คอนโด Hi-End ติดรถไฟฟ้า แนวคิดมันผิดหรือเปล่า !!
โพสต์แล้ว: ศุกร์ มิ.ย. 04, 2010 10:59 pm
เดี๋ยวนี้ใครขึ้นรถไฟฟ้า จะรู้เลยว่า "แน่น" อึดอัดขนาดไหน ยิ่งในอนาคต การต่อเชื่อม "รถไฟฟ้า" ไปในสายชานเมือง "ยิ่งทำให้คนใช้รถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอีก" ..ตลาดคอนโดในปัจจุบัน จะเห็นได้ว่า "คอนโดติดรถไฟฟ้า นี่ In-trend สุดๆ" ที่ดิน ติด สถานี ราคาพุ่ง "แสนต่อตารางวาขึ้นไป" ..คือ ถ้าถามว่า คุณจับตลาด Mass ผมไม่เถียงว่า เป็นการวาง positioning ที่น่าสนใจ เพราะ สะดวกและประหยัดกว่า การใช้รถส่วนตัว ที่นับวัน "กรุงเทพ" รถจะติดขึ้นเรื่อยๆ
ในมุมกลับกัน คอนโดที่จับ "ตลาดบน" ผมมองว่า รถไฟฟ้า ไม่ใช่ประเด็น ..เพราะการซื้อที่ติดรถไฟฟ้า มันทำให้ต้นทุนคุณสูงไปเปล่า ๆจากที่ดินที่แพง ..เพราะถ้าวิเคราะห์ให้ดีแล้ว "คนมีเงิน" เขาย่อมใช้ "รถส่วนตัว" ดังนั้น การเกาะที่ติด ทางด่วน หรือ ถนนที่สะดวกในการเดินทาง จะดีกว่า สู้เอาราคาที่ดินที่ถูกกว่า ไปเพิ่มในอีกจุด(Value Added)ที่คนรวยเขาชอบไม่ดีกว่าหรือ ..ดังนั้น การวาง Position ต้องให้เหมาะกับ Target Customer ด้วย ไม่งั้น มันเป็นการเพิ่มต้นทุนโดยไม่จำเป็น --"เรียกว่า แพ้ตั้งแต่ยังไม่สร้างเลย!!"
ปัญหาของกรุงเทพ คือ เมืองกระจุกตัวทั้งหมดที่กรุงเทพ ประกอบกับ การกระจายตัวของ โรงเรียน ทั่วทุกจุด ส่งผลให้ "พ่อแม่ที่มีลูก" ตั้งเดินทาง "ไขว้ไปมา...ถามว่า รถจะไม่ติดได้ยังไงล่ะครับ" เพราะดู Traffic Flow ของคนกรุงเทพ ก็ "จบเห่" แล้ว ..ผมเคยเห็นการเสนอ ไอเดียที่จะเอาโรงเรียน ออกไปรวมกัน(เป็นแนวคิดที่ดี) แต่ปัญหามันก็อยู่ที่การเดินทาง อยู่ดี เพราะตราบใดที่ การเดินทางยังไม่สะดวก "พ่อแม่ก็ยังคงต้องไปส่งลูกอยู่ดี" ส่วนในอีกด้าน ที่จะเอาธุรกิจแยกออกไป ก็เป็นอีกแนวทางที่น่าสนใจ (แต่ตราบใดที่ พ่อแม่ ยังคงต้องไปส่งลูก --มันก็ไม่ต่างจากปัญหา "ไก่กับไข่") ..เดี๋ยวนี้ ดารา หลายๆคน ถอดใจ กรุงเทพ หนีไปอยู่ เชียงใหม่ กันเยอะทีเดียว ---- เพราะจริงๆแล้ว การที่ "รถติด" มันส่งผลเสียหายต่อ เศรษฐกิจอย่างมหาศาล เช่นกัน (ทางออกของกรุงเทพคืออะไร!!)
