Thai VI

สวัสดีครับ
ผมงงอยู่เรื่องหนึ่งครับ คือทำไมพวกหุ้น VI เนี่ย สภาพคล่องน้อยจังครับ ผลกำไรก็ดี เงินปันผลก็ดี หนี้สินน้อย งบก็ยังออกมาดี แต่ทำไมไม่ค่อยมีใครซื้อขายเลยครับ เช่น Aprint หรือ tog อ่ะครับ
ขอบคุณมากครับ

ส่วนใหญ่ลงทุนแบบ VI จะซื้อแล้วถือ ไม่ซื้อๆ ขายๆ บ่อย ส่วนหุ้นที่ซื้อไปแล้วมันจะมีโวลุ่มมากหรือน้อยก็อยู่ที่ความนิยมของตลาด หุ้นคุณค่าไม่จำเป็นต้องมีโวลุ่มมากหรือน้อย แต่ละคนก็มองต่างกัน หุ้นคุณค่าของคนหนึ่งอาจไม่เป็นหุ้นคุณค่าของอีกคนก็ได้

ืn-park นี่ถือว่าโวลลุ่มสูงไหมครับ 555

เพราะ

1. ราคาหุ้นลักษณะนี้มักมีราคาต่ำกว่าพื้นฐานมากพอสมควร  ทำให้ผู้ถือหุ้นอยู่มักจะไม่ขายหุ้นออกมา

2. นักเล่นหุ้นในไทยส่วนใหญ่จะเป็นนักเก็งกำไร  ถึงราคาหุ้นจะถูกเพียงใด  แต่ถ้าคิดว่าไม่มีข่าวดีมากระตุ้นให้ราคาหุ้นขึ้นในระยะเวลาสั้นๆแล้ว  พวกเขาก็มักจะไม่สนใจซื้อ  รวมทั้งนักเก็งกำไรถูกสอนให้อยู่ห่างๆหุ้นที่มีสภาพคล่องน้อย

ปีเตอร์ ลินช์ชอบ "หุ้นที่น่าเบื่อ"
ผลตอบแทนของกองทุนที่ลินช์บริหารก็อย่างที่เรารู้ๆกัน
คือติดระดับโลก  หาคนเทียบได้ยาก
เอ๊ะ.......แค่เลือกหุ้นที่น่าเบื่อ  ก็สามารถสร้างผลตอบแทนได้ระดับนี้เลยหรือ
มีอะไรที่เป็นเคล็ดลับหรือขุมทองซ่อนอยู่ในหุ้นที่น่าเบื่อหรืออย่างไร

ผมจะลองเดินตามรอยเซียนดูนะครับ
และค้นหาว่า factor อะไรสามารถดลบันดาลให้ได้ผลอย่างนั้นอย่างต่อเนื่องและยาวนาน

1. ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจของผู้เล่นหุ้นผมแยกไว้เป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ  คือ เรื่องความรู้และเรื่องอารมณ์ สองเรื่องนี้สำหรับคนกลุ่มน้อยความรู้สำคัญกว่า  แต่สำหรับกลุ่มใหญ่เรื่องอารมณ์กลับสำคัญกว่ามาก  เราจึงเห็นปรากฏการณ์ของ  mr.market บ่อยๆและกลายเป็นตัวแทนของคนเล่นหุ้นมากกว่า  

2. หุ้นที่วีไอชอบคือหุ้น  undervalue  ถูกต้องไหมครับ
หุ้นจะ under ได้ มักจะถูกคนมองข้าม  
เพราะหุ้นอะไรก็ตามที่ถูกคนจำนวนมากจ้องอยู่  หรือแม้ไม่ใช่เรื่องหุ้น
มักจะโดนมือที่มองไม่เห็นปรับราคาให้อยู่แถวๆ  fair value
มีโอกาสน้อยที่จะถูกเหวี่ยงไปอยู่ในโซนอันเดอร์หรือโอเวอร์

ตัวอย่างส่วนน้อยก็มีให้ดูเป็นระยะๆนะครับ  เช่น
หุ้น cpf เมื่อต้นปีที่แล้วราคาแค่สามบาทกว่าๆตอนนี้ราคาขึ้นมา 300%เป็นไปได้อย่างไรที่ราคาหุ้นที่ซื้อขายกันมากมายจะ under ขนาดนั้น

หุ้นบ้านปู ก็ไม่ใช่เล่น ขึ้นมาสองเด้ง
ทั้งที่หุ้นพวกนี้โดนจ้องแทบตาไม่กระพริบ

แต่เมื่อมองในแง่สัดส่วนแล้วก็ถือว่าน้อยกว่าหุ้นที่คนลืมซึ่งสามารถขึ้นมากกว่าสองเด้งในสัดส่วนที่สูงกว่า

3. ลินช์ชอบหุ้นน่าเบื่อก็เพราะมันมีโอกาส under มากกว่าเป็นเบื้องหลังนี่เอง

4. แต่ในมุมมองผม  ความน่าเบื่ออย่างเดียวไม่พอถ้าเราคิดจะนำไปใช้เป็นวิธีเลือกหุ้น  

ถ้ามันน่าเบื่อตอนเราซื้อเราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเมื่อเราอยากขาย  มันจะเลิกน่าเบื่อ  ถ้ามันน่าเบื่อเสมอต้นเสมอปลายเราไม่แย่หรือ  :lol:

5. ผมเสนอว่าเราปรับนิดหน่อย  เพราะความน่าเบื่อเป็น subjective  เราวัดมันได้ยาก กำหนดค่าก็ยาก และเราว่าน่าเบื่อคนอื่นอาจจะว่าน่ารักก็ได้

ตัวที่ดีกว่าน่าจะเป็นอะไรที่ objective มากกว่าเพราะมันวัดได้ง่ายกว่า  อย่างเช่น  ปริมาณการซื้อขายเมื่อเทียบกับปริมาณในอดีตของหุ้นตัวเดียวกันย้อนหลังไปสัก 1-2 ปี  อย่างนี้เราวัดได้ง่าย

6. หุ้นที่มีการซื้อขายลดลงมากๆเมื่อเทียบกับอดีต  เป็นตัวบอกได้อย่างดีว่า  ตัวนี้คนส่วนใหญ่เริ่มเบื่อมัน  ต่อให้ชื่อจะดูน่ารัก  หรือ ceo จะออกทีวีออกข่าวบ่อยก็ตาม  
ถ้าโวลุ่มลดลงมากเมื่อเทียบกับอดีต แสดงว่าเข้าหลักเกณ์ของเราแล้ว

7. ทั้งเจ้า cpf banpu ที่ว่ามีคนจ้องขนาดนั้น แล้วมันอันเดอร์ขนาดนั้นได้อย่างไร ถ้าดูเรื่องปริมาณการซื้อขาย ก็พบว่าโวลุ่มมันน้อยกว่าช่วงคึกคักจริงๆ  และราคาก่อนหน้านั้นมันก็ลงมากจริงๆใครๆก็เทขายมัน รังเกียจมัน  และก็เบื่อมัน

       ลองเก็บข้อมูลดูนะครับ  ถ้าเราซื้อหุ้นในช่วงที่โวลุ่มน้อยๆเทียบกับช่วงคึกคักสุดๆ  แบบไหนจะให้ผลตอบแทนดีกว่ากัน

อาจจะไขไปสูปริศนาของปรมาจารย์  ปีเตอร์ ลินช์ ก็ได้นะครับ

[quote="สามัญชน"]ปีเตอร์ ลินช์ชอบ "หุ้นที่น่าเบื่อ"
ผลตอบแทนของกองทุนที่ลินช์บริหารก็อย่างที่เรารู้ๆกัน
คือติดระดับโลก

แต่สภาพคล่องน้อยๆอย่างเดียวก็ไม่ถูก ควรดูที่พื้นฐานด้วย
บางตัวผู้บริหารไม่มีธรรมาภิบาลอย่างนี้ก็แย่  อย่างนี้มีสิทธิน่าเบื่อตลอดกาล

สภาพคล่องไม่ควรน้อยเกินไปและควรจะอยู่ในระดับที่พองาม
ถ้าน้อยจริงๆต่อให้น่าซื้อแค่ไหนผมก็ไม่ค่อยอยากซื้อนะครับ  เพราะขายยาก  จะขายทีต้องขายที่ฟลอร์แบบนี้ก็ไม่ไหว  ราคาหุ้นที่ขึ้นมาก็ไม่มีประโยชน์เลย

สภาพคล่องที่พองามผมว่าวันหนึ่งซื้อขายสักล้านบาทก็พอใช้ได้

แต่เพื่อนผมบางคน  ชอบหุ้นที่ซื้อขายเยอะๆ วันหนึ่งเป็นร้อยๆล้านได้ยิ่งดี
ผมว่ามันไม่ค่อยมีประโยชน์กับตัวเพื่อนผมนัก  
ถ้าพอร์ทมันใหญ่มากๆระดับร้อยล้านพันล้านก็ว่าไปอย่าง

