เมื่อเงินเฟ้อกำลังจะกลับมา ถึงเวลาของสินค้าคอมมอนีตี้
โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 12, 2010 5:29 pm
เมื่อเงินเฟ้อกำลังจะกลับมา ถึงเวลาของสินค้าคอมมอนีตี
หลังจากที่รัฐบาลหลายๆประเทศพร้อมใจกันออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปีที่ผ่านมา ซึ่งการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ก็เป็นนโยบายตัวหนึ่ง ที่เป็นมาตรการสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่เมื่อถึงเวลาที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวการลดอัตราดอกเบี้ย ก็ไม่ใช่ทางออกที่ดีในการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกต่อไป เเละที่สำคัญ เงินเฟ้อกำลังจะกลับมา
สถาบันวิจัยนครหลวงไทย(SCRI) ประมาณการณ์ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อโดยเฉลี่ยในปี 53 จะอยู่ที่ระดับ 3.5% ซึ่งขยายตัวต่อเนื่องจากช่วงปลายปี 52 โดยมีปัจจัยสำคัญจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะมีทิศทางการกลับมาฟื้นตัวได้อย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อระดับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกให้มีโอกาสที่จะกลับมาปรับตัวเร่งขึ้นอีกครั้ง
โดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบที่ประเมินว่าจะขยายตัวไม่ต่ำกว่า 20% จากในปี 52 ซึ่งคาดว่าในปีนี้ราคาน้ำมันดิบตลาดดูไบเฉลี่ยทั้งปีจะอยู่ที่ระดับ 75 ดอลลาร์/บาร์เรล ขณะที่ในปี 52 ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 62 ดอลลาร์/บาร์เรล นอกจากนี้การที่ภาคอุปสงค์ในประเทศของไทยปีนี้มีแนวโน้มการฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ผลิตสินค้าจะเริ่มปรับราคาขายสินค้าตามต้นทุนที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ระดับราคาสินค้าโดยรวมมีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเทียบกับปี 52
แม้รัฐบาลจะต่ออายุมาตรการลดค่าครองชีพออกไปอีก 3 เดือน ซึ่งจะสิ้นสุด 31 มี.ค.53 ก็ตาม แต่ SCRI เชื่อว่าจะกระทบกับภาพรวมอัตราเงินเฟ้อโดยเฉลี่ยทั้งปีนี้ไม่มากนัก โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อโดยเฉลี่ยของไทยปีนี้จะขยายตัวในระดับ 3.5% โดยมีจุดสูงสุดอยู่ในช่วงไตรมาส 1/53 ก่อนที่แนวโน้มในช่วงถัดไปจะเริ่มทรงตัวอยู่ในกรอบ 2-4%
ขณะที่อัตราเงินเฟ้อฟื้นฐานคาดว่าจะขยายตัวอยู่ในช่วง 1-1.5% นอกจากนี้ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นในระยะสั้นจะไม่ส่งผลให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ต้องตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายภายในช่วงไตรมาส 1/53 นี้ เพราะพื้นฐานเศรษฐกิจของไทยในหลายส่วนยังไม่ได้ฟื้นตัวอย่างชัดเจนนัก หาก กนง.เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อาจจะส่งผลลบต่อแนวโน้มการกลับมาฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในช่วงถัดไปให้มีโอกาสฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด
เชื่อว่าอย่างน้อยภายในช่วงไตรมาส 1ในปีนี้ทางกนง.ยังคงไม่น่าจะตัดสินใจปรับเปลี่ยนระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากในระดับในปัจจุบัน เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจในหลายส่วนยังไม่ได้กลับมาฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับในช่วงก่อนเกิดวิกฤติ
