หน้า 1 จากทั้งหมด 1

ต่างชาติหวั่นการเมืองไทย เล็งย้ายธุรกิจหนี

โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ค. 18, 2010 11:53 pm
โดย matee
การต่อสู้กันจนบาดเจ็บล้มตายบนท้องถนนได้พลิกโฉมพื้นที่บางส่วนของกรุงเทพฯ ให้กลายเป็นสนามรบในเมือง ซึ่งกำลังสั่นคลอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ ทั้งยังทำให้ "ประเทศไทย" ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นประเทศที่เติบโตเร็วที่สุดในภูมิภาค ต้องสูญเสียโอกาสให้กับคู่แข่งอย่างเช่นเวียดนาม
    โดยบางบริษัทที่สามารถย้ายสำนักงานได้อย่างง่ายดาย เช่น อุตสาหกรรมบริการและการผลิตขนาดเล็ก ได้เริ่มย้ายสำนักงานออกนอกประเทศ ขณะที่นักลงทุนระยะยาวกำลังทบทวนอย่างจริงจังเกี่ยวกับการลงทุนใหม่ในเมืองไทย
     ครั้งหนึ่ง ธุรกิจต่างชาติมองว่าไทยคงปลอดปัญหาการขาดเสถียรภาพทางการเมือง เนื่องจากภาพลักษณ์ของชายหาดและแสงแดด รอยยิ้มที่อบอุ่นของผู้คนที่ฉาบอยู่บนความแตกต่างระหว่าง "คนที่มี" และ "คนที่ไม่มี"  
     บทความของเอพีระบุว่า แต่ในช่วงเกือบ 3 ปี การหักมุมการเมืองที่คาดเดาไม่ได้กลับทำให้มุมมองดังกล่าวหายไป ปัจจุบัน ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นทุกวันในกลางใจเมืองกรุงเทพ ภาพของไทยในฐานะรัฐล้มเหลวที่ปกครองไม่ได้กลับฉายชัดขึ้น
     ตอนนี้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 66 คน และมีผู้ได้รับบาดเจ็บกว่า 1,600 คน หลังจากที่ "กลุ่มเสื้อแดง" เริ่มการประท้วงครั้งล่าสุดเมื่อเดือนมีนาคม เพื่อขับไล่รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
     ขณะที่ท่าทีของภาคธุรกิจต่อประเทศไทยเริ่มเปลี่ยนไปเช่นกัน โดยจาค็อบ แรมเซย์ นักวิเคราะห์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของบริษัทที่ปรึกษาความเสี่ยงทางการเมืองคอนโทรล ริสก์ ในสิงคโปร์ แสดงความคิดเห็นว่า บริษัทต่างๆ กำลังศึกษาอย่างหนักว่าจะลงทุนใหม่ในไทยหรือไม่ ทัศนคติได้เปลี่ยนไปจากเดิม ในสมัยที่ไทยมักถูกมองว่าเป็นประเทศที่ดึงดูดใจและดีที่น่าจะเข้ามา
    "ธุรกิจต้องการดูว่าจะมีความคลี่คลายอย่างไรในช่วงสองเดือนข้างหน้า สิ่งนี้กระทบต่อบริษัททุกประเภทตั้งแต่ภาคการผลิตไปจนถึงอุตสาหกรรมหนัก"
     ปัจจุบัน ภาคการท่องเที่ยว ซึ่งได้รับกระทบอย่างต่อเนื่องจากการประท้วงที่มีความรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา กำลังพังพาบ เมื่อโรงแรมระดับ 5 ดาว และศูนย์การค้าที่ดึงดูดใจมากที่สุดในเอเชียจำนวนหนึ่งต้องปิดตัวชั่วคราวตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน หลังจากกลุ่มเสื้อแดงเข้ายึดพื้นที่ 3 ตารางกิโลเมตรในย่านธุรกิจของกรุงเทพฯ
     ทั้งนี้ภาคท่องเที่ยวอาจฟื้นตัวกลับมาอย่างรวดเร็ว หากความรุนแรงยุติลง แต่ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อเสถียรภาพของไทยกลับได้รับผลกระทบอย่างหนัก และฟื้นตัวได้อย่างยากยิ่งกว่า
     เพรสตัน ชาง นักธุรกิจชาวไต้หวัน ผู้ส่งออกผลไม้กระป๋องจากไทย ระบุว่า สิ่งนี้กำลังทำลายภาพลักษณ์ของไทยแล้ว คนไทยเคยถูกมองว่าเป็นมิตร ยิ้มแย้ม และมีความเข้าอกเข้าใจ ขณะที่เมืองไทยเคยถูกมองว่ามีเสถียรภาพทางการเมือง
      มุมมองดังกล่าวอาจเปลี่ยนแปลงไปแบบช่วยไม่ได้ อันเป็นผลจากความวุ่นวายในเดือนนี้ โดยผู้เชี่ยวชาญบางส่วนกล่าวว่า วิกฤตครั้งนี้น่ากังวลใจมากกว่าครั้งก่อนๆ ไมว่าจะเป็นการปะทะอย่างรุนแรงระหว่างกลุ่มนักศึกษาและทหารเมื่อต้นทศวรรษ 1970 และเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ปี 2535
     ชาง กล่าวว่า "สำหรับครั้งนี้ ความรุนแรงจะทำลายความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ"
     อย่างไรก็ตาม นับถึงตอนนี้ ยังไม่มีใครคาดการณ์ว่าบริษัทผู้ผลิตตั้งแต่เจนเนอรัล มอเตอร์ส ไปจนถึงเครืออุตสาหกรรมญี่ปุ่น ที่ทุ่มเงินลงทุนหลายหมื่นล้านดอลลาร์ในการตั้งโรงงานในเขตอุตสาหกรรมอีสเทิร์น ซีบอร์ดของไทย จะถอนการลงทุนทันที อุตสาหกรรมเหล่านี้ติดอยู่ในไทย เนื่องจากขนาดการลงทุนของพวกเขา แต่บริษัทที่สามารถลดขนาดธุรกิจได้ กำลังย้ายการลงทุน
     บรรดานักวิเคราะห์มองว่า หากปราศจากสัญญาณที่ชัดเจนว่าความไร้เสถียรภาพในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้ยุติลง ความกระตือรือร้นที่จะสร้างธุรกิจในไทยก็จะลดลง โดยโรเบอร์โต้ เฮอร์เรรา-ลิม นักวิเคราะห์เอเชียของยูราเชีย กรุ๊ป ชี้ว่า จากการมองสิ่งนี้ พบว่าความไม่สงบจะยุติลง โดยไม่ได้แก้ปัญหาประเด็นพื้นฐานที่แบ่งแยกทั้งสองฝ่าย
     หากพิจารณาในแง่จุดหมายปลายทางการลงทุนระยะยาว ความไม่สงบน่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนกังวล  การขาดเสถียรภาพเช่นนี้ต่อไปในช่วงสองปีข้างหน้าน่าจะกระทบต่อการตัดสินใจลงทุนในระยะ 3-5 ปี เช่น การสร้างโรงงานผลิตใหม่ขนาดใหญ่
     แอนดรู เยทส์ ผู้บริหารของเอเชีย พลัส ซิเคียวริตี้ ระบุว่า บริษัทการเงิน เช่น ธนาคาร และโบรกเกอร์น่าจะลดขนาดธุรกิจลงเช่นกัน
    ขณะที่บางส่วนถูกกดดันให้กระจายพนักงานไปยังหลายทำเลทั่วเมือง เมื่อแบคอัพ ไซต์ ถูกห้อมล้อมไปด้วยความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นแบบฉับพลัน
    นายเยทส์ กล่าวว่า คุณน่าจะเห็นอุตสาหกรรมย้ายพนักงานจากกรุงเทพฯ ไปยังที่อื่นๆ เช่น สิงคโปร์ พวกเขาจะย้ายพนักงานต่างชาติที่อยู่เมืองไทยมาได้ 2-3 ปี เพราะเป็นเรื่องยากที่จะย้ายคนที่มีชีวิตอยู่ที่นี่แล้ว
     นายชาง ผู้ส่งออกผลไม้กระป๋องและประธานสมาคมธุรกิจไทย-ไต้หวัน ให้ข้อมูลว่า ธุรกิจไต้หวันตั้งแต่ผู้ผลิตรองเท้าไปจนถึงผลิตเฟอร์นิเจอร์ได้ย้ายธุรกิจไปเวียดนามเมื่อปีที่ผ่านมา แม้ว่าเวียดนามมีแนวโน้มที่แรงงานจะก่อการสไตร์มากกว่าไทย บริษัทไทย โบนันซ่า ของเขาเองได้ย้ายธุรกิจบางส่วนไปเวียดนาม และเริ่มส่งออกสินค้าจากที่นั่นเมื่อปีที่แล้ว และตั้งเป้าจะลดการพึ่งพาไทยที่ขาดเสถียรภาพมากขึ้น
    ทั้งนี้ ในปี 2552 ผู้ผลิตไต้หวันได้ทุ่มเงินหลายพันล้านดอลลาร์เพื่อสร้างโรงงานและสิ่งก่อสร้างอื่นๆ ในเวียดนาม เมื่อเทียบกับการใช้เม็ดเงินเพียง 200 ล้านดอลลาร์ในไทย
    นายนานเดอดร์ จี ฟอน เดอ ลูเฮ ประธานหอการค้าต่างประเทศในไทย เปิดเผยว่า มีบริษัทจำนวนมากขึ้นที่ได้ศึกษาความเป็นไปได้ในการย้ายธุรกิจไปยังเมืองอื่นๆ ในภูมิภาคนี้ พร้อมเตือนว่า ความเสียหายจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละวันที่ความรุนแรงดำเนินต่อไป
    "ต้องทำให้กฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายกลับมาเหมือนเดิม หรือไม่ไทยจะต้องเจ็บปวด เราไม่สามารถมีสถานการณ์ที่เราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอีก 2 เดือนข้างหน้า"