สูงสุดคืนสู่สามัญ : วิบูลย์ พึงประเสริฐ
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 12:48 am
Value Way ฉบับวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2553 โดยวิบูลย์ พึงประเสริฐ
สูงสุดคืนสู่สามัญ
ตลาดหุ้นที่ร้อนแรงทั่วโลกตั้งแต่ในช่วงท้ายของปีที่แล้วอาจต้องถึงจุดกลับตัวกันในเวลานี้ ในช่วงไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมา นักลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกต่างมองเห็นการถดถอยของราคาหุ้นและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ขณะที่ราคาพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐกลับปรับตัวสูงขึ้น แสดงให้เห็นถึงภาวะการเคลื่อนย้ายเงินทุนออกจากตลาดทุนสู่ตลาดพันธบัตร
สาเหตุหลักของการลดลงของตลาดหุ้นเนื่องมากความกังวลของนักลงทุนที่เห็นรัฐบาลจีนออกมาตรการในการสกัดกั้นความร้อนแรงของเศรษฐกิจโดยเฉพาะการควบคุมการปล่อยกู้ของธนาคารขนาดใหญ่ในประเทศจีน ซึ่งที่ผ่านมาเงินร้อนเหล่านี้ช่วยให้เศรษฐกิจของจีนไม่ต้องประสบกับภาวะถดถอยรวมทั้งทำให้นักลงทุนทั่วโลกมีความมั่นใจในเศรษฐกิจของประเทศอื่นๆในโลกตามไปด้วยและเพิ่มความมั่นใจว่าเศรษฐกิจโลกจะหลุดพ้นจากภาวะถดถอยได้อย่างแน่นอน แต่อย่างไรก็ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกจากภาวะตกต่ำครั้งใหญ่เช่นนี้คงไม่สามารถเกิดขึ้นได้อย่างง่ายๆ สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เงินลงทุนไหลออกจากจีนเริ่มมีมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
ในส่วนของอเมริกา นโยบายของประธานาธิบดีโอบามาในการออกมาตรการควบคุมธนาคารและสถาบันการเงินต่างๆรวมทั้งความไม่มั่นใจว่าผู้ว่าธนาคารกลางคนปัจจุบันอย่างเบน เบอนันเก้จะได้รับการต่ออายุการทำงานอีกสมัยหรือไม่เป็นส่วนที่ทำให้นักลงทุนเริ่มขายหุ้นและสินค้าโภคภัณท์ออกจากพอร์ตเพื่อลดความเสี่ยง
นอกเหนือจากนั้นในภาคยุโรปยังคงมีปัญหาเรื่องของหนี้สาธารณะของรัฐบาลโดยเฉพาะประเทศกรีซ ทำให้กดดันค่าเงินยูโรให้อ่อนลงกว่า 3 เปอร์เซ็นต์ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ถึงแม้รัฐบาลกรีซสามารถหาเงินกว่า 8 พันล้านยูโรในตลาดเงินได้สำเร็จ แต่นักลงทุนยังคงกังวลกับสภาพเศรษฐกิจของยุโรปอยู่ดี
รวมทั้งธนาคารกลางสหรัฐยังออกประกาศให้นักลงทุนรับทราบถึงปัญหาสภาพคล่องที่ล้นเกินและความจำเป็นต้องลดระดับความสภาพคล่องในระบบ ยิ่งทำให้นักลงทุนกลัวว่าการหยุดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเร็วเกินไปอาจทำให้เศรษฐกิจตกในภาวะถดถอยอีกครั้ง จากสาเหตุหลักๆดังกล่าวทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกลดลงอย่างถ้วนหน้า ตลาดหุ้นไทยลดลงต่ำกว่าระดับ 700 จุดครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา ตลาดหุ้นฮ่องกงลดลงกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ในช่วงเวลาหนึ่งอาทิตย์ถือเป็นการปรับตัวของตลาดหุ้นที่สูงมากในรอบหลายปี เช่นเดียวกับตลาดหุ้นญี่ปุ่นที่ลดลงกว่า 6 เปอร์เซนต์เนื่องมากจากการถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือของสถาบันจัดอันดับเอสแอนด์พี
ตลาดหุ้นยุโรปอย่างลอนดอนลดลง 4 เปอร์เซนต์เช่นเดียวกับตลาดหุ้นประเทศเกิดใหม่อย่างบราซิลที่ลดลง 7 เปอร์เซ็นต์ ส่วนดัชนีตลาดหุ้นเอสแอนด์พี (S&P 500) ในสหรัฐลดลง 4 เปอร์เซ็นต์หลังจากขึ้นมาถึง 70 เปอร์เซ็นต์นับจากจุดต่ำสุดเมื่อเดือนมีนาคมปีที่ผ่านมา นักวิเคราะห์คาดว่าดัชนีเอสแอนด์พีน่าจะปรับตัวในรอบนี้มากกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ คาดการณ์ว่าปีนี้น่าจะเป็นปีที่ผันผวนอีกปีหนึ่งของตลาดหุ้นทั่วโลก นักเศรษฐศาสตร์มองว่านโยบายของรัฐบาลและธนาคารกลางของประเทศต่างๆช่วยให้เศรษฐกิจของโลกฟื้นตัวจากภาวะวิกฤติได้ ในขณะเดียวกันข้อผิดพลาดของนโยบายเดียวกันนี้เองที่เป็นความเสี่ยงอย่างมากต่อมุมมองของนักลงทุนในปีนี้
สำหรับนักลงทุนแบบเน้นคุณค่าคงไม่ต้องให้ความสนใจในเศรษฐกิจมหภาคมากนัก แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตลาดหุ้นในช่วงตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาช่วยให้นักลงทุนสามารถค้นหาหุ้นที่มีคุณภาพดี ราคาไม่แพงได้ง่ายขึ้น หลังจากที่ราคาหุ้นส่วนใหญ่ได้ปรับตัวขึ้นอย่างมากในปีที่ผ่านมาจนหาหุ้นที่ดีราคาถูกๆไม่ค่อยได้ วิกฤติของตลาดหุ้นทุกครั้งมักมีโอกาสสำหรับนักลงทุนแบบเน้นคุณค่าเสมอ