศเราที่ค่อนข้างจะ "ไม่สูงกว่าระดับน้ำทะเลมากนัก"(แต่ประเทศอย่าง เนเธอร์แลนด์ อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล ตั้งนานแล้ว ก็ยังสร้างเขื่อนอยู่อาศัยได้..ไม่ใช่ว่าจะต้องตาย!!)
ผมว่าประเด็นที่น่าสนใจ คือ "บ้านหรูติดริมทะเล" ที่เวลานี้ซื้อขายกัน "แพงสุดขั้ว" ผมมองว่าเป็นการลงทุนที่ "ไม่คุ้มค่า..หากโลกเราร้อนขึ้นอย่างนี้" เพราะแน่นอน ถ้าน้ำทะเลสูงขึ้น บ้านหรูเหล่านั้น คงต้องจมอยู่ใต้น้ำ ดังนั้น ถ้าผมจะซื้อที่เก็งกำไร "Global Warming" ผมก็คงจะซื้อที่ ถัดมาจากทะเล พอสมควร (ซึ่งตอนนี้ราคาไม่สูง) แต่พอน้ำเลท่วมมาเรื่อยๆ "ที่ดินราคาถูกของผมก็จะอยู่ติดทะเลแทน" --ไงล่ะครับ แจ๋วไหม!!
อีกประเด็นทำเงิน คือ การเปลี่ยนน้ำเค็มเป็นน้ำจืด เพราะ "ปัญหาขาดแคลนน้ำดื่มและใช้" ในปัจจุบันทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เทคโนโลยีที่น่าสนใจคือ desalination "ซึ่งเป็นโครงการที่เริ่มนำมาใช้ตั้งแต่ปี 1970 โดย ประเทศตะวันออกกลาง ..ซึ่งนับวัน ราคาก็จะ คุ้มค่าขึ้นเรื่อยๆ" จะเห็นได้ว่า "น้ำ" ส่งผลต่อเราในทุกด้าน ตั้งแต่การ ดำรงชีวิต จน ถึงความมั่งคั่ง ..หลายคนได้ คาดคะเนว่า ในอนาคต "น้ำ" จะมีค่ายิ่งกว่า "น้ำมัน" (นำ้มันอยู่ได้ เพราะพลังงานในปัจจุบันใช้ น้ำมันเป็นตัวขับเคลื่อน) หากในอนาคต เราเปลี่ยน เทคโนพลังงาน เป็นการการขับเคลื่อนอื่น เช่น นิวเคียร์, Renewable Energy อื่นๆ น้ำมันก็อาจลดความสำคัญลง ---"แต่" สิ่งมีชีวิต ไม่สามารถเปลี่ยนตัวขับเคลื่อนอื่น ที่ไม่ใช่ "น้ำ" .."มันจึงสำคัญ"สำคัญจนหนัง เจมส์ บอร์น ภาคล่าสุดเอา "น้ำมาเป็นทรัพยากรหลักของผู้ก่อการร้าย" ว่าเข้าไปนั้น!!
ในด้านการเมืองไทย ผมมองว่า "Key Success Factor" หลักในอนาคตคือ การขจัดปัญหาเรื่อง "น้ำ" ภัยแล้งในต่างจังหวัดนั่นเอง ..เพราะประชากรส่วนใหญ่ของประเทศไทย มีอาชีพเกษตรกรรมซึ่งต้องอาศัยน้ำเป็น ปัจจัยหลักในการผลิต ดังนั้น รากเหง้าของความยากจน และเป็นต้นเหตุของความขัดแย้งทางการเมืองในปัจจุบัน ล้วนมี "น้ำ" เป็นส่วนประกอบหลักทั้งสิ้น
( เราต้องใช้น้ำ 15,497 ลิตร ในการผลิต "เนื้อ" หนึ่งกิโล(ผมพูดถึงการเลี้ยงวัว ตั้งแต่เริ่มจนได้เนื้อวัว) ...เราต้องใช้น้ำ 140 ลิตร ในการผลิต "กาแฟ" หนึ่งแก้ว (ผมพูดถึงตั้งแต่การปลูกต้นกาแฟจนถึง เมล็ดกาแฟ)...เราต้องใช้น้ำ 909 ลิตร ในการที่จะได้ ข้าวโพด 1 กิโล) ..วันนี้ "จีน" เริ่มคิดได้ เลยสร้างเขื่อน กั้น "แม่น้ำโขง ตั้งแต่ต้นสาย" ปล่อยให้เราและเพื่อนบ้าน "แห้งผาก" ไปตามๆกัน-- การวางแผนธุรกิจ, การเมือง และการลงทุนของคุณ ในวันนี้ ฝากปัจจัย "น้ำ" ไปคิดด้วยละกันครับ!!!
