Thai VI

ผมเคยมี CPF แล้วขายไปตอน 14 บาท แล้วเกิดเสียดายอยากได้กลับคืนมาใหม่ แต่ตอนนี้ราคา CPF อยู่ที่ 14.80 และใน consensus ประเมิน Target Price ไว้ที่ประมาณ 17.90  เท่ากับว่ามี upside อีกประมาณ 20% อยากถามผู้รู้ว่าผมสามารถรับไว้ได้มั้ย เพราะจริง ๆ แล้ว Target Price อาจไม่ถึงตามที่ consensus ประเมินไว้ก็ได้
ผมเลยไม่แน่ใจว่า upside ประมาณเท่าไหร่ดีถึงจะน่าลงทุน

ผมคิดว่าเป็นศิลปะอย่างนึงนะครับ ถ้าถามว่า upside เท่าไหร่จึงจะดี ตอบได้ทันทีครับว่ามากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ยิ่งมากยิ่งดี  :o  แต่ในความเป็นจริงเราควรยึดหลักการตามเหตุและผลด้วยครับ ตามมูลค่าที่เราคำนวณได้ แล้วเวลาเข้าซื้อมีเหตุผลอย่างไร เวลาขายก็ควรขายในเหตุผลเดียวกันครับ ราคามี margin of safety ที่รับได้มั้ย ข้อมูลที่ได้จากบทวิเคราะห์ต่าง ๆ เป็นข้อมูลที่ดีครับ แต่สุดท้ายแล้วเราต้องพยายามหาข้อมูลให้มากที่สุด แล้วตัดสินใจด้วยตัวเองครับ

ขออนุญาตนำข้อความที่พี่โยเขียนไว้มาให้อ่านครับ

yoyo เขียน:ถ้าไม่มี upside ก็ไม่ซื้อครับ จริงๆ spec ผมสูงกว่านั้นอีก คือถ้า upside ไม่ถึง 30% ก็ไม่ซื้อเหมือนกัน นอกจากว่าเป็นหุ้นที่ถูกมาโดยตลอด แต่คุณภาพกิจการดีจนอาจจะมีโอกาสในการปรับ pe ผมก็อาจจะซื้อได้ถ้า Upside ไม่ถึง 30 .... ตัวเลข 30% นี่เสมือนกับเป็น Margin of Safety ของผมแหละครับ ถ้าน้อยกว่านี้ก็คือว่าไม่ปลอดภัยเพียงพอ ไปหาหุ้นตัวใหม่ดีกว่า แล้วถ้ายังพยายามหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอจริงๆ ก็เอาไปพักไว้กองทุนอสังหาถ้ากองทุนมันยังมี Discount อยู่

http://www.thaivi.com/webboard/viewtopi ... &start=270

ขอบคุณคุณ Packky ครับ  :D

สำหรับผมส่วนมากก็จะเลือกเอาที่เยอะสุดมาลงทุนครับ(หมายถึงเอาตัวที่ upside เยอะสุดมาลงทุน ) แต่ถ้าน้อยกว่า 20 % ผมว่าไม่น่าสนใจนะครับ

sai เขียน:สำหรับผมส่วนมากก็จะเลือกเอาที่เยอะสุดมาลงทุนครับ(หมายถึงเอาตัวที่ upside เยอะสุดมาลงทุน ) แต่ถ้าน้อยกว่า 20 % ผมว่าไม่น่าสนใจนะครับ

พี่มี่ คิดกรอบระยะเวลาเท่าไรหรอครับ ที่ว่า 20% น่าจะเป็น 1 ปีรึป่าวครับ

เด็กเลี้ยงไม้ เขียน: พี่มี่ คิดกรอบระยะเวลาเท่าไรหรอครับ ที่ว่า 20% น่าจะเป็น 1 ปีรึป่าวครับ

ครับ 1 ปีครับผม  :lol:

