กฎเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย
โพสต์แล้ว: เสาร์ เม.ย. 24, 2004 1:35 pm
วันก่อนอ่านข่าวที่ธนาคารแห่งประเทศไทยออกมาให้ข่าวว่าจะมีการปรับกฎเกณฑ์การตั้งสำรองของสถาบันการเงินให้เข้มงวดขึ้น เพื่อเร่งให้มีการปรับโครงสร้างหนี้
หลายครั้งที่ผมเคยตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ต่างๆของธนาคารแห่งประเทศไทยว่าได้มาตรฐานหรือไม่ แล้วมาตรฐานที่แท้จริงเป็นเช่นไร
นักลงทนรายย่อยคนไทยมักเชื่อตามที่ผ้บริหารของทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงการคลัง นักวิเคราะห์ ผ้บริหารสถาบันการเงิน ที่มักจะบอกว่าสถาบันการเงินของไทยนั้นมั่นคงเพียงพอแล้ว มีการตั้งสำรองเกินกฎเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยบังคับแล้ว มีเงินทนเพียงพอแล้ว
หลายท่านก็ซื้อลงทนในห้นของสถาบันการเงิน เพราะเห็นว่าเศรษฐกิจของไทยดีขึ้น และฐานะทางการเงินของสถาบันการเงินไทยมั่นคงดีแล้ว ตั้งสำรองครบแล้ว
แต่หลังจากนั้นไม่นาน บางสถาบันการเงินก็ยังคงมีผลการดำเนินงานที่ขาดทน บางแห่งก็ต้องการเพิ่มทน เจ้าของธนาคารพาณิชย์บางแห่งถึงกับเลิกลงทนขายกิจการให้ผ้อื่น และแทบทกแห่งยังคงมีการตั้งสำรองเพิ่มขึ้นทกไตรมาส
พออ่านข่าวแล้วทำให้พอเข้าใจได้ว่ากฎเกณฑ์ต่างๆที่บังคับใช้อย่นั้นคงไม่ตามมาตรฐานสากลเป็นแน่แท้ เข้าใจว่าคงจะเป็นการผ่อนปรนให้สถาบันการเงินไทยไม่ให้ล้มละลาย แล้วสถานการณ์ดีขึ้นจึงเริ่มปรับให้เข้มขึ้นเป็นลำดับ แต่การที่ปรับให้เข้มขึ้นนั้นคงมีส่วนกระทบต่องบกำไรขาดทนของสถาบันการเงินไทยไม่มากก็น้อย
อย่างเช่น การตั้งสำรองหนี้ NPL ในปัจจบันนั้นจะมีการตั้งสำรองเฉพาะส่วนเกินของมลหนี้ที่เกินจากหลักประกัน เช่น มีหนี้เสีย 100 ล้านบาท แต่มีหลักประกันมลค่า 80 ล้านบาท ถ้าเสียเกิน 1 ปี ก็ตั้งสำรองเพียงแค่ 20 ล้านบาท
แต่จากกฎเกณฑ์ที่จะบังคับใช้ใหม่นั้นจะลดมลค่าหลักประกันที่จะนำมาหักออกจากที่หักได้ 100% ของมลค่าหลักประกัน ก็จะลดเหลือเพียง 80% 50% และสดท้ายก็ไม่สามารถนำมลค่าหลักประกันมาหักได้ ซึ่งก็หมายถึง ถ้ามีหนี้ NPL 100 ล้านบาท และมีหลักประกัน 80 ล้านบาท เดิมจะตั้งสำรองเพียงแค่ 20 ล้านบาท แต่ตามกฎใหม่นั้นจะต้องตั้งถึง 100 ล้านบาทครับ ซึ่งน่าจะเป็นไปตามหลักเกณฑ์สากลที่ใช้กันนะครับ
แล้วถึงตอนนั้นสถาบันการเงินไทยจะต้องตั้งสำรองเพิ่มขึ้นอีกเท่าไรครับ แล้วส่วนทนจะลดลงอีกมากน้อยเพียงไร ซึ่งสดท้ายอาจจะตามมาด้วยการต้องเพิ่มทน
และยังคงมีคำถามในใจว่าจะมีกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดที่ยังคงไม่นำมาใช้อีกไหมครับ ที่สถาบันการเงินไทยต้องใช้ในอนาคต เพื่อเป็นไปตามกฎเกณฑ์สากล