ผมว่าทางเดียวที่จะลด ปัญหาคือ การวาง ระบบ Wi-Fi หรือ Wi-max (คือ Internet ความเร็วสูง) ให้เร็วสุดๆ เร็วขนาดที่เราสามารถ Upload Download วีดีโอ เพียงแค่"คลิ๊ก" หรือ ทำ Video Conference มีภาพเหมือนนั่งคุยกัน (นั่นเป็นความเร็วที่สูงมาก)...ถ้าจุดนี้เกิดได้ ผมมองว่า "ความจำเป็นของการเดินทางไปทำงานที่ Office จะน้อยลง" ลองคิดซิครับว่า Office ต่างๆ อาจไม่จำเป็นต้องให้พนักงานเข้ามาที่ สำนักงานใหญ่มากมาย-- แต่จะใช้ สำนักงานย่อยๆ กระจายอยู่ตาม "ชานเมือง" รอบนอก ในกรณีที่จำเป็นต้องเดินทางเข้ามาทำธุรกรรมจริงๆ ...ลองนึกดูครับ ถ้าธุรกิจไหนสามารถสนองตอบความต้องการของลูกค้า "ที่ปัจจุบัน ใจร้อนสุดๆ" ถ้าเราทำให้ลูกค้าไม่ต้องเข้ามา รถติดในเมือง สามารถทำ ธุรกรรมที่สะดวก รวดเร็ว --"มันจะแจ๋วขนาดไหน"
ดังนั้น ในอนาคต การทำงานของเรา ไม่ว่าจะเป็น ลักษณะการทำงาน หรือ รูปแบบของ Office จะต้องเปลี่ยนแปลง ..คนที่สามารถคาดคะเน Trend ได้ถูกจังหวะเวลา ก็สามารถ "รวย" ได้อย่างแน่นอน ..ผมว่า วันนี้ "นักพัฒนา Commercial Real estate" น่าจะเริ่มซื้อ แนวที่ดินได้แล้ว --(หนึ่ง การเดินทาง สอง ที่อยู่ลูกค้า สาม Technology) ...สรุปแล้ว ประเด็นที่จะบอกคือ ธุรกิจในอนาคตต้อง "ชัดเจน" Positioning และ Market ต้องรู้ว่า คุณกำลังเล่นอยู่กับอะไรกับใคร --จะเห็นได้ว่า ธุรกิจใหญ่ๆการทำงาน จะ Merge รวมกัน ระหว่าง Sector ..แต่ในทางตรงกันข้าม การเดินเกมใน ธุรกิจขนาดเล็ก กลับต้อง ทำสวนทาง !!
(ปล.)คุณ คีรี กาญจนพาสน์ ฝากบอกเกี่ยวกับรถไฟฟ้าว่า "ผมไม่หมูเหมือนที่คุณ ภาววิทย์ คิดหรอก เพราะในอนาคต แต่ละขบวนจะเพิ่มตู้ คนก็จะไม่แน่น ส่วนตลาด Hi-end ผมก็จะมี เก้าอี้ Premier (เหมือนของคุณ วิชา แห่ง โรงหนังเมเจอร์) ดังนั้น คนรวยก็ต้องใช้ รถไฟฟ้า ..เอ้า!! สู้กันเข้าไป เกมนี้ยังต้อง วัดกัน อีกยาว... (แล้วคุณว่าไงล่ะ!!)
เขียนโดย pawawit ที่ http://pawawit.blogspot.com
ในมุมกลับกัน คอนโดที่จับ "ตลาดบน" ผมมองว่า รถไฟฟ้า ไม่ใช่ประเด็น ..เพราะการซื้อที่ติดรถไฟฟ้า มันทำให้ต้นทุนคุณสูงไปเปล่า ๆจากที่ดินที่แพง ..เพราะถ้าวิเคราะห์ให้ดีแล้ว "คนมีเงิน" เขาย่อมใช้ "รถส่วนตัว" ดังนั้น การเกาะที่ติด ทางด่วน หรือ ถนนที่สะดวกในการเดินทาง จะดีกว่า สู้เอาราคาที่ดินที่ถูกกว่า ไปเพิ่มในอีกจุด(Value Added)ที่คนรวยเขาชอบไม่ดีกว่าหรือ ..ดังนั้น การวาง Position ต้องให้เหมาะกับ Target Customer ด้วย ไม่งั้น มันเป็นการเพิ่มต้นทุนโดยไม่จำเป็น --"เรียกว่า แพ้ตั้งแต่ยังไม่สร้างเลย!!"