เอาการบริหารแบบyoyoซิครับ หาupsideหุ้นทุกตัวที่มี ตัวไหนเยอะสุดก็ถือเยอะสุด ถ้าราคาขยับupsideเปลี่ยนแปลงมากๆเราก็ปรับพอร์ทไปหาupsideที่มากกว่า ก็เล่นได้ตลอดทุกช่วงแล้วครับ

แนวคิดผมมอง 2 แบบ
1.เวลาซื้อหุ้นมองที่downsideไว้ก่อน(อันนี้คงไม่ตรงกับท่านอื่น)
2.เวลามองupsideให้มอง 2 อย่างคือ
  - upside ที่มีความแน่นอน เช่น บริษัทซื้อหุ้นคือที่ราคาเท่าไร
  - upside จากการประเมิน เกิดจากการตั้งสมมุติฐานต่างๆของเรา
ผมให้น้ำหนักจาก upside ทั้ง 2 แบบไม่เท่ากัน

sai เขียน:

ครับ 1 ปีครับผม

ราค downside เป็นเรื่องที่บ้างครั้งใช้ความรู้สึกบวกกับเหตุการณ์ที่มากระทบเป็นอย่างมากกกกกก

ตัวอย่างหนึ่ง
โรงพยาบาลแห่งหนึ่งได้ขยายสาขา ครั้งแรกที่ประการงบประจำไตรมาสราคาหุ้นตกลงอย่างแรกเพราะกำไรลดลงอย่างมีนัยยะ
จำได้ว่าราคาสูงสุดน่าจะประมาณ 90 บาท
ราคาไหลลงต่อเนื่อง
จนครบรอบปี(ครบ 4 ไตรมาสที่ประกาศ) ราคาหุ้นยืนอยู่ที่ประมาณ 50 บาท
ประกอบกับไตรมาสต่อมา(ไตรมาสที่ 5) บริษัทเริ่มมีกำไรมาขึ้น
กระแสเงินสดเป็นบวก
มูลค่าตลาดรวมประมาณ 650 ล้าน(เที่ยบกับโรงบาลขนาด 262เตียงกับ 100เตียงอีก1แห่ง )
ผมว่าเป็นราคาที่หมดทางแพ้แล้วครับ

ตัวอย่างที่สอง
บริษัทประกันภัยแห่งหนึ่งบันทึกขาดทุนจากลงทุนทำให้ทั้งปีกำไรของบริษัทเป็นลบ
ราคาหุ้นตกจากประมาณ 50บาทมาเป็น 25 บาท
หลักจากนั้น 2 ไตรมาสมีการบันทึกขาดทุนจากไฟไหม้โกดังอีกแห่งหนึ่งของลูกค้าทำให้กำไรไตรมาสนั้นลดลง
ราคาหุ้นตกจาก 25 บาทมาเหลือประมาณ 19 บาท
ซึ่งถ้าพิจารณาดูแล้ว 2 เหตุการณ์นี้เป็นเหตุการพิเศษ
ไม่ได้เกิดขึ้นเป้นประจำ
และบริษัทนี้เป็นบริษัทที่จ่ายปันผลในอักตราที่สูง(เทียบกับราคา 19 ปีล่าสุดปันผล 3 บาท)

ผมจึงคิดว่าน่าสนใจทั้ง 2 กรณี

กุหลาบงามหลังฝน เขียน:ราค downside เป็นเรื่องที่บ้างครั้งใช้ความรู้สึกบวกกับเหตุการณ์ที่มากระทบเป็นอย่างมากกกกกก

