จ่ายเงินอย่างไรให้รวยขึ้น !! (บ้าไปแล้วฮะ)
โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 07, 2010 2:42 pm
ทุกวันนี้เรามัก พยายามตีค่าความรวยเป็น "จำนวนเงิน" ซึ่งในความจริงเป็นเรื่องที่ "ไม่ดี" เพราะเป็นบ่อเกิดแห่งความอิจฉา และ อาจตกเป็นเป้าหมายของการโจมตี ได้ง่าย .. ผมเห็นสื่อมักเปรียบเทียบ Berlusconi (นายกอิตาลี) กับ คุณ ทักษิณ
--ทุกอย่างทั้งสองคนนี้เหมือนกันหมด โดนข้อหา "ฉ้อโกงเหมือนกัน" แต่ต่างตรงที่ "คุณ ทักษิณ ขายแขนขวา กิจการหลัก ซึ่งก็คือ Shin corp. แต่นาย Berlusconi ไม่ได้ขาย" จุดนี้ถ้ามองให้ดี กลายเป็น "จุดหลัก" ที่คุณ ทักษิณเดินเกมพลาด ..มันทำให้ผมนึกย้อนเปรียบเทียบ ระหว่าง "เงิน" กับ "กิจการ" ว่าแท้จริง ไม่ได้มีความแตกต่างกันในด้านมูลค่าที่เจ้าของได้รับ แต่ที่ต่างกัน คือ "มูลค่าทางจิตใจ" --จุดนี้ผมมองว่า "ละเอียดอ่อน" ยกตัวอย่าง คุณ เป็นเจ้าของกิจการมูลค่า 70,000 ล้าน จ้างพนักงานเป็น "หมื่นคน" เทียบกับ คุณมีเงินสด 70,000 ล้านบาท ..ถ้าให้เลือกหลายๆคนอาจเลือก "เงินสด" แต่--"มันคือทางเลือกที่ดี หรือไม่??"
ในความเป็นจริง ถ้าคุณมีเงินมากเท่าไหร่ มันก็ไม่ได้สามารถเปลี่ยนเป็นความสุขที่มากขึ้นตาม ..ดังนั้น หากเรามองในรูปแบบของการนำเงินนั้น สร้างกิจการเพื่อสังคม อย่างเช่น การสนับสนุน Social Entreprenuer ให้นำเงินจำนวนนั้นๆ สร้างประโยชน์ให้สังคม (ซึ่งแน่นอนต้องมุ่งหวังกำไรด้วย เพราะการช่วยเหลือสังคมที่ ถาวร ไม่ใช่การ "แจกของแล้วหมดไป" มันควรเป็นการสร้างระบบความช่วยเหลือ ที่สามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง และนั่นก็คือ "เป้าหมายหลักของ Social Entreprise")
หากเงิน 1 ล้าน สามารถตั้ง Social Entreprise เช่น ธุรกิจทำ Packaging ให้กับสินค้าชุมชน , ธุรกิจกระจายสินค้าของชุมชนไปสู่ผู้ค้า Hi-end อย่าง ร้านอาหารหรู , ธุรกิจนำสินค้าชุมชนเผยแพร่บน Online , ธุรกิจบริการในชุมชนในการช่วยจัดสรรทรัพยากร ,ธุรกิจให้เช่าเครื่องทุ่นแรงในการเกษตร , ธุรกิจขยายพันธ์พืชที่ดี , ธุรกิจการสร้างระบบชลประทานแบบชาวบ้าน , ธุรกิจร่วทุนกับเกษตรกร ,ธุรกิจแปรรูปพืชผลทางการเกษตร