เขียนโดย pawawit ที่http://pawawit.blogspot.com
คุณรู้ไหมว่า น้ำในโลกนี้ 97.5% เป็นน้ำเค็มและนำ้บาดาลรสกร่อย ที่เหลือ ..2.5% เป็นน้ำจืด แต่ 2 ใน 3 ส่วนอยู่ในรูป "น้ำแข็ง" --ที่เรา "กำลังกลัว" ว่าถ้า "น้ำแข็งทั่งโลกละลาย เราจะจมอยู่ใต้บาดาลกัน" (จริงหรือ)--ที่ว่าน้ำ ไม่ถึง 2% ถ้าละลาย จะทำให้ทั้งโลกจมอยู่ใต้น้ำ (ก๊าก..เลิกหลอกเด็กเสียที ครับ!!) คือ ถ้าน้ำแข็งทั่วโลกละลาย(อีกเยอะมาก)จากโลกร้อน ก็อาจทำให้ ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นจริง ก็จะส่งผลให้พื้นที่ ที่ต่ำ อาจต่ำลงกว่าระดับน้ำทะเล ซึ่งรวมถึงประเทศเราที่ค่อนข้างจะ "ไม่สูงกว่าระดับน้ำทะเลมากนัก"(แต่ประเทศอย่าง เนเธอร์แลนด์ อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล ตั้งนานแล้ว ก็ยังสร้างเขื่อนอยู่อาศัยได้..ไม่ใช่ว่าจะต้องตาย!!)
ผมว่าประเด็นที่น่าสนใจ คือ "บ้านหรูติดริมทะเล" ที่เวลานี้ซื้อขายกัน "แพงสุดขั้ว" ผมมองว่าเป็นการลงทุนที่ "ไม่คุ้มค่า..หากโลกเราร้อนขึ้นอย่างนี้" เพราะแน่นอน ถ้าน้ำทะเลสูงขึ้น บ้านหรูเหล่านั้น คงต้องจมอยู่ใต้น้ำ ดังนั้น ถ้าผมจะซื้อที่เก็งกำไร "Global Warming" ผมก็คงจะซื้อที่ ถัดมาจากทะเล พอสมควร (ซึ่งตอนนี้ราคาไม่สูง) แต่พอน้ำเลท่วมมาเรื่อยๆ "ที่ดินราคาถูกของผมก็จะอยู่ติดทะเลแทน" --ไงล่ะครับ แจ๋วไหม!!
อีกประเด็นทำเงิน คือ การเปลี่ยนน้ำเค็มเป็นน้ำจืด เพราะ "ปัญหาขาดแคลนน้ำดื่มและใช้" ในปัจจุบันทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เทคโนโลยีที่น่าสนใจคือ desalination "ซึ่งเป็นโครงการที่เริ่มนำมาใช้ตั้งแต่ปี 1970 โดย ประเทศตะวันออกกลาง ..ซึ่งนับวัน ราคาก็จะ คุ้มค่าขึ้นเรื่อยๆ" จะเห็นได้ว่า "น้ำ" ส่งผลต่อเราในทุกด้าน ตั้งแต่การ ดำรงชีวิต จน ถึงความมั่งคั่ง ..หลายคนได้ คาดคะเนว่า ในอนาคต "น้ำ" จะมีค่ายิ่งกว่า "น้ำมัน" (นำ้มันอยู่ได้ เพราะพลังงานในปัจจุบันใช้ น้ำมันเป็นตัวขับเคลื่อน) หากในอนาคต เราเปลี่ยน เทคโนพลังงาน เป็นการการขับเคลื่อนอื่น เช่น นิวเคียร์, Renewable Energy อื่นๆ น้ำมันก็อาจลดความสำคัญลง ---"แต่" สิ่งมีชีวิต ไม่สามารถเปลี่ยนตัวขับเคลื่อนอื่น ที่ไม่ใช่ "น้ำ" .."มันจึงสำคัญ"สำคัญจนหนัง เจมส์ บอร์น ภาคล่าสุดเอา "น้ำมาเป็นทรัพยากรหลักของผู้ก่อการร้าย" ว่าเข้าไปนั้น!!
ในด้านการเมืองไทย ผมมองว่า "Key Success Factor" หลักในอนาคตคือ การขจัดปัญหาเรื่อง "น้ำ" ภัยแล้งในต่างจังหวัดนั่นเอง ..เพราะประชากรส่วนใหญ่ของประเทศไทย มีอาชีพเกษตรกรรมซึ่งต้องอาศัยน้ำเป็น ปัจจัยหลักในการผลิต ดังนั้น รากเหง้าของความยากจน และเป็นต้นเหตุของความขัดแย้งทางการเมืองในปัจจุบัน ล้วนมี "น้ำ" เป็นส่วนประกอบหลักทั้งสิ้น
( เราต้องใช้น้ำ 15,497 ลิตร ในการผลิต "เนื้อ" หนึ่งกิโล(ผมพูดถึงการเลี้ยงวัว ตั้งแต่เริ่มจนได้เนื้อวัว) ...เราต้องใช้น้ำ 140 ลิตร ในการผลิต "กาแฟ" หนึ่งแก้ว (ผมพูดถึงตั้งแต่การปลูกต้นกาแฟจนถึง เมล็ดกาแฟ)...เราต้องใช้น้ำ 909 ลิตร ในการที่จะได้ ข้าวโพด 1 กิโล) ..วันนี้ "จีน" เริ่มคิดได้ เลยสร้างเขื่อน กั้น "แม่น้ำโขง ตั้งแต่ต้นสาย" ปล่อยให้เราและเพื่อนบ้าน "แห้งผาก" ไปตามๆกัน-- การวางแผนธุรกิจ, การเมือง และการลงทุนของคุณ ในวันนี้ ฝากปัจจัย "น้ำ" ไปคิดด้วยละกันครับ!!!
เขียนโดย pawawit ที่http://pawawit.blogspot.com