ตัวอย่างหนึ่ง
โรงพยาบาลแห่งหนึ่งได้ขยายสาขา ครั้งแรกที่ประการงบประจำไตรมาสราคาหุ้นตกลงอย่างแรกเพราะกำไรลดลงอย่างมีนัยยะ
จำได้ว่าราคาสูงสุดน่าจะประมาณ 90 บาท
ราคาไหลลงต่อเนื่อง
จนครบรอบปี(ครบ 4 ไตรมาสที่ประกาศ) ราคาหุ้นยืนอยู่ที่ประมาณ 50 บาท
ประกอบกับไตรมาสต่อมา(ไตรมาสที่ 5) บริษัทเริ่มมีกำไรมาขึ้น
กระแสเงินสดเป็นบวก
มูลค่าตลาดรวมประมาณ 650 ล้าน(เที่ยบกับโรงบาลขนาด 262เตียงกับ 100เตียงอีก1แห่ง )
ผมว่าเป็นราคาที่หมดทางแพ้แล้วครับ

ตัวอย่างที่สอง
บริษัทประกันภัยแห่งหนึ่งบันทึกขาดทุนจากลงทุนทำให้ทั้งปีกำไรของบริษัทเป็นลบ
ราคาหุ้นตกจากประมาณ 50บาทมาเป็น 25 บาท
หลักจากนั้น 2 ไตรมาสมีการบันทึกขาดทุนจากไฟไหม้โกดังอีกแห่งหนึ่งของลูกค้าทำให้กำไรไตรมาสนั้นลดลง
ราคาหุ้นตกจาก 25 บาทมาเหลือประมาณ 19 บาท
ซึ่งถ้าพิจารณาดูแล้ว 2 เหตุการณ์นี้เป็นเหตุการพิเศษ
ไม่ได้เกิดขึ้นเป้นประจำ
และบริษัทนี้เป็นบริษัทที่จ่ายปันผลในอักตราที่สูง(เทียบกับราคา 19 ปีล่าสุดปันผล 3 บาท)

ผมจึงคิดว่าน่าสนใจทั้ง 2 กรณี

โอ้โฮ น่าหวาดเสียวดีครับ โดยเฉพาะกรณีที่ 2 เล่นตกลงไป 62% ภายใน 2-3 ไตรมาส ต่อให้ปันผลสูงผมก็ยังเสียวอยู่ดี เพราะขาดทุนสะสมขนาดนี้
เอ้า ! แล้วอย่างนี้ปันผลไม่หดลงด้วยเหรอครับ หรืออาจไม่มีตังค์จ่ายปันผลก็ได้
ขอโทษนะครับ มือใหม่จริง ๆ ขอความรู้ด้วยครับ  :D

ต่ออีกนิดครับ
คือกรณีที่ 2 เนี่ย ผมกลัวมัน downside แล้วมันจะนิ่งอยู่แถว ๆ นั้นนะซิครับ
อย่างนี้เราต้องพิจารณากลุ่มอุตสาหกรรมด้วยหรือเปล่าครับ เช่นว่า อุตสาหกรรมนั้น ๆ ควรมี downside ที่รับได้กี่ % และเมื่อ down แล้วมันจะ up กี่ % ซึ่งถือเป็นธรรมชาติของวัฏจักรของอุตสาหกรรมนั้น ๆ อะไรทำนองนี้หรือเปล่าครับ

ผมชอบไปดูประมาณการ EPS ในอนาคต คูณกับค่า P/E เป็นราคาเป้าหมายของตัวเอง มากกว่าจะใช้ target price จากโบรกเกอร์ครับ เพราะ target price จากโบรกเกอร์บางทีก็แปลกๆครับ อย่างเช่นตอนนี้ ให้ PTTEP ไว้สูงเกินครับ

กุหลาบงามหลังฝน เขียน:ราค downside เป็นเรื่องที่บ้างครั้งใช้ความรู้สึกบวกกับเหตุการณ์ที่มากระทบเป็นอย่างมากกกกกก