อย่างไรก็ตาม SCRI ประเมินราคาสินค้าโภคภัณฑ์โดยรวมมีแนวโน้มทรงตัวในระดับสูงหลังจากดัชนี CRB Index ซึ่งถือเป็นตัวแทนของสินค้าโภคภัณฑ์โดยรวมปรับเพิ่มขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่นับจากเดือน ต.ค. 2551 จากปัจจัยหนุนตัวเลขเศรษฐกิจ
โดยเฉพาะ รายงานดัชนีที่เกี่ยวข้องกับภาคอุตสาหกรรม (PMI) ในประเทศสำคัญ (สหรัฐฯ, อังกฤษ, เยอรมัน,ยูโรโซน, ญี่ปุ่น และ จีน) ต่างยืนยันการฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่อง สำหรับ ราคาถ่านหิน (ปัจจัยหนุนจากอากาศหนาวในจีน) และ สินค้าเกษตร (ถั่วเหลือง, น้ำตาล) เชื่อว่าจะทรงตัวได้ดีจากผลกระทบภูมิอากาศโลกที่แปรปรวน (น้ำท่วมบราซิล และ ฤดูหนาว ในสหรัฐฯ / จีน)
สำหรับราคาน้ำมันคาดจะทรงตัวระดับสูงเป็นไปตามที่ SCRI คาดการณ์ โดยมีปัจจัยหนุนจากสต็อกน้ำมันดิบที่ลดลงสู่ระดับปกติ ก่อนช่วงวิกฤตการเงิน และ ภาวะอากาศหนาวเย็น สำหรับราคาทองคำคาดจะทรงตัวได้ดี้ขึ้นจากการชะลอการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
ทางด้านสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปีที่ผ่านมา หดตัวถึง 3.25% ซึ่งคาดว่าในปี 2553 นี้หน้าจะขยายตัวขึ้นประมาณ 3.9% จากเเรงกระตุ้นของนโยบายภาครัฐ เเละการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
อย่างไรก็ตามการลงทุนในภาคเอกชนน่าจะยังมีน้อยอยู่ จากกรณีระงับกิจกรรมในโครงการ 65 แห่งจากเดิม 76 แห่งที่ถูกสั่งระงับกิจกรรมในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด สำหรับอัตราเงินเฟ้อนั้นเร่งตัวขึ้นตามการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเงินเฟ้อทั่วไปที่จะสูงเป็นพิเศษ เนื่องจากฐานราคาสินค้าพลังงานที่ตกต่ำในปีก่อน ซึ่งเงินเฟ้อพื้นฐานยังอยู่ในระดับที่ต่ำ
ทั้งนี้ธนาคารเเห่งประเทศไทย (ธปท.)ยังคงเห็นว่าเงินเฟ้อยังไม่ออกนอกเป้าหมายที่กำหนดไว้เเละยังไม่สร้างความกดันมากนักสอดคล้องกับการตัดสินใจของ คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. ในอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.25% ตามเดิมในการประชุมครั้งล่าสุดเเละ กนง.จะมีการประชุมครั้งต่อไปในวันที่ 13 มกราคม 2553 นี้ซึ่งคาดว่าน่าจะคงดอกเบี้ยที่ระดับเดิมอยู่
" เรามองว่า กนง. น่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งปีหลังนี้ โดยจะปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 0.75-1% เนื่องจากเรามองว่าเงินเฟ้อจะทยอยปรับขึ้น ซึ่งอาจจะสูงกว่าดอกเบี้ยนโยบาย ทำให้ต้องมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ย อย่างไรก็ตามเชื่อว่าอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยตลอดปี 2553 จะอยู่ที่ 2.8%"
ปีทองของCommodity
สานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล Fund SuperMart Analyst บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แนวโน้ม Commodities หรือ สินค้าโภคภันฑ์ ในปี 2553 นี้คาดว่าจะ ได้รับแรงหนุนจากเงินเฟ้อ และความต้องการจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจากการที่ประเทศต่างๆ ใช้มาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะสหรัฐฯที่พิมพ์เงินออกมาจำนวนมากเพื่ออุ้มสถาบันการเงิน และใช้ประคับประคองเศรษฐกิจเราคาดว่าจะเป็นตัวจุดชนวนเงินเฟ้อให้ได้เห็นกันในไม่ช้านี้