ปัญหาของกรุงเทพ คือ เมืองกระจุกตัวทั้งหมดที่กรุงเทพ ประกอบกับ การกระจายตัวของ โรงเรียน ทั่วทุกจุด ส่งผลให้ "พ่อแม่ที่มีลูก" ตั้งเดินทาง "ไขว้ไปมา...ถามว่า รถจะไม่ติดได้ยังไงล่ะครับ" เพราะดู Traffic Flow ของคนกรุงเทพ ก็ "จบเห่" แล้ว ..ผมเคยเห็นการเสนอ ไอเดียที่จะเอาโรงเรียน ออกไปรวมกัน(เป็นแนวคิดที่ดี) แต่ปัญหามันก็อยู่ที่การเดินทาง อยู่ดี เพราะตราบใดที่ การเดินทางยังไม่สะดวก "พ่อแม่ก็ยังคงต้องไปส่งลูกอยู่ดี" ส่วนในอีกด้าน ที่จะเอาธุรกิจแยกออกไป ก็เป็นอีกแนวทางที่น่าสนใจ (แต่ตราบใดที่ พ่อแม่ ยังคงต้องไปส่งลูก --มันก็ไม่ต่างจากปัญหา "ไก่กับไข่") ..เดี๋ยวนี้ ดารา หลายๆคน ถอดใจ กรุงเทพ หนีไปอยู่ เชียงใหม่ กันเยอะทีเดียว ---- เพราะจริงๆแล้ว การที่ "รถติด" มันส่งผลเสียหายต่อ เศรษฐกิจอย่างมหาศาล เช่นกัน (ทางออกของกรุงเทพคืออะไร!!)
ผมว่าทางเดียวที่จะลด ปัญหาคือ การวาง ระบบ Wi-Fi หรือ Wi-max (คือ Internet ความเร็วสูง) ให้เร็วสุดๆ เร็วขนาดที่เราสามารถ Upload Download วีดีโอ เพียงแค่"คลิ๊ก" หรือ ทำ Video Conference มีภาพเหมือนนั่งคุยกัน (นั่นเป็นความเร็วที่สูงมาก)...ถ้าจุดนี้เกิดได้ ผมมองว่า "ความจำเป็นของการเดินทางไปทำงานที่ Office จะน้อยลง" ลองคิดซิครับว่า Office ต่างๆ อาจไม่จำเป็นต้องให้พนักงานเข้ามาที่ สำนักงานใหญ่มากมาย-- แต่จะใช้ สำนักงานย่อยๆ กระจายอยู่ตาม "ชานเมือง" รอบนอก ในกรณีที่จำเป็นต้องเดินทางเข้ามาทำธุรกรรมจริงๆ ...ลองนึกดูครับ ถ้าธุรกิจไหนสามารถสนองตอบความต้องการของลูกค้า "ที่ปัจจุบัน ใจร้อนสุดๆ" ถ้าเราทำให้ลูกค้าไม่ต้องเข้ามา รถติดในเมือง สามารถทำ ธุรกรรมที่สะดวก รวดเร็ว --"มันจะแจ๋วขนาดไหน"
ดังนั้น ในอนาคต การทำงานของเรา ไม่ว่าจะเป็น ลักษณะการทำงาน หรือ รูปแบบของ Office จะต้องเปลี่ยนแปลง ..คนที่สามารถคาดคะเน Trend ได้ถูกจังหวะเวลา ก็สามารถ "รวย" ได้อย่างแน่นอน ..ผมว่า วันนี้ "นักพัฒนา Commercial Real estate" น่าจะเริ่มซื้อ แนวที่ดินได้แล้ว --(หนึ่ง การเดินทาง สอง ที่อยู่ลูกค้า สาม Technology) ...สรุปแล้ว ประเด็นที่จะบอกคือ ธุรกิจในอนาคตต้อง "ชัดเจน" Positioning และ Market ต้องรู้ว่า คุณกำลังเล่นอยู่กับอะไรกับใคร --จะเห็นได้ว่า ธุรกิจใหญ่ๆการทำงาน จะ Merge รวมกัน ระหว่าง Sector ..แต่ในทางตรงกันข้าม การเดินเกมใน ธุรกิจขนาดเล็ก กลับต้อง ทำสวนทาง !!
(ปล.)คุณ คีรี กาญจนพาสน์ ฝากบอกเกี่ยวกับรถไฟฟ้าว่า "ผมไม่หมูเหมือนที่คุณ ภาววิทย์ คิดหรอก เพราะในอนาคต แต่ละขบวนจะเพิ่มตู้ คนก็จะไม่แน่น ส่วนตลาด Hi-end ผมก็จะมี เก้าอี้ Premier (เหมือนของคุณ วิชา แห่ง โรงหนังเมเจอร์) ดังนั้น คนรวยก็ต้องใช้ รถไฟฟ้า ..เอ้า!! สู้กันเข้าไป เกมนี้ยังต้อง วัดกัน อีกยาว... (แล้วคุณว่าไงล่ะ!!)
เขียนโดย pawawit ที่ http://pawawit.blogspot.com