ตัวอย่างหนึ่ง
โรงพยาบาลแห่งหนึ่งได้ขยายสาขา ครั้งแรกที่ประการงบประจำไตรมาสราคาหุ้นตกลงอย่างแรกเพราะกำไรลดลงอย่างมีนัยยะ
จำได้ว่าราคาสูงสุดน่าจะประมาณ 90 บาท
ราคาไหลลงต่อเนื่อง
จนครบรอบปี(ครบ 4 ไตรมาสที่ประกาศ) ราคาหุ้นยืนอยู่ที่ประมาณ 50 บาท
ประกอบกับไตรมาสต่อมา(ไตรมาสที่ 5) บริษัทเริ่มมีกำไรมาขึ้น
กระแสเงินสดเป็นบวก
มูลค่าตลาดรวมประมาณ 650 ล้าน(เที่ยบกับโรงบาลขนาด 262เตียงกับ 100เตียงอีก1แห่ง )
ผมว่าเป็นราคาที่หมดทางแพ้แล้วครับ

ตัวอย่างที่สอง
บริษัทประกันภัยแห่งหนึ่งบันทึกขาดทุนจากลงทุนทำให้ทั้งปีกำไรของบริษัทเป็นลบ
ราคาหุ้นตกจากประมาณ 50บาทมาเป็น 25 บาท
หลักจากนั้น 2 ไตรมาสมีการบันทึกขาดทุนจากไฟไหม้โกดังอีกแห่งหนึ่งของลูกค้าทำให้กำไรไตรมาสนั้นลดลง
ราคาหุ้นตกจาก 25 บาทมาเหลือประมาณ 19 บาท
ซึ่งถ้าพิจารณาดูแล้ว 2 เหตุการณ์นี้เป็นเหตุการพิเศษ
ไม่ได้เกิดขึ้นเป้นประจำ
และบริษัทนี้เป็นบริษัทที่จ่ายปันผลในอักตราที่สูง(เทียบกับราคา 19 ปีล่าสุดปันผล 3 บาท)

ผมจึงคิดว่าน่าสนใจทั้ง 2 กรณี

ขอบคุณมากครับ
แบบนี้สมมุติว่าถ้า บ.หนึ่ง เกิดไม่ได้ต่อสัญญาสักอย่าง ทำให้รายได้หายไป
แต่อยู่ใน downside ที่เรารับได้ก็ถือต่อ หรือเราอาจจะถอยออกมาก่อน
ส่วนตัวผมว่าคิดยากนะครับ เพราะเวลาเกิดแบบนี้ ส่วนใหญ่คนน่าจะมีอาการ panic  
แต่คงช่วยได้ในระดับหนึ่งในกรณีที่เรา ถือหุ้น บ. นั้นๆอยู่

KriangL เขียน:ผมชอบไปดูประมาณการ EPS ในอนาคต คูณกับค่า P/E เป็นราคาเป้าหมายของตัวเอง มากกว่าจะใช้ target price จากโบรกเกอร์ครับ เพราะ target price จากโบรกเกอร์บางทีก็แปลกๆครับ อย่างเช่นตอนนี้ ให้ PTTEP ไว้สูงเกินครับ

เห็นด้วยครับ แต่สำหรับผม การหา pe ที่เหมาะสมนั้นไม่ง่ายเลยคงต้อง สั่งสมประสบการณ์อีกยาวนาน
ส่วนtarget โบรค นั้นผมมีไว้ให้กระชุ่มกระชวยเท่านั้นหละครับ เห็นเชียร์ทีไร ไม่เห็นซื้อเลย ขายตลอด

ผมจะดู
eps ทั้งปัจจุบัน และอานคตที่คาดได้
roe คือ return on equity
pe ที่เหมาะสม หรือวครจะเป็น เทียบกับกลุ่ม (อันนี้หละที่ผมว่ายากสำหรับมือใหม่)
หลักๆเท่านี้หละครับ

แล้วก็ GPM (gross)และ NPM( net profit margin) ด้วยครับ
แต่พวกนี้จะใช้กับ mass product ไม่ได้ คือพวกแข่งขันสูงเน้น ปริมาณทำนองนี้อะครับ