แต่พอร์ทมันเล็กๆเองไม่ถึงล้านด้วยซ้ำ
เหมือนมีรถอเตอร์ไซค์เล็กๆวิ่งในซอยได้ออกถนนสองเลนพอได้
ซึ่งดีเสียอีกเพราะคล่องตัวพอควร

แต่ถ้าจงใจจะเอาไปวิ่งที่รันเวย์สนามบินอย่างเดียว  หรือต้องถนนยี่สิบเลนเท่านั้น
ผมว่าจะกลายเป็นข้อดีที่ไม่มีประโยชน์  :lol:

saifa_c เขียน:สวัสดีครับ
ผมงงอยู่เรื่องหนึ่งครับ คือทำไมพวกหุ้น VI เนี่ย สภาพคล่องน้อยจังครับ ผลกำไรก็ดี เงินปันผลก็ดี หนี้สินน้อย งบก็ยังออกมาดี แต่ทำไมไม่ค่อยมีใครซื้อขายเลยครับ เช่น Aprint หรือ tog อ่ะครับ
ขอบคุณมากครับ

APRINT กับ TOG ดีกว่าตัวอื่นๆ ยังไงครับ

OISHI ซื้อใช้เวลาเป็นเดือน

ขายก็ใช้เวลาเป็นเดือนเหมือนกัน

ถ้ามันถูก และเรามั่นใจ

ไม่ต้องสนใจหรอก ว่าสภาพคล่องมันเป็นไง

ยังไงก็กำไร

เห็นประโยชน์ของข่าวเชียร์หุ้น
ก็ตอนที่กำลังเก็บหุ้นที่สภาพคล่องค่อนข้างน้อยนี่แหละ
จากนั้นวอลุ่มก็เริ่มมา เก็บได้เต็มไม้เต็มมือหน่อย
ไม่ต้องแวะเล็งดู Offer บ่อยๆ
ยังไงซะ อย่างน้อยๆ ขอให้รู้ตัวว่ากำลังทำอะไร ไม่ขาดทุน

"ทุกสิ่งมีเวลาของมัน
เมื่อเวลายังไม่ถึง คนเราต้องอดทน
และพากเพียร เพื่อรอเวลา"

วาทะของ...
บุณยสิทธิ์  โชควัฒนา
ประธานเครือสหพัฒน์


-------------------------------------------
ผมหล่ะชอบจริงๆ หุ้นไม่มีสภาพคล่อง
เพราะมันทำให้ผมรู้จักคำว่า "รอคอย" อ่ะนะขอรับ (^_^)

สามัญชน เขียน:หุ้นจะ under ได้ มักจะถูกคนมองข้าม

ชอบมากเลยครับ  :P

PTT เป็นหุ้น VI มั้ยครับ สภาพคล่องดีมาก

มีหุ้นอยู่เยอะสิครับเลยบอกว่าสภาพคล่องน้อย
ดูอย่างผมสิคล่องมากจะซื้อจะขายตอนไหนก็ได้
แต่ผมเชื่อว่าจะคล่องน้อยคล่องมากเมื่อถึงช่วงเวลา
ของหุ้นแต่ละตัวสภาพคล่องมันจะมาเองล่ะครับ
ตามผลกำไรกิจการที่เพิ่มขึ้นคนซื้ออยากซื้อคนขาย
ก็พอใจในผลตอบแทนที่ได้สุดท้ายมันจะมาบรรจบกันเอง
แต่สภาพคล่องน้อยนี่กำไรหดหรือเปล่าครับ อิอิๆๆๆ

ตอนที่เก็บหุ้น หลายตัวของผม ตอนเล็งก็ซื้อได้น้อยมาก บางทีนานเอาเรื่องเหมือนกัน

แล้วก็ถือรอ ผ่านไป บางที นานบ้างไม่นานบ้าง บางทีก็ งง เลย เร็วมากจนตกใจ
โวลุ่ม มาจากไหนก็ไม่รู้ พร้องราคาปรับตัวขึ้นแบบ มันส์ เลย
ผมก็ทยอยขาย หรือ เทขายทีเดียวเลย ถ้าคิดจะไม่เก็บไว้แล้ว
ก็สรุปเห็นด้วยกับหลายคนว่า บางที ตัวที่ under value บางที ก็มีแต่คนเมินในช่วงแรก ผมว่าเป็น โอกาสของเรา มากกว่าครับ...