..คือ เรียกได้ว่า เงินทุนเริ่มต้นเพียงน้อยนิด บวกกับนักศึกษา "ไฟแรง"ที่เพิ่งจบ กับโครงการ Social Entreprise ผมมองว่า มันเป็น Win-win (ทั้งนักศึกษาที่จะได้ ฝึกงานจริง ส่วนชาวบ้านก็จะได้รับประโยชน์ เพราะปัจจุบัน นักศึกษาจบมาก็มากระจุกที่ กรุงเทพ แย่งกันทำงานห่วยๆที่ไม่ได้ จรรโลงปัญญาแม้แต่น้อย ยิ่งทำยิ่งโง่ ..แย่งกันแทบตาย วันๆ เดินส่งเอกสาร ซะงั้น!! ..สู้เอาความรู้ไปสร้าง Social Entreprise ที่สร้างประโยชน์ และ เติบโตได้ด้วยตัวเองจะดีกว่า เพราะท้ายสุด อาจเกิดแบบ Wikipedia หรือ Online Agency ที่ดังระดับโลก ผ่าน เครือข่าย ธุรกิจยั่งยืนฉลาดๆ ก็เป็นได้---"ที่ปัจจุบัน มันเกิดไม่ได้ เพราะไม่มีเงินเริ่มต้น เท่านั้นเอง")
"เงินที่เกินใช้"ของคุณ จะสามารถเปลี่ยนเป็น "การสร้างงานมหาศาล" คุณลองนึกภาพ คนที่มี "หมื่นล้านอยู่ในธนาคาร" กับ อีกคน "สร้างงาน มีลูกน้อง มีคนรัก นับ แสนๆคน " เดินไปไหนมีแต่คนเรียก "ท่านประธานครับ"
--ไอ้เงินหมื่นล้านใน ธนาคาร ผมมองว่า มัน "ไม่ได้.. ขี้ประติ๋วเลย มีแต่จะเป็น จุดโจมตี และสร้างความเกลียดชัง" ---ในเมืองไทย ผมเห็นก็มีอยู่ "ท่านเดียว" ที่ทั้งชีวิตมีแต่ให้ แต่ในที่สุด มันก็กลายเป็นยิ่งให้ ก็ยิ่งได้รับ กลับมา ทั้งบารมี และ คนรัก ทั่วแผ่นดิน ..ผมว่า "ในหลวงของเราทรงเป็น แบบอย่างที่ดีของ Social Entreprise" และจุดนี้น่าจะเป็นแบบอย่างให้เศรษฐีในบ้านเรา สามารถดูท่านเป็นแบบอย่างว่า "ยิ่งให้ยิ่งสุข ยิ่งให้ยิ่งได้เพิ่ม มันแปลความหมายอย่างนี้นี่เอง.."
เขียนโดย pawawit ที่ [/url]http://pawawit.blogspot.com
--ทุกอย่างทั้งสองคนนี้เหมือนกันหมด โดนข้อหา "ฉ้อโกงเหมือนกัน" แต่ต่างตรงที่ "คุณ ทักษิณ ขายแขนขวา กิจการหลัก ซึ่งก็คือ Shin corp. แต่นาย Berlusconi ไม่ได้ขาย" จุดนี้ถ้ามองให้ดี กลายเป็น "จุดหลัก" ที่คุณ ทักษิณเดินเกมพลาด ..มันทำให้ผมนึกย้อนเปรียบเทียบ ระหว่าง "เงิน" กับ "กิจการ" ว่าแท้จริง ไม่ได้มีความแตกต่างกันในด้านมูลค่าที่เจ้าของได้รับ แต่ที่ต่างกัน คือ "มูลค่าทางจิตใจ" --จุดนี้ผมมองว่า "ละเอียดอ่อน" ยกตัวอย่าง คุณ เป็นเจ้าของกิจการมูลค่า 70,000 ล้าน จ้างพนักงานเป็น "หมื่นคน" เทียบกับ คุณมีเงินสด 70,000 ล้านบาท ..ถ้าให้เลือกหลายๆคนอาจเลือก "เงินสด" แต่--"มันคือทางเลือกที่ดี หรือไม่??"