เด็กเลี้ยงไม้ เขียน:

ขอบคุณมากครับ
แบบนี้สมมุติว่าถ้า บ.หนึ่ง เกิดไม่ได้ต่อสัญญาสักอย่าง ทำให้รายได้หายไป
แต่อยู่ใน downside ที่เรารับได้ก็ถือต่อ หรือเราอาจจะถอยออกมาก่อน
ส่วนตัวผมว่าคิดยากนะครับ เพราะเวลาเกิดแบบนี้ ส่วนใหญ่คนน่าจะมีอาการ panic

chirasuke เขียน:ต่ออีกนิดครับ
คือกรณีที่ 2 เนี่ย ผมกลัวมัน downside แล้วมันจะนิ่งอยู่แถว ๆ นั้นนะซิครับ
อย่างนี้เราต้องพิจารณากลุ่มอุตสาหกรรมด้วยหรือเปล่าครับ เช่นว่า อุตสาหกรรมนั้น ๆ ควรมี downside ที่รับได้กี่ % และเมื่อ down แล้วมันจะ up กี่ % ซึ่งถือเป็นธรรมชาติของวัฏจักรของอุตสาหกรรมนั้น ๆ อะไรทำนองนี้หรือเปล่าครับ

แบบกรณีที่ 2 ถือว่าพื้นฐานด้านประกันยังไม่เปลี่ยนแต่ พื้นฐานด้านการลงทุนของบริษัทเปลี่ยน (เพราะเงินกองทุนของบริษัทลดลง)
เพราะฉะนั้นแล้วเราต้องพิจารณาว่าถ้าปีปกติบริษัทต้องใช้เวลานานแค่ไหนในการทำกำไรกลับมาเป็นเหมือนเดิม

ขอบคุณพี่ กุหลาบงามหลังฝน มากๆครับ

โห เรื่อง downside ผมไม่เคยดูมาก่อนเลยนะเนี่ย ขอบคุณสำหรับตัวอย่างครับ

เด็กเลี้ยงไม้ เขียน:ขอบคุณพี่ กุหลาบงามหลังฝน มากๆครับ

อย่าเรียกพี่เลยครับ ผมอายุยังน้อย
เรียกน้องดีกว่า  :lol:

ปกติ ถ้าเริ่มตะหงิดๆ ว่ากำไรจะลดลงมาก
ก็ต้องเผ่นออกมาดูก่อนว่าเป็นอย่างไรหรือปล่าวครับ

รู้สึกว่า downside ของราคามันจะคาดการณ์ยากจัง
ยิ่งมีหุ้น แล้วจะยิ่งมีอคติปนเข้าไปด้วยครับ

หรือมีแนวคิดในการคำนวณหรือปล่าวครับ

ขอบคุณครับ

ปล. ผมก็ไม่เคยคิดเรื่อง downside เลยแฮ่ะ
คิดแค่ว่าถ้ามีอะไรเปลี่ยนแปลง ก็ต้องเผ่นครับ

ขอบคุณ คุณกุหลาบงามหลังฝน มากครับ

แสดงว่าการมองมุม downside เนี่ยผมต้องมีความเข้าใจในปัญหาและโอกาสของบริษัทนั้น ๆ อย่างมากเลยทีเดียว ที่สำคัญต้องใช้ความ "ใจเย็น+ใจกล้า" ประกอบการตัดสินใจด้วย

อย่างนี้สมมติว่าผมมีหุ้นบริษัทกรณีที่ 2 ราคา 50 บาท แล้วพอเกิดปัญหาที่ทำให้ราคาหุ้นตกลง ผมสามารถซื้อถัวไปเรื่อย ๆ ได้มั้ยครับ ถ้าผมมีความมั่นใจว่าบริษัทจะกลับมากำไรได้อีก (ถ้าไม่ panic ซะก่อน)

กุหลาบงามหลังฝน เขียน:

อย่าเรียกพี่เลยครับ ผมอายุยังน้อย
เรียกน้องดีกว่า

อ้อ kce นี่ก็น่าจะเป็นตัวอย่าง downside ได้รึป่าว กำไรสลับขาดทุนอยู่หลายปี
พอแก้ไขได้ นี่วิ่งตับแล๊บเลย ส่วนผมกังวลเรื่องคนงานออกบ่อยอะครับ

เด็กเลี้ยงไม้ เขียน:

อย่าเรียกพี่เลยครับ ผมอายุยังน้อย
เรียกน้องดีกว่า

chirasuke เขียน:ขอบคุณ คุณกุหลาบงามหลังฝน มากครับ

แสดงว่าการมองมุม downside เนี่ยผมต้องมีความเข้าใจในปัญหาและโอกาสของบริษัทนั้น ๆ อย่างมากเลยทีเดียว ที่สำคัญต้องใช้ความ "ใจเย็น+ใจกล้า" ประกอบการตัดสินใจด้วย

อย่างนี้สมมติว่าผมมีหุ้นบริษัทกรณีที่ 2 ราคา 50 บาท แล้วพอเกิดปัญหาที่ทำให้ราคาหุ้นตกลง ผมสามารถซื้อถัวไปเรื่อย ๆ ได้มั้ยครับ ถ้าผมมีความมั่นใจว่าบริษัทจะกลับมากำไรได้อีก (ถ้าไม่ panic ซะก่อน)

กรณีนี้ผมโชคดีที่มองไม่เห็นหุ้นตัวนี้ตอนราคาตกลงมาครั้งแรก(จาก 50 ลงมา 25 บาท) อาจเป็นเพราะตอนนั้นของถูกมีเต็มตลาดไม่นั้นคงเจ็บตัวเหมือนกัน
ส่วนเรื่องจะซื้อถั่วไหมถ้ามีหุ้น ถ้าเป็นคำแนะนำแบบ VI เขาคงบอกให้ซื้อถั่ว
และถ้าเป็นผมก็คงซื้อถั่ว
แต่จากสถิติแล้วเวลาหุ้นลงไม่ควรซื้อถั่วเพราะ ความเสียหายจากการผิดพลาดครั้งใหญ่เพียงครั้งเดียวอาจจะทำให้คุณต้องนับหนึ่งใหม่เลยก็ได้
สำคัญที่สุดต้องแยกให้ออกว่าเป็นโอกาส หรือวิกฤตกันแน่

moonchild เขียน:ปกติ ถ้าเริ่มตะหงิดๆ ว่ากำไรจะลดลงมาก
ก็ต้องเผ่นออกมาดูก่อนว่าเป็นอย่างไรหรือปล่าวครับ

รู้สึกว่า downside ของราคามันจะคาดการณ์ยากจัง
ยิ่งมีหุ้น แล้วจะยิ่งมีอคติปนเข้าไปด้วยครับ

หรือมีแนวคิดในการคำนวณหรือปล่าวครับ

ขอบคุณครับ

ปล. ผมก็ไม่เคยคิดเรื่อง downside เลยแฮ่ะ
คิดแค่ว่าถ้ามีอะไรเปลี่ยนแปลง ก็ต้องเผ่นครับ

ถ้าบอกว่าdownside เป็นเรื่องที่คาดการณ์ยาก ผมว่ามันก็ยากพอๆกับการที่เราคาดการณ์ Upside เพราะมันมีปัจจัยที่เราไม่สามารถรู้ได้มากมาย

ส่วนเรื่องแนวคิด ผมคิดว่าคนส่วนมากจะคิดถึงแต่ Upside
แต่ไม่เคยมีใครพูดถึงความต่างระหว่าง Upside กับ MoS เลย

บางท่านแปลกยิ่งกว่าคือเอา upside มาเป็น MoS

ลองคิดดูให้ดีนะครับ มันเป็นเหมือนความเหมือนที่แตกต่าง