หน้า 1 จากทั้งหมด 1

ภัยแล้งปี 2553 : รุนแรงที่สุดในรอบ 5 ปี

โพสต์แล้ว: ศุกร์ มี.ค. 05, 2010 1:02 pm
โดย vichit
ภัยแล้งปี 2553 : รุนแรงที่สุดในรอบ 5 ปี...จับตาผลกระทบต่อภาคเกษตรและท่องเที่ยว


          บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงาน เรื่อง ภัยแล้งปี 2553 : รุนแรงที่สุดในรอบ 5 ปี...จับตา
ผลกระทบต่อภาคเกษตรและท่องเที่ยว โดยระบุว่า ปัจจุบันในพื้นที่ตอนบนของภาคเหนือและภาค
ตะวันออกเฉียงเหนือ เริ่มเกิดสถานการณ์ภัยแล้ง แม้ว่าพื้นที่ในเขตชลประทานยังไม่ได้รับผล
กระทบจากสถานการณ์ภัยแล้งมากนัก แต่พื้นที่นอกเขตชลประทานในบางแห่งเริ่มจะขาดแคลน
น้ำเพื่อทำการเกษตร สำหรับพื้นที่ตอนบนของภาคกลางและภาคตะวันออกเริ่มเกิดสถานการณ์ภัย
แล้งเช่นกัน และมีแนวโน้มที่ความแห้งแล้งจะขยายพื้นที่ลงมาตอนล่างของภาคเพิ่มมากขึ้น ใน
ขณะที่ภาคใต้เกิดปัญหาภัยแล้งในบางพื้นที่ แต่สถานการณ์ยังไม่รุนแรงมากนัก
         ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2553 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
(ปภ.) กระทรวงมหาดไทยรายงานสถานการณ์ภัยแล้งปี 2553 ว่ามีจังหวัดที่ประสบภัยแล้งจำนวน
29 จังหวัด 224 อำเภอ 1,526 ตำบล 11,000 หมู่บ้าน ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 38.0 ของหมู่บ้านใน
จังหวัดที่ประสบภัยแล้ง (28,649 หมู่บ้าน) หรือร้อยละ 14.0 ของหมู่บ้านทั้งประเทศ เมื่อเทียบ
กับช่วงเดียวกันของปี 2552 แล้วหมู่บ้านที่ประสบปัญหาภัยแล้งเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 48.0 คาด
การณ์ว่าพื้นที่เกษตรกรรมจะเสียหายรวม 1.12 แสนไร่ โดยพื้นที่ประสบภัยแล้ง ทั้งที่เพิ่งจะเริ่ม
เข้าสู่ฤดูแล้ง แยกเป็นภาคเหนือ 12 จังหวัด ได้แก่ กำแพงเพชร เชียงราย ตาก น่าน พะเยา แพร่
ลำปาง ลำพูน สุโขทัย อุตรดิตถ์ นครสวรรค์ และพิจิตร ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 5 จังหวัด ได้แก่
ขอนแก่น เลย หนองบัวลำภู อุดรธานี และอุบลราชธานี ภาคกลาง 5 จังหวัด ได้แก่ ประจวบ
คีรีขันธ์ เพชรบุรี ราชบุรี สุพรรณบุรี และกาญจนบุรี ภาคตะวันออก 3 จังหวัด ได้แก่ สระแก้ว
ฉะเชิงเทรา และจันทบุรี ภาคใต้ 4 จังหวัด ได้แก่ ตรัง นครศรีธรรมราช ระนอง และสตูล
         อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่าในปี 2553 ปัญหาภัยแล้งจะขยายวงกว้างครอบคลุมไม่น้อย
กว่า 55 จังหวัด หรืออาจจะครอบคลุมเกือบทุกจังหวัดทั่วประเทศ และปัญหาภัยแล้งจะมีแนวโน้ม
รุนแรงขึ้น เนื่องจากในปีนี้มีเหตุการณ์ที่หนุนความรุนแรงของปัญหาภัยแล้ง คือ น้ำในแม่น้ำโขง
ลดระดับลงเร็วกว่า และมากกว่าทุกปีที่ผ่านมา อันเป็นผลมาจากในปีนี้ประเทศจีนประสบปัญหา
ความแห้งแล้งรุนแรง ทำให้ต้องมีการกักเก็บน้ำไว้ในเขื่อนที่สร้างอยู่ทางต้นแม่น้ำโขง ซึ่งในช่วง
ต้นเดือนมีนาคมนี้ระดับน้ำลดลงมากประมาณร้อยละ 20-30 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
นับว่าในปัจจุบันปริมาณน้ำในแม่น้ำโขงแห้งมากที่สุดในรอบ 30 ปี นอกจากนี้ ปัญหาผลกระทบ
ของปรากฏการณ์เอลนินโญ่ ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบทำให้สภาพอากาศร้อนมากกว่าปกติ และ
เกิดภาวะฝนทิ้งช่วงเป็นระยะเวลานาน ทำให้สถานการณ์ภัยแล้งในภาพรวมของประเทศไทยมี
แนวโน้มรุนแรงที่สุดในรอบ 5 ปี โดยเฉพาะพื้นที่นอกเขตชลประทาน และพื้นที่ที่มีปัญหาภัยแล้ง
ซ้ำซากจะได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก เนื่องจากปริมาณฝนรวมในฤดูร้อนปีนี้จะต่ำกว่าเกณฑ์
ปกติ

บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ประเมินผลกระทบที่จะติดตามมาจากปัญหาภัยแล้งในปี 2553
ดังนี้
ผลกระทบต่อภาคการเกษตร...คาดเสียหายกว่า 6,000 ล้านบาท
ปัจจุบันรัฐบาลประกาศเตือนประชาชนที่อาศัยในพื้นที่นอกเขตชลประทานและพื้นที่แล้งซ้ำซาก
เตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ภัยแล้ง โดยจัดเตรียมภาชนะกักเก็บน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้งใช้น้ำอย่าง
ประหยัดและเกิดประโยชน์สูงสุด ส่วนเกษตรกรโดยเฉพาะพื้นที่เขตลุ่มน้ำเจ้าพระยา 23 จังหวัด
ได้แก่ กำแพงเพชร ตาก นครสวรรค์ พิจิตร พิษณุโลก สุโขทัย อุตรดิตถ์ อุทัยธานี กรุงเทพมหา
นคร ชัยนาท นนทบุรี ลพบุรี สระบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา ฉะเชิงเทรา
นครนายก สมุทรปราการ สุพรรณบุรี สมุทรสาคร และนครปฐม งดเว้นการทำนาปรังครั้งที่ 2 และ
ให้เลือกปลูกพืชอายุสั้นที่ใช้น้ำน้อย เช่น พืชตระกูลถั่ว ข้าวโพด อ้อย มันสำปะหลัง เป็นต้น ซ่อม
แซมร่องน้ำ คูคลองเพื่อลดการรั่วซึมของน้ำ และรวมกลุ่มจัดตั้งผู้ใช้น้ำเพื่อจัดสรรน้ำในพื้นที่เป็น
ไปอย่างทั่วถึง
          บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด คาดว่าในปี 2553 มูลค่าความเสียหายในภาค
เกษตรกรรมอันเป็นผลมาจากปัญหาภัยแล้งจะไม่น้อยกว่า 6,000 ล้านบาท โดยอิงการคำนวณ
ความเสียหายจากปัญหาภัยแล้ง และปรากฎการณ์เอลนินโญ่ที่เคยเกิดขึ้นในปี 2540-2541 และ
ปี 2547-2548 ซึ่งเป็นการแยกคำนวณเป็นรายพืชจากข้อมูลพื้นที่การเกษตรที่เสียหายคูณด้วย
ผลผลิตเฉลี่ยของแต่ละพืช และคูณด้วยราคาเฉลี่ยที่เกษตรกรขายได้ของแต่ละพืช ซึ่งจากการที่
ราคาเฉลี่ยสินค้าเกษตรในปี 2553 อยู่ในเกณฑ์ที่สูงกว่า โดยส่วนใหญ่พืชที่เสียหายคือ
ข้าวนาปรังที่อยู่นอกเขตชลประทาน แม้ว่ารัฐบาลจะรณรงค์ให้ลดพื้นที่ปลูกข้าวนาปรัง แต่คาดว่า
จะไม่ได้ผลมากนัก เนื่องจากเป็นมาตรการในเชิงขอความร่วมมือ และรัฐบาลยังคงมีมาตรการ
ประกันรายได้เกษตรกร ทำให้คาดว่าชาวนายังคงจะปลูกข้าวนาปรัง โดยบางส่วนคงหันไปพึ่งพิง
น้ำบาดาลในการปลูกข้าว ซึ่งจากรายงานการสำรวจการปลูกพืชฤดูแล้งในปีนี้ของกระทรวง
เกษตรฯพบว่า เกษตรกรในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยามีแนวโน้มทำนาปรัง
อย่างต่อเนื่อง และเกินกว่าแผนที่ตั้งไว้ถึงร้อยละ 17 ซึ่งจากการกำหนดพื้นที่เป้าหมายเพาะปลูก
พืชหน้าแล้งทั่วประเทศไว้จำนวน 12.28 ล้านไร่ โดยแยกเป็นข้าวนาปรัง 9.50 ล้านไร่ พืชไร่-พืช
ผัก 2.78 ล้านไร่ แต่จากการสำรวจพบว่าการเพาะปลูกพืชหน้าแล้งในปัจจุบันมีการเพาะปลูกไป
