สูตรคำนวณMargin สำหรับนักมาร์จิ้นทั้งหลายครับ
โพสต์แล้ว: พุธ มี.ค. 31, 2010 10:31 am
สวัสดีครับ....เห็นหลายๆคนสับสนกับเรื่องมาร์จิ้นกัน บางคนรู้มาก บางคนรู้น้อยวันนี้ผมจึงเอาสูตรที่นั่งAnalysisซึ่งอาจจะยาวซักหน่อยครับ เพราะผมก็ลืมๆเรื่องMathไปหมดแล้วครับ......
ขอเกริ่นนิดสำหรับคนที่ไม่มีพื้นนะครับ....
การใช้มาร์จิ้นคือการใช้เงินในอนาคตมาเล่น....ถ้าเล่นได้ก็ได้มากกว่าที่เป็นถ้าเสียก็เสียมากกว่าที่เป็น หรือเป็นอีกนัยยะว่าเป็นการเพิ่มการตัดสินใจของเรา ซึ่งเราสามารถเพิ่มได้ตั้งแต่ไม่มีคูณถึงคูณ2เท่ากับการตัดสินใจครับ ถูกคูณ2ผิดคูณ2 อันนี้กรณีมากสุดนะครับ แล้วแต่ว่าจะใช้มากน้อยต่างกันครับ
มาร์จิ้นมีต้นทุนคืออัตราดอกเบี้ย ซึ่งไม่fixขึ้นอยู่ธนาคาร ซึ่งสิ่งนี้ต้องดู เพราะสมมุติคิดอัตราดอก8% ก่อนเราใช้มาร์จิ้นเราต้องมั่นใจอย่างสูงสุดว่าเราสามารถสร้างผลตอบแทนได้มากกว่า8%ต่อปี ถ้าไม่งั้นคงไม่คุ้มที่จะใช้ครับ...
สิ่งที่ควรรู้คือการเล่นทองคำ ฟิวเจอร์ ออปชั่น เงิน ล้วนแต่ใช้หลักการมาร์จิ้นทั้งนั้น แต่พวกนี้เปรียบเสมือนการใช้มาร์จิ้น1000%ซึ่งอันตรายมากๆๆๆ
อีกสิ่งหนึ่งที่ควรรู้และตระหนักคือการซื้อwarrantก็ไม่ต่างจากการใช้มาร์จิ้นเช่นกันเพราะเป็นการเพิ่มการตัดสินใจเรา ถ้าตัวแม่ลง1ตัวลูกอาจลง2 ซึ่งมันเป็นนิยามเดียวกับการใช้มาร์จิ้นเลยครับ ซึ่ง!!!ต่างกันที่มาร์จิ้นมีดอกเบี้ย แต่มาร์จิ้นก็มีปันผลมาชดเชย แต่สิ่งหนึ่งที่ต่างกันมากที่สุดคือมาร์จิ้นมีForecSell
ดังนั้นข้อควรระวังหลักๆมี3ข้อดังนี้
1.MM<35% จะเริ่มโดนเรียกเงินเพื่อมาเติ่มเพราะเริ่มอยู่ในช่วงอันตราย
2.MM<25% จะโดนForceSellทันที....แต่คงไม่ทีเดียวหมดแต่จะทะยอยขายออกไป
3.หุ้นตัวนั้นดูไม่น่าเชื่อถือในสายตาบล.อาจจะโดนตัดสิทธิ์ ซึ่งเราต้องระวังห้ามเล่นมาร์จิ้นตัวที่เสี่ยง เพราะกรณีนี้จะโดนบังคับขาย100%
ในข้อ3ไม่น่าจะมีปัญหาเพราะถ้าบล.ไม่ให้สิทธิ์กู้ตัวนั้น ผมว่าก็สมควรแล้วที่ขายทิ้งเพราะการที่บล.ไม่กล้าให้เงินกู้กับหุ้นตัวนั้นแสดงว่าหุ้นตัวนั้นคงไม่อะไรที่ไม่ดีหรือเสี่ยง ซึ่งเราก็สมควรแล้วที่จะไม่ถือมัน
ส่วนข้อ1-2สามารถคิดได้จากสูตรนี้ครับ
MM=Equity/Asset
MM=เงินส่วนของเราที่เหลือ/มูลค่าสินทรัพย์ทั้งหมดรวมเงินกู้
สามารถประยุกต์ใหม่มาเป็นสูตร
%Loss=Loan/((E+Loan)*(MM-1))
%Loss=การเสียหายของAssetทั้งหมดติดลบกี่%ถึงจะโดนเรียกเงินหรือForcesell
Loan=หนี้สินที่กู้ยืมมา
E=เงินลงทุนก่อนกู้
MM=%มารืจิ้น แทนค่าที่35และ25
ตัวอย่าง......ผมมีเงินลงทุน100ใช้มาร์จิ้น50
โดนเรียกเงิน=-50/((100+50)*(.35-1))+1=48.72%
โดนForceSell=-50/((100+50)*(.25-1))=55.56
สรุปคือใช้มาร์ขิ้น50%หุ้นลง48.72%โดนเรียกเงิน ลง55.56%โดนบังคับขาย
ส่วนถ้าใครใช้มาร์จิ้น%อื่นๆก็สามารถแทนค่าได้เลยครับ
ปล.ที่เขียนบทความนี้มาไม่ใช่ส่งเสริมให้ใช้มาร์จิ้นนะครับ แต่อยากให้เข้าใจมากขึ้น จะได้คอยระมัดระวังเรื่องการใช้มาร์จิ้น เพราะความเสี่ยงคือถ้าคุณใช้มาร์จิ้นมากไปแม้นหุ้นคุณจะดีจริง แต่คุณอาจจะโดนบังคับขายได้หากหุ้นเกิดPanicขึ้นมา.....ผมยกตัวอย่างถ้าเกิดข่าวลือหมือนเมื่อช่วงปลายปีจะเป็นอย่างไร?และถ้าวันหนึ่งมั่นไม่ใช่ข่าวลือจะเป็นอย่างไร หุ้นอาจจะเกิดpanicลงแรง-50%แล้วกลับขึ้นมาปิดที่-25% แต่นั่นก็ไม่มีความหมายแล้วเพราะหุ้นคุณโดนขายณ.จุดต่ำสุดไปแล้ว.....ยิ่งถ้าบางคนไม่ได้นั่งเผ้าหน้าจอด้วยแล้ว เผลอวันเดียวเงินหมดพอร์ทได้เลยนะครับ.....
ขอเกริ่นนิดสำหรับคนที่ไม่มีพื้นนะครับ....
การใช้มาร์จิ้นคือการใช้เงินในอนาคตมาเล่น....ถ้าเล่นได้ก็ได้มากกว่าที่เป็นถ้าเสียก็เสียมากกว่าที่เป็น หรือเป็นอีกนัยยะว่าเป็นการเพิ่มการตัดสินใจของเรา ซึ่งเราสามารถเพิ่มได้ตั้งแต่ไม่มีคูณถึงคูณ2เท่ากับการตัดสินใจครับ ถูกคูณ2ผิดคูณ2 อันนี้กรณีมากสุดนะครับ แล้วแต่ว่าจะใช้มากน้อยต่างกันครับ
มาร์จิ้นมีต้นทุนคืออัตราดอกเบี้ย ซึ่งไม่fixขึ้นอยู่ธนาคาร ซึ่งสิ่งนี้ต้องดู เพราะสมมุติคิดอัตราดอก8% ก่อนเราใช้มาร์จิ้นเราต้องมั่นใจอย่างสูงสุดว่าเราสามารถสร้างผลตอบแทนได้มากกว่า8%ต่อปี ถ้าไม่งั้นคงไม่คุ้มที่จะใช้ครับ...
สิ่งที่ควรรู้คือการเล่นทองคำ ฟิวเจอร์ ออปชั่น เงิน ล้วนแต่ใช้หลักการมาร์จิ้นทั้งนั้น แต่พวกนี้เปรียบเสมือนการใช้มาร์จิ้น1000%ซึ่งอันตรายมากๆๆๆ
อีกสิ่งหนึ่งที่ควรรู้และตระหนักคือการซื้อwarrantก็ไม่ต่างจากการใช้มาร์จิ้นเช่นกันเพราะเป็นการเพิ่มการตัดสินใจเรา ถ้าตัวแม่ลง1ตัวลูกอาจลง2 ซึ่งมันเป็นนิยามเดียวกับการใช้มาร์จิ้นเลยครับ ซึ่ง!!!ต่างกันที่มาร์จิ้นมีดอกเบี้ย แต่มาร์จิ้นก็มีปันผลมาชดเชย แต่สิ่งหนึ่งที่ต่างกันมากที่สุดคือมาร์จิ้นมีForecSell
ดังนั้นข้อควรระวังหลักๆมี3ข้อดังนี้
1.MM<35% จะเริ่มโดนเรียกเงินเพื่อมาเติ่มเพราะเริ่มอยู่ในช่วงอันตราย
2.MM<25% จะโดนForceSellทันที....แต่คงไม่ทีเดียวหมดแต่จะทะยอยขายออกไป
3.หุ้นตัวนั้นดูไม่น่าเชื่อถือในสายตาบล.อาจจะโดนตัดสิทธิ์ ซึ่งเราต้องระวังห้ามเล่นมาร์จิ้นตัวที่เสี่ยง เพราะกรณีนี้จะโดนบังคับขาย100%
ในข้อ3ไม่น่าจะมีปัญหาเพราะถ้าบล.ไม่ให้สิทธิ์กู้ตัวนั้น ผมว่าก็สมควรแล้วที่ขายทิ้งเพราะการที่บล.ไม่กล้าให้เงินกู้กับหุ้นตัวนั้นแสดงว่าหุ้นตัวนั้นคงไม่อะไรที่ไม่ดีหรือเสี่ยง ซึ่งเราก็สมควรแล้วที่จะไม่ถือมัน
ส่วนข้อ1-2สามารถคิดได้จากสูตรนี้ครับ
MM=Equity/Asset
MM=เงินส่วนของเราที่เหลือ/มูลค่าสินทรัพย์ทั้งหมดรวมเงินกู้
สามารถประยุกต์ใหม่มาเป็นสูตร
%Loss=Loan/((E+Loan)*(MM-1))
%Loss=การเสียหายของAssetทั้งหมดติดลบกี่%ถึงจะโดนเรียกเงินหรือForcesell
Loan=หนี้สินที่กู้ยืมมา
E=เงินลงทุนก่อนกู้
MM=%มารืจิ้น แทนค่าที่35และ25
ตัวอย่าง......ผมมีเงินลงทุน100ใช้มาร์จิ้น50
โดนเรียกเงิน=-50/((100+50)*(.35-1))+1=48.72%
โดนForceSell=-50/((100+50)*(.25-1))=55.56
สรุปคือใช้มาร์ขิ้น50%หุ้นลง48.72%โดนเรียกเงิน ลง55.56%โดนบังคับขาย
ส่วนถ้าใครใช้มาร์จิ้น%อื่นๆก็สามารถแทนค่าได้เลยครับ
ปล.ที่เขียนบทความนี้มาไม่ใช่ส่งเสริมให้ใช้มาร์จิ้นนะครับ แต่อยากให้เข้าใจมากขึ้น จะได้คอยระมัดระวังเรื่องการใช้มาร์จิ้น เพราะความเสี่ยงคือถ้าคุณใช้มาร์จิ้นมากไปแม้นหุ้นคุณจะดีจริง แต่คุณอาจจะโดนบังคับขายได้หากหุ้นเกิดPanicขึ้นมา.....ผมยกตัวอย่างถ้าเกิดข่าวลือหมือนเมื่อช่วงปลายปีจะเป็นอย่างไร?และถ้าวันหนึ่งมั่นไม่ใช่ข่าวลือจะเป็นอย่างไร หุ้นอาจจะเกิดpanicลงแรง-50%แล้วกลับขึ้นมาปิดที่-25% แต่นั่นก็ไม่มีความหมายแล้วเพราะหุ้นคุณโดนขายณ.จุดต่ำสุดไปแล้ว.....ยิ่งถ้าบางคนไม่ได้นั่งเผ้าหน้าจอด้วยแล้ว เผลอวันเดียวเงินหมดพอร์ทได้เลยนะครับ.....