ผมขอเตือนก่อนนะครับว่า ไม่ใช่หุ้นที่มีสภาพคล่องน้อยทุกตัวจะน่าลงทุน  เดี๋ยวมีเพื่อนๆบางคนจะเข้าใจผิด  เหมือนกับที่คนทั่วไปคิดว่า VI ต้องลงทุนระยะยาว  ซื้อหุ้นแล้วจะไม่ขายหุ้นเลย

เพียงแต่หุ้นที่มีสภาพคล่องน้อยมีโอกาสที่จะมีราคาต่ำกว่ามูลค่าของกิจการ  แต่ไม่ใช่ทุกบริษัทนะครับ

[quote="chatchai"]เพียงแต่หุ้นที่มีสภาพคล่องน้อยมีโอกาสที่จะมีราคาต่ำกว่ามูลค่าของกิจการ

[quote="chatchai"]ผมขอเตือนก่อนนะครับว่า ไม่ใช่หุ้นที่มีสภาพคล่องน้อยทุกตัวจะน่าลงทุน

ว่าแต่ วีไอ มีคน ซื้อ margin

ในหุ้นสภาพคล่องน้อยไหมครับ

crazyrisk เขียน:ว่าแต่ วีไอ มีคน ซื้อ margin

ในหุ้นสภาพคล่องน้อยไหมครับ

เชื่อว่ามีครับ....หาเราประเมินว่าสิ้นปีราคาหุ้นตัวนั้นไปมากกว่าค่าดอก ยังไงก็น่าสนครับ

ข้อดีอย่างหนึ่งของหุ้นสภาพคล่องน้อยคือราคาไม่ไปตามตลาด ดังนั้นเมื่อถูกpanicก็จะมีโอกาสน้อยในการถูกforce sell ครับ

crazyrisk เขียน:ว่าแต่ วีไอ มีคน ซื้อ margin

ในหุ้นสภาพคล่องน้อยไหมครับ

ความจริงคือ เป็นไปได้ยากครับ

เพราะโบรกไม่ปล่อยมาร์จิ้น

picklife เขียน:ข้อดีอย่างหนึ่งของหุ้นสภาพคล่องน้อยคือราคาไม่ไปตามตลาด ดังนั้นเมื่อถูกpanicก็จะมีโอกาสน้อยในการถูกforce sell ครับ

อันนี้อ่านปุ๊บก็รู้เลยว่า จริงๆ แล้วผู้โพสต์ไม่เคยเล่นมาร์จิ้น

โบรกไหนใช้แนวคิดแบบนี้ ช่วยบอกผมที

picklife เขียน:ข้อดีอย่างหนึ่งของหุ้นสภาพคล่องน้อยคือราคาไม่ไปตามตลาด ดังนั้นเมื่อถูกpanicก็จะมีโอกาสน้อยในการถูกforce sell ครับ

ถึงตัวที่กู้ไม่ลงตามตลาด แต่ถ้าหุ้นตัวที่เป็นหลักประกันลงเยอะ ก็โดน force นะครับ

แบบนี้ถ้าหุ้นไหนที่ไม่ว่ากี่ปีๆ ก็ under ตลอดเลยนี่เรียกว่าหุ้น Libero จะได้ไหมครับ... แบบว่าไม่มีขึ้นหน้าเน็ทเรยง่ะ...  :drink:

Financial Engineer เขียน: อันนี้อ่านปุ๊บก็รู้เลยว่า จริงๆ แล้วผู้โพสต์ไม่เคยเล่นมาร์จิ้น

โบรกไหนใช้แนวคิดแบบนี้ ช่วยบอกผมที

เคยเล่นมาร์จิ้นครับ 200%เรื่องปกติครับ T^T....
แต่โดยมากหุ้นที่มีจะมีสภาพคล่องพอสมควรอยู่แล้วครับ
โดยมากจริงครับหุ้นที่ไม่มีสภาพคล่องเลยเขาคงไม่ให้เล่นครับ
แต่ถ้าพอมีบ้างแต่มีน้อยผมเชื่อว่ามีครับ....
ปล.แต่ผมก็ยังไม่เจอนะครับเพราะไม่มีเวลาไปนั่งเชคทุกตัว จะเล่นแค่ตัวที่สนใจนะครับ อิอิ

pongo เขียน: ถึงตัวที่กู้ไม่ลงตามตลาด แต่ถ้าหุ้นตัวที่เป็นหลักประกันลงเยอะ ก็โดน force นะครับ

อันนี้ของชัวร์ครับ อิอิ คงต้องเปลี่ยนจากโอกาสน้อยมาเป้นมีส่วนช่วย แต่ช่วยมากช่วยน้อยน่าจะขึ้นอยู่กับสัดส่วนที่ถือครับ