แล้ว 15.16 ล้านไร่ เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ถึงร้อยละ 23.5 ทั้งนี้เนื่องจากราคาสินค้าเกษตรที่อยู่ใน
เกณฑ์สูงจูงใจให้เกษตรกรเสี่ยงที่จะขยายพื้นที่ปลูกพืชฤดูแล้ง
          ประเด็นที่จะต้องระวังคือ ปัญหาการพิพาทกันในเรื่องการแย่งน้ำ ทั้งระหว่างเกษตรกรด้วย
กันเอง และปัญหาการขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคในบางพื้นที่ รวมทั้งปัญหาในเรื่องที่ชาวนาบาง
ส่วนต้องซื้อน้ำหรือสูบน้ำจากแหล่งน้ำสาธารณะเพื่อไม่ให้ข้าวที่ปลูกไปแล้วเสียหาย ส่งผลให้ต้นทุน
การผลิตข้าวนาปรังมีแนวโน้มสูงขึ้น นอกจากนี้ สินค้าเกษตรที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจาก
ปัญหาภัยแล้งที่รุนแรงขึ้น คือ ปศุสัตว์ และประมง กล่าวคือ โดยปกติในช่วงฤดูแล้งปริมาณความ
เสียหายต่อธุรกิจปศุสัตว์ประมาณร้อยละ 10.0 อันเป็นผลมาจากปศุสัตว์เจริญเติบโตช้า ส่งผลให้
ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น และบางส่วนก็ตายจากปัญหาอากาศร้อน ส่วนธุรกิจประมงที่ได้รับความเสีย
หายจากปัญหาภัยแล้งมากที่สุด คือ ผู้เลี้ยงปลาในกระชังตามแม่น้ำและแหล่งน้ำธรรมชาติ เนื่อง
จากปริมาณน้ำในแหล่งน้ำธรรมชาติลดลง และอากาศร้อนส่งผลทำให้ปลาเติบโตช้า ซึ่งศูนย์วิจัย
กสิกรไทย คาดว่าจะส่งผลต่อเนื่องทำให้ราคาสินค้าเกษตรเหล่านี้ในระยะต่อไปมีแนวโน้มปรับตัว
เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะพืชผัก ผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์ และปลาน้ำจืด นับเป็นภาระค่าใช้จ่ายของผู้บริโภค
              สำหรับกรณีพืชไร่ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีความเห็นว่าการพิจารณาถึงผลกระทบจาก
ปัญหาภัยแล้งนั้นต้องพิจารณาปัจจัยแวดล้อมด้านอื่นๆประกอบด้วย โดยเฉพาะพืชไร่ที่พึ่งพิงตลาด
ส่งออก ต้องพิจารณาถึงความเสียหายของประเทศคู่แข่ง และความต้องการของประเทศคู่ค้า
เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใด รวมถึงโอกาสที่จะนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้านมาชดเชยผลผลิตที่
เสียหายจากปัญหาภัยแล้ง และปริมาณสต็อกของรัฐบาล กรณีตัวอย่างคือ ข้าว ความเสียหายของ
ข้าวนาปรังของไทยอาจไม่มีผลกระทบที่จะเปลี่ยนแปลงทิศทางของราคาข้าวในตลาดโลก ถ้า
ประเทศคู่แข่งของไทย โดยเฉพาะเวียดนามไม่เสียหายมากนัก และประเทศผู้ซื้อข้าวไม่ได้เร่งซื้อ
ข้าวเพื่อเก็บเข้าสต็อก รวมทั้งปริมาณสต็อกข้าวของรัฐบาลที่อยู่ในเกณฑ์สูง ซึ่งสามารถระบาย
สต็อกชดเชยปริมาณข้าวที่ลดลงได้ ก็ยังเป็นปัจจัยกดดันให้ราคาข้าวไม่เพิ่มขึ้นมากนัก ข้าวโพด
เลี้ยงสัตว์และถั่วเหลือง ผลกระทบจากปัญหาภัยแล้งที่ส่งผลให้ปริมาณการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