ในความเป็นจริง ถ้าคุณมีเงินมากเท่าไหร่ มันก็ไม่ได้สามารถเปลี่ยนเป็นความสุขที่มากขึ้นตาม ..ดังนั้น หากเรามองในรูปแบบของการนำเงินนั้น สร้างกิจการเพื่อสังคม อย่างเช่น การสนับสนุน Social Entreprenuer ให้นำเงินจำนวนนั้นๆ สร้างประโยชน์ให้สังคม (ซึ่งแน่นอนต้องมุ่งหวังกำไรด้วย เพราะการช่วยเหลือสังคมที่ ถาวร ไม่ใช่การ "แจกของแล้วหมดไป" มันควรเป็นการสร้างระบบความช่วยเหลือ ที่สามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง และนั่นก็คือ "เป้าหมายหลักของ Social Entreprise")
หากเงิน 1 ล้าน สามารถตั้ง Social Entreprise เช่น ธุรกิจทำ Packaging ให้กับสินค้าชุมชน , ธุรกิจกระจายสินค้าของชุมชนไปสู่ผู้ค้า Hi-end อย่าง ร้านอาหารหรู , ธุรกิจนำสินค้าชุมชนเผยแพร่บน Online , ธุรกิจบริการในชุมชนในการช่วยจัดสรรทรัพยากร ,ธุรกิจให้เช่าเครื่องทุ่นแรงในการเกษตร , ธุรกิจขยายพันธ์พืชที่ดี , ธุรกิจการสร้างระบบชลประทานแบบชาวบ้าน , ธุรกิจร่วทุนกับเกษตรกร ,ธุรกิจแปรรูปพืชผลทางการเกษตร
..คือ เรียกได้ว่า เงินทุนเริ่มต้นเพียงน้อยนิด บวกกับนักศึกษา "ไฟแรง"ที่เพิ่งจบ กับโครงการ Social Entreprise ผมมองว่า มันเป็น Win-win (ทั้งนักศึกษาที่จะได้ ฝึกงานจริง ส่วนชาวบ้านก็จะได้รับประโยชน์ เพราะปัจจุบัน นักศึกษาจบมาก็มากระจุกที่ กรุงเทพ แย่งกันทำงานห่วยๆที่ไม่ได้ จรรโลงปัญญาแม้แต่น้อย ยิ่งทำยิ่งโง่ ..แย่งกันแทบตาย วันๆ เดินส่งเอกสาร ซะงั้น!! ..สู้เอาความรู้ไปสร้าง Social Entreprise ที่สร้างประโยชน์ และ เติบโตได้ด้วยตัวเองจะดีกว่า เพราะท้ายสุด อาจเกิดแบบ Wikipedia หรือ Online Agency ที่ดังระดับโลก ผ่าน เครือข่าย ธุรกิจยั่งยืนฉลาดๆ ก็เป็นได้---"ที่ปัจจุบัน มันเกิดไม่ได้ เพราะไม่มีเงินเริ่มต้น เท่านั้นเอง")
"เงินที่เกินใช้"ของคุณ จะสามารถเปลี่ยนเป็น "การสร้างงานมหาศาล" คุณลองนึกภาพ คนที่มี "หมื่นล้านอยู่ในธนาคาร" กับ อีกคน "สร้างงาน มีลูกน้อง มีคนรัก นับ แสนๆคน " เดินไปไหนมีแต่คนเรียก "ท่านประธานครับ"
--ไอ้เงินหมื่นล้านใน ธนาคาร ผมมองว่า มัน "ไม่ได้.. ขี้ประติ๋วเลย มีแต่จะเป็น จุดโจมตี และสร้างความเกลียดชัง" ---ในเมืองไทย ผมเห็นก็มีอยู่ "ท่านเดียว" ที่ทั้งชีวิตมีแต่ให้ แต่ในที่สุด มันก็กลายเป็นยิ่งให้ ก็ยิ่งได้รับ กลับมา ทั้งบารมี และ คนรัก ทั่วแผ่นดิน ..ผมว่า "ในหลวงของเราทรงเป็น แบบอย่างที่ดีของ Social Entreprise" และจุดนี้น่าจะเป็นแบบอย่างให้เศรษฐีในบ้านเรา สามารถดูท่านเป็นแบบอย่างว่า "ยิ่งให้ยิ่งสุข ยิ่งให้ยิ่งได้เพิ่ม มันแปลความหมายอย่างนี้นี่เอง.."
เขียนโดย pawawit ที่ [/url]http://pawawit.blogspot.com