การลงทนในอตสาหกรรมที่เราไม่ร้ถึงกฎเกณฑ์ที่จะถกนำมาบังคับใช้ ถือว่าเป็นความเสี่ยงที่สงยิ่งครับ ในอดีตเราคงมีประสบการณ์ว่าสถาบันการเงินที่ยังคงเปิดกิจการตามปรกติ วันดีคืนดีก็ล้มได้โดยที่ไม่สามารถวิเคราะห์ได้จากงบการเงินเลยครับ
หลายครั้งที่ผมเคยตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ต่างๆของธนาคารแห่งประเทศไทยว่าได้มาตรฐานหรือไม่ แล้วมาตรฐานที่แท้จริงเป็นเช่นไร
นักลงทนรายย่อยคนไทยมักเชื่อตามที่ผ้บริหารของทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงการคลัง นักวิเคราะห์ ผ้บริหารสถาบันการเงิน ที่มักจะบอกว่าสถาบันการเงินของไทยนั้นมั่นคงเพียงพอแล้ว มีการตั้งสำรองเกินกฎเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยบังคับแล้ว มีเงินทนเพียงพอแล้ว
หลายท่านก็ซื้อลงทนในห้นของสถาบันการเงิน เพราะเห็นว่าเศรษฐกิจของไทยดีขึ้น และฐานะทางการเงินของสถาบันการเงินไทยมั่นคงดีแล้ว ตั้งสำรองครบแล้ว
แต่หลังจากนั้นไม่นาน บางสถาบันการเงินก็ยังคงมีผลการดำเนินงานที่ขาดทน บางแห่งก็ต้องการเพิ่มทน เจ้าของธนาคารพาณิชย์บางแห่งถึงกับเลิกลงทนขายกิจการให้ผ้อื่น และแทบทกแห่งยังคงมีการตั้งสำรองเพิ่มขึ้นทกไตรมาส
พออ่านข่าวแล้วทำให้พอเข้าใจได้ว่ากฎเกณฑ์ต่างๆที่บังคับใช้อย่นั้นคงไม่ตามมาตรฐานสากลเป็นแน่แท้ เข้าใจว่าคงจะเป็นการผ่อนปรนให้สถาบันการเงินไทยไม่ให้ล้มละลาย แล้วสถานการณ์ดีขึ้นจึงเริ่มปรับให้เข้มขึ้นเป็นลำดับ แต่การที่ปรับให้เข้มขึ้นนั้นคงมีส่วนกระทบต่องบกำไรขาดทนของสถาบันการเงินไทยไม่มากก็น้อย
อย่างเช่น การตั้งสำรองหนี้ NPL ในปัจจบันนั้นจะมีการตั้งสำรองเฉพาะส่วนเกินของมลหนี้ที่เกินจากหลักประกัน เช่น มีหนี้เสีย 100 ล้านบาท แต่มีหลักประกันมลค่า 80 ล้านบาท ถ้าเสียเกิน 1 ปี ก็ตั้งสำรองเพียงแค่ 20 ล้านบาท
แต่จากกฎเกณฑ์ที่จะบังคับใช้ใหม่นั้นจะลดมลค่าหลักประกันที่จะนำมาหักออกจากที่หักได้ 100% ของมลค่าหลักประกัน ก็จะลดเหลือเพียง 80% 50% และสดท้ายก็ไม่สามารถนำมลค่าหลักประกันมาหักได้ ซึ่งก็หมายถึง ถ้ามีหนี้ NPL 100 ล้านบาท และมีหลักประกัน 80 ล้านบาท เดิมจะตั้งสำรองเพียงแค่ 20 ล้านบาท แต่ตามกฎใหม่นั้นจะต้องตั้งถึง 100 ล้านบาทครับ ซึ่งน่าจะเป็นไปตามหลักเกณฑ์สากลที่ใช้กันนะครับ
แล้วถึงตอนนั้นสถาบันการเงินไทยจะต้องตั้งสำรองเพิ่มขึ้นอีกเท่าไรครับ แล้วส่วนทนจะลดลงอีกมากน้อยเพียงไร ซึ่งสดท้ายอาจจะตามมาด้วยการต้องเพิ่มทน
และยังคงมีคำถามในใจว่าจะมีกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดที่ยังคงไม่นำมาใช้อีกไหมครับ ที่สถาบันการเงินไทยต้องใช้ในอนาคต เพื่อเป็นไปตามกฎเกณฑ์สากล
การลงทนในอตสาหกรรมที่เราไม่ร้ถึงกฎเกณฑ์ที่จะถกนำมาบังคับใช้ ถือว่าเป็นความเสี่ยงที่สงยิ่งครับ ในอดีตเราคงมีประสบการณ์ว่าสถาบันการเงินที่ยังคงเปิดกิจการตามปรกติ วันดีคืนดีก็ล้มได้โดยที่ไม่สามารถวิเคราะห์ได้จากงบการเงินเลยครับ