และถั่วเหลืองมีแนวโน้มลดลง ซึ่งราคาน่าจะมีแนวโน้มสูงขึ้น แต่ปัจจัยที่จะกดราคาไม่ให้พุ่งมาก
นัก คือ การส่งเสริมการปลูกในประเทศเพื่อนบ้านในลักษณะตลาดข้อตกลง และข้อผูกพันของเขต
การค้าเสรีอาเซียนที่ไทยลดภาษีนำเข้าเหลือร้อยละ 0 ทำให้ไทยยังมีแหล่งสำรองของผลผลิตข้าว
โพดเลี้ยงสัตว์และถั่วเหลือง ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ราคาผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังอยู่ในเกณฑ์สูง
อันเป็นผลมาจากผลผลิตลดลงอย่างมากจากปัญหาการระบาดของเพลี้ยแป้ง ซึ่งความเสียหายจาก
ภัยแล้งจะซ้ำเติมให้ปริมาณผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังลดลงไปอีก แต่ไทยก็ยังสามารถนำเข้า
ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังจากพม่าและกัมพูชาเข้ามาชดเชยได้ ซึ่งในปี 2552 การนำเข้าจากทั้ง
สองแหล่งนี้มีอัตราการขยายตัวในเกณฑ์สูง แม้ว่าปริมาณการนำเข้ายังมีปริมาณที่ไม่มากนัก
ยาง ความเสียหายจากภัยแล้งน่าจะส่งผลกระทบทำให้ปริมาณการผลิตยางลดลงไปบ้าง โดย
เฉพาะปริมาณการผลิตในภาคใต้ แต่ก็คาดว่าไม่น่าจะส่งผลให้ราคายางพุ่งขึ้นไปมากนัก ส่วนหนึ่ง
เนื่องจากคาดว่าปริมาณการผลิตยางในภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีแนวโน้ม
เพิ่มขึ้น รวมทั้งความต้องการยางจากจีนก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากกว่าปกติ โดยผู้นำเข้าเริ่มชะลอเพื่อ
รอช่วงกลางปีที่ผลผลิตยางจะเริ่มทยอยออกสู่ตลาดมากขึ้น ปาล์มน้ำมัน ผลผลิตอาจลดลงบ้างจาก
ปัญหาภัยแล้ง โดยเฉพาะผลผลิตทางภาคใต้ แต่ก็ไม่น่าจะส่งผลให้ราคาพุ่งมากนัก เนื่องจากคาด
ว่าผลผลิตจากภาคตะวันออกสามารถชดเชยได้บางส่วน รวมทั้งผลจากเขตการค้าเสรีอาฟตา ทำ
ให้ไทยสามารถพิจารณานำเข้าน้ำมันปาล์มจากทั้งมาเลเซียและอินโดนีเซียเข้ามาชดเชยได้ ใน
กรณีที่เกิดปัญหาขาดแคลนที่ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคในประเทศ
            ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าปัญหาภัยแล้งที่เกิดขึ้นในปี 2553 ถ้าพิจารณาในภาพรวม
แล้วจะไม่กระทบมากนัก โดยประเมินว่าจะทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจลดลงประมาณ
ร้อยละ 0.06 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ แต่ถ้าพิจารณาผลกระทบของปัญหาภัยแล้งใน
แต่ละพื้นที่ หรือผลผลิตแต่ละชนิดแล้ว ผลกระทบที่เกิดขึ้นอาจจะมากหรือน้อยแตกต่างกัน เนื่อง
จากมีภาวะตลาดและสถานการณ์ด้านราคาที่อาจแตกต่างกันไป ส่งผลให้ความเดือดร้อนจาก
ปัญหาภัยแล้งของเกษตรกรแต่ละรายไม่เท่ากัน ซึ่งหน่วยงานรัฐบาลต้องเข้าไปช่วยเหลืออย่างเร่ง
ด่วน