อย่างไรก็ตามเรามองว่าปัจจุบันอัตราเงินเฟ้อกลับมาเป็นบวกในเดือน พ.ย. 52 ซึ่งภาพอัตราเงินเฟ้อดังกล่าว และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ทำให้ความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์ฟื้นตัวดีขึ้นจะเป็นตัวหนุนการปรับตัวขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ทั้ง น้ำมัน และทองคำ ซึ่งราคาน้ำมันเราคาดว่าจะแกว่งตัวอยู่ในกรอบ75 - 85 US$/บาร์เรล ส่วนราคาทองคำมองว่ามีโอกาสกลับขึ้นไปทดสอบระดับ 1,340 US$/oz โดยคิดว่าไม่น่าจะปรับลงต่ำกว่า 1,000 US$/oz นอกจากนี้ในส่วนของราคาสินค้าเกษตรอาจจะเห็นการขยับขึ้นตามราคาน้ำมันที่สูงขึ้น รวมถึงสภาพอากาศที่แปรปรวนทำให้คาดว่าปริมาณผลผลิตที่ได้จะมีจำนวนลดลง
ขณะเดียวกันเรายังมองทิศทางที่เป็นบวกต่อการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงจากนโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำในประเทศพัฒนา และตัวเลขเศรษฐกิจประเทศพัฒนาที่ยังส่งสัญญาณบวกต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งรวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนโดยการอัดฉีดเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องในปี 2553
เรายังมองว่าในระยะปานกลางทิศทางเงินเฟ้อของประเทศส่วนใหญ่ยังมีทิศทางเพิ่มขึ้นและค่าเงินดอลลาร์ที่ยังมีแนวโน้มอ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักจะยังเป็นปัจจัยบวกต่อการลงทุนในทองคำซึ่งมองกรอบการเคลื่อนไหวเฉลี่ยทั้งปีที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนที่ 1,000 - 1,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ส่วนราคาน้ำมันในช่วงที่ผ่านมามีกรอบการเคลื่อนไหวที่ชัดเจน และน่าสนใจสำหรับการลงทุนระหว่าง 70 - 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เรายังคงแนะนำลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง 30%ตราสารหนี้ 50% และเงินสด/ตลาดเงิน 20% สำหรับนักลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงในระดับปานกลาง และแนะนำลงทุนในทองคำ และน้ำมัน
"เรายังแนะนำ ASP-GOLD และ K-GOLD เนื่องจากมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งหมด และ P-GOLD ซึ่งเหมาะสำหรับการลงทุนในทองคำในระยะยาวเนื่องจากมีการลงทุน และบริหารความผันผวนของราคาทองคำโดยลงทุนใน Gold Future สำหรับกองทุนน้ำมันเราแนะนำ ASP-OIL จากนโยบายการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งหมดเช่นกัน"
ทางด้าน เจิดพันธุ์ นิธยายน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการด้านการลงทุน บลจ. บีที จำกัด กล่าวว่า การลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ หรือ Commodity ยังคงอยู่ในช่วงขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการลงทุนในทองคำและน้ำมันที่คิดว่าจะมีการปรับสูงขึ้นไปอีกประมาณ 5 - 10% ต่อจากนี้ไป และยังคาดว่าน่าจะยังคงอยู่ในช่วงขาขึ้นไปอีกจนถึงต้นปีหน้าด้วยการลงทุนในทองคำ หรือสินค้าโภคภัณฑ์ถือว่าอยู่ในช่วงขาขึ้น โดยเฉพาะราคาทองคำที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
"การลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นทองคำหรือน้ำมันในช่วงนี้จะยังคงให้ผลตอบแทนที่ดี และคาดว่าน่าจะอยู่ในช่วงขาขึ้นไปอีกจนถึงต้นปีหน้า ซึ่งถ้านักลงทุนอยากได้ผลตอบแทนที่ดีก็น่าจะเข้ามาลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์เพราะถือว่าเป็นเปีทองของทองคำและน้ำมัน"
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 12 มกราคม 2553 02:29 น.
หลังจากที่รัฐบาลหลายๆประเทศพร้อมใจกันออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปีที่ผ่านมา ซึ่งการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ก็เป็นนโยบายตัวหนึ่ง ที่เป็นมาตรการสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่เมื่อถึงเวลาที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวการลดอัตราดอกเบี้ย ก็ไม่ใช่ทางออกที่ดีในการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกต่อไป เเละที่สำคัญ เงินเฟ้อกำลังจะกลับมา
สถาบันวิจัยนครหลวงไทย(SCRI) ประมาณการณ์ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อโดยเฉลี่ยในปี 53 จะอยู่ที่ระดับ 3.5% ซึ่งขยายตัวต่อเนื่องจากช่วงปลายปี 52 โดยมีปัจจัยสำคัญจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะมีทิศทางการกลับมาฟื้นตัวได้อย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อระดับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกให้มีโอกาสที่จะกลับมาปรับตัวเร่งขึ้นอีกครั้ง
โดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบที่ประเมินว่าจะขยายตัวไม่ต่ำกว่า 20% จากในปี 52 ซึ่งคาดว่าในปีนี้ราคาน้ำมันดิบตลาดดูไบเฉลี่ยทั้งปีจะอยู่ที่ระดับ 75 ดอลลาร์/บาร์เรล ขณะที่ในปี 52 ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 62 ดอลลาร์/บาร์เรล นอกจากนี้การที่ภาคอุปสงค์ในประเทศของไทยปีนี้มีแนวโน้มการฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ผลิตสินค้าจะเริ่มปรับราคาขายสินค้าตามต้นทุนที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ระดับราคาสินค้าโดยรวมมีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเทียบกับปี 52
แม้รัฐบาลจะต่ออายุมาตรการลดค่าครองชีพออกไปอีก 3 เดือน ซึ่งจะสิ้นสุด 31 มี.ค.53 ก็ตาม แต่ SCRI เชื่อว่าจะกระทบกับภาพรวมอัตราเงินเฟ้อโดยเฉลี่ยทั้งปีนี้ไม่มากนัก โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อโดยเฉลี่ยของไทยปีนี้จะขยายตัวในระดับ 3.5% โดยมีจุดสูงสุดอยู่ในช่วงไตรมาส 1/53 ก่อนที่แนวโน้มในช่วงถัดไปจะเริ่มทรงตัวอยู่ในกรอบ 2-4%
ขณะที่อัตราเงินเฟ้อฟื้นฐานคาดว่าจะขยายตัวอยู่ในช่วง 1-1.5% นอกจากนี้ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นในระยะสั้นจะไม่ส่งผลให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ต้องตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายภายในช่วงไตรมาส 1/53 นี้ เพราะพื้นฐานเศรษฐกิจของไทยในหลายส่วนยังไม่ได้ฟื้นตัวอย่างชัดเจนนัก หาก กนง.เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อาจจะส่งผลลบต่อแนวโน้มการกลับมาฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในช่วงถัดไปให้มีโอกาสฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด
เชื่อว่าอย่างน้อยภายในช่วงไตรมาส 1ในปีนี้ทางกนง.ยังคงไม่น่าจะตัดสินใจปรับเปลี่ยนระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากในระดับในปัจจุบัน เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจในหลายส่วนยังไม่ได้กลับมาฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับในช่วงก่อนเกิดวิกฤติ
อย่างไรก็ตาม SCRI ประเมินราคาสินค้าโภคภัณฑ์โดยรวมมีแนวโน้มทรงตัวในระดับสูงหลังจากดัชนี CRB Index ซึ่งถือเป็นตัวแทนของสินค้าโภคภัณฑ์โดยรวมปรับเพิ่มขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่นับจากเดือน ต.ค. 2551 จากปัจจัยหนุนตัวเลขเศรษฐกิจ
โดยเฉพาะ รายงานดัชนีที่เกี่ยวข้องกับภาคอุตสาหกรรม (PMI) ในประเทศสำคัญ (สหรัฐฯ, อังกฤษ, เยอรมัน,ยูโรโซน, ญี่ปุ่น และ จีน) ต่างยืนยันการฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่อง สำหรับ ราคาถ่านหิน (ปัจจัยหนุนจากอากาศหนาวในจีน) และ สินค้าเกษตร (ถั่วเหลือง, น้ำตาล) เชื่อว่าจะทรงตัวได้ดีจากผลกระทบภูมิอากาศโลกที่แปรปรวน (น้ำท่วมบราซิล และ ฤดูหนาว ในสหรัฐฯ / จีน)
สำหรับราคาน้ำมันคาดจะทรงตัวระดับสูงเป็นไปตามที่ SCRI คาดการณ์ โดยมีปัจจัยหนุนจากสต็อกน้ำมันดิบที่ลดลงสู่ระดับปกติ ก่อนช่วงวิกฤตการเงิน และ ภาวะอากาศหนาวเย็น สำหรับราคาทองคำคาดจะทรงตัