คุยกับบัฟเฟต : ValueWay วิบูลย์ พึงประเสริฐ
โพสต์แล้ว: ศุกร์ มี.ค. 19, 2010 10:45 pm
Value Way ฉบับวันที่ 22 มีนาคม 2553
โดยวิบูลย์ พึงประเสริฐ
คุยกับบัฟเฟต
ต่อไปนี้เป็นคำถามต่อวอร์เรน บัฟเฟตในการให้สัมภาษณ์สถานี CNBC ในวันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมา
ถาม: คำถามจากผู้ชมทางบ้านจากรัฐอิลลินอยล์ถามว่า ปกติคุณเป็นนักลงทุนระยะยาว แต่ในไตรมาศสามปี 2009 คุณซื้อหุ้นบริษัทเอกซอนโมบิลและขายหุ้นบริษัทนี้ไปในไตรมาศถัดมา อะไรทำให้คุณเปลี่ยนใจได้เร็วขนาดนั้น
บัฟเฟต: บางครั้งเมื่อเราเริ่มซื้อหรือลงทุนในบริษัทใดบริษัทหนึ่งและเราไม่สามารถซื้อหุ้นบริษัทนั้นได้ตามจำนวนที่เราต้องการ รวมทั้งเราต้องการใช้เงินจำนวนมากในการเข้าซื้อบริษัทเบอร์ลิงตันทั้งบริษัท ทำให้เราต้องขายหุ้นออกไปบางส่วนโดยเฉพาะในหุ้นที่เราถือเป็นจำนวนไม่มากอย่างบริษัทเอกซอนโมบิล
ถาม: คุณอ่านรายงานประจำปีของบริษัทต่างๆปีละกี่เล่ม
บัฟเฟต: อาจจะเป็นร้อยนะ ผมเพิ่งอ่านรายงานประจำปีของบริษัทเอไอจี (AIG) จบ ความหนาประมาณ 550 หน้า ผมอ่านรายงานประจำปีเยอะมาก
ถาม: คุณพูดเสมอว่าให้โลภเมื่อคนอื่นกลัวและให้กลัวเมื่อคนอื่นโลภ ถามว่าคุณโลภหรือกลัวสำหรับสถานการณ์ตลาดหุ้นในตอนนี้
บัฟเฟต: คือว่าปกติผมมักเริ่มต้นจากความกลัวก่อน เมื่อผมเห็นโอกาสในการลงทุนผมถึงเริ่มค่อยๆโลภ แต่อย่างไรก็ตามผมมักมองถึงผลลบ (Downside) ของการลงทุนนั้นก่อนเสมอ หมายความว่าถ้าคุณไม่ขาดทุน คุณก็สามารถทำกำไรได้ นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่เราทำผลตอบแทนได้ดี สิ่งต่างๆเหล่านี้ผมเรียนรู้จากเบน เกรแฮม (Ben Graham) ตั้งแต่ผมอายุได้ราวๆ 20 ปี ในช่วงสิบปีแรกของการลงทุนเป็นช่วงที่ดีที่สุดของผม เพราะในช่วงนั้นเราไม่ขาดทุนเลยสักปีเดียว ตอนนี้ราคาหุ้นเบิร์คไชน์อาจลดลงถึง 50% และมันเกิดขึ้นถึง 4 ครั้งตั้งแต่เราเข้าเป็นเจ้าของบริษัท เราอาจขาดทุนในระยะสั้น แต่ในระยะยาวแล้วเราไม่ขาดทุนอย่างถาวรแน่นอน ผมมองผลลบของการลงทุนก่อนเสมอ
ถาม: คุณคิดว่าในตลาดตอนนี้ นักลงทุนส่วนใหญ่โลภหรือกลัว
บัฟเฟต: ถ้าคุณลงทุน คุณควรลงทุนระยะยาว ในระยะยาวแล้ว ผมชอบที่จะถือหุ้นมากกว่าลงทุนในสินทรัพย์ราคาคงที่ (Fixed-dollar investment) หรือเข้าๆออกๆตลาดหุ้น
ถาม: คุณคิดว่าผู้จัดการกองทุนเฮดฟันด์ที่ใช้กลยุทธขายหุ้นแล้วซื้อคืน (Shorting) จะใช้กลยุทธเดิมไม่ได้ในอนาคต เมื่อกฏใหม่ของตลาดหลักทรัพย์สหรัฐออกมาเรื่องการกำหนดราคาช๊อตหุ้นหรือไม่
บัฟเฟต: การขายหุ้นแล้วซื้อคืน (Shorting) ไม่ใช่การลงทุน แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณจะทำเงินจากวิธีการนี้ไม่ได้ ในฐานะนักลงทุน คุณควรมองการลงทุนบนความคิดที่ว่าถ้าตลาดหุ้นปิดไปสักสองสามปี คุณยังมีความสุขอยู่ได้และพอใจกับผลประกอบการของธุรกิจที่คุณลงทุน
ถาม: คุณคิดว่าคุณเรียนรู้อะไรจากวิกฤติเศรษฐกิจในครั้งนี้
บัฟเฟต: สิ่งที่เราได้เรียนรู้จากวิกฤติครั้งนี้เหมือนกับสิ่งที่เราได้เรียนรู้จากหนังสือนักลงทุนที่ชาญฉลาด (The Intelligent Investor) ของเกรแฮม หนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นเมื่อปี 1949 ให้คุณอ่านบทที่ 8 ถึง 20 ที่บอกว่าเวลาลงทุนให้คุณซื้อหุ้นเหมือนซื้อส่วนหนึ่งของธุรกิจ ถ้าคุณซื้อธุรกิจที่ดีในราคาที่สมเหตุสมผลและถือมันไว้ คุณก็ไม่มีปัญหา ผมว่าถ้าเรามองหุ้นเหมือนสิ่งที่มีราคาเปลี่ยนแปลงไปมาและเมื่อคุณเริ่มใช้กราฟนั่นแสดงว่าคุณเริ่มมีปัญหาเกิดขึ้น ผมแนะนำให้ซื้อหุ้นในธุรกิจที่ดีราคาเหมาะสม ซื้อธุรกิจที่คุณเข้าใจและสามารถถือลืมไปได้หลายๆปี