ผลกระทบต่อภาคธุรกิจท่องเที่ยว...ปัญหาหมอกควันจากไฟป่า
             ปัญหาหมอกควันอันเกิดจากไฟป่าในช่วงฤดูแล้ง เป็นเรื่องที่ภาคการท่องเที่ยวของ
จังหวัดภาคเหนือตอนบนมีความกังวลสูงสุดในช่วงฤดูแล้ง เพราะปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นต่อเนื่อง
ทุกปี และปัญหามีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้นในปีที่มีปัญหาภัยแล้งรุนแรง อย่างเช่นในปี 2550 โดย
ธุรกิจท่องเที่ยวได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศต่างยกเลิก
ห้องพัก แพ็กเกจทัวร์ ที่จะเดินทางมา เพราะไม่มั่นใจเรื่องมลพิษที่เกิดขึ้นจากหมอกควัน
             จากสภาพอากาศจะแห้งแล้งกว่าปีที่ผ่านมาคาดว่าในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน 2553
ปัญหาหมอกควันจะถือเป็นอุปสรรคที่สำคัญอย่างมากของการท่องเที่ยว ปัจจุบันภาครัฐดำเนินการ
รณรงค์ป้องกันปัญหาหมอกควัน แต่ยังเป็นช่วงต้นฤดูการเผาตอซังหลังฤดูการเก็บเกี่ยวเพื่อ
เตรียมพื้นที่ปลูกพืชในฤดูต่อไปจึงยังไม่สามารถระบุอย่างแน่ชัดได้ว่าสถานการณ์จะรุนแรงหรือ
ไม่ แต่จากผลการดำเนินงานในปี 2551-2552 การออกมาตรการรณรงค์ที่จริงจังไม่ให้เผาตอ
ซัง โดยให้ใช้วิธีไถกลบวัชพืชแทนการเผาก็ทำให้ปัญหามลภาวะด้านหมอกควันในปีที่ผ่านๆ มา
ลดลงไปบ้าง อย่างไรก็ตาม ปัญหาหมอกควันจากไฟป่าและการเผาขยะของชุมชนในประเทศ
และหมอกควันจากไฟป่าจากประเทศเพื่อนบ้านยังนับว่าเป็นปัญหาที่ควบคุมได้ยาก โดยเฉพาะใน
ช่วงที่เกิดปัญหาความแห้งแล้งรุนแรง
             ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าถ้าปัญหาหมอกควันที่ปกคลุมในเขตภาคเหนือตอนบนยัง
สร้างปัญหาไปอย่างต่อเนื่องจนถึงช่วงเทศกาลสงกรานต์ และกระจายขยายวงกว้างไปจังหวัด
ต่างๆมากขึ้นเช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นในปี 2550 จะสร้างความเสียหายต่อธุรกิจการท่องเที่ยว
ของภาคเหนือตอนบนอย่างมาก โดยประเมินจากจำนวนนักท่องเที่ยวและค่าใช้จ่ายของนักท่อง
เที่ยวในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน เฉพาะในจังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของภาคเหนือ
ตอนบน คือ เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน และเชียงราย โดยคาดว่าปัญหาหมอกควันและฝุ่นละอองจะทำ
ให้จำนวนนักท่องเที่ยวในปี 2553 ในพื้นที่ 3 จังหวัดนี้ลดลงประมาณกว่าร้อยละ 25.0 เมื่อเทียบ
กับที่คาดการณ์ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวใน 3 จังหวัดนี้ในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน 2553 จะเท่า
กับ 1.0 ล้านคน ซึ่งส่งผลให้ทั้งสามจังหวัดนี้มีโอกาสจะสูญเม็ดเงินสะพัดจากการใช้จ่ายของนัก
ท่องเที่ยวไปสู่ธุรกิจบริการต่างๆประมาณ 2,000 ล้านบาท หรือลดลงประมาณร้อยละ 20.0 นับว่า
เป็นอีกหนึ่งปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวของทั้ง 3 จังหวัด นอกเหนือจากบรรยากาศ
ทางการเมืองที่ไม่เอื้ออำนวย ทำให้สถานการณ์การท่องเที่ยวในพื้นที่ 3 จังหวัดดังกล่าวในช่วง
ครึ่งแรกของปี 2553 ไม่สามารถฟื้นตัวได้รวดเร็วเท่าที่ควร
              ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่าภาวะภัยแล้งในปี 2553 นี้จะส่งผลกระทบรุนแรงที่สุดใน
รอบ 5 ปี โดยคาดว่ามูลค่าความเสียหายของภาคเกษตรกรรมไม่น้อยกว่า  6,000 ล้านบาท แม้ว่า
เมื่อพิจารณาในภาพรวม แล้วนับว่าไม่ส่งผลกระทบมากนัก แต่ถ้าพิจารณาผลกระทบในแต่ละ
พื้นที่ และเกษตรกรแต่ละราย รวมทั้งสินค้าเกษตรแต่ละชนิดแล้วผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้นจะพบว่า
ผลกระทบอาจจะมากน้อยแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสถานการณ์ด้านการตลาดและราคาของสินค้า
เกษตรแต่ละชนิด ในขณะที่ภาคธุรกิจท่องเที่ยว โดยเฉพาะภาคเหนือตอนบนได้รับผลกระทบจาก
ปัญหาหมอกควันจากไฟป่าที่มีแนวโน้มรุนแรงในปีนี้ อันเป็นผลมาจากภาวะภัยแล้ง โดยประเมิน
ว่ามีโอกาสที่จะสูญเสียเม็ดเงินสะพัดในธุรกิจการท่องเที่ยวในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายนนี้
ประมาณ 2,000 ล้านบาท หรือลดลงประมาณร้อยละ 20.0 จากที่เคยมีการคาดการณ์ว่าในปีนี้
ธุรกิจท่องเที่ยวในภาคเหนือจะฟื้นตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา





ที่มา ศูนย์วิจัยกสิกรไทย     วันที่   05/03/10   เวลา   12:45:29

ภัยแล้งปี 2553 : รุนแรงที่สุดในรอบ 5 ปี

โพสต์แล้ว: ศุกร์ มี.ค. 05, 2010 1:06 pm
โดย newbie_12
โดนทุกเด้ง สำหรับเกษตรกรไทย แต่ก็ยังมีคนในห้องแอร์ ส่งเสริมให้เป็นเกษตรกรกัน

ปล. ลูกหลานเกษตรกรรากหญ้าตัวจริงครับ

ภัยแล้งปี 2553 : รุนแรงที่สุดในรอบ 5 ปี

โพสต์แล้ว: ศุกร์ มี.ค. 05, 2010 2:43 pm
โดย picklife
:D โอเช ซื้อน้ำประปาดีกว่ากำลังเล็งๆตั้งนาน อิอิ

ภัยแล้งปี 2553 : รุนแรงที่สุดในรอบ 5 ปี

โพสต์แล้ว: ศุกร์ มี.ค. 05, 2010 3:44 pm
โดย kurapica
ขายหุ้นไปซื้อที่ปลูกอ้อยดีกว่า ใช้น้ำน้อย แถมช่วงนี้ราคาดีมากสุดๆ

ภัยแล้งปี 2553 : รุนแรงที่สุดในรอบ 5 ปี

โพสต์แล้ว: ศุกร์ มี.ค. 05, 2010 3:53 pm
โดย picklife
kurapica เขียน:ขายหุ้นไปซื้อที่ปลูกอ้อยดีกว่า ใช้น้ำน้อย แถมช่วงนี้ราคาดีมากสุดๆ
:D พอปลูกเสร็จพร้อมตัดราคาไม่ดีซะงั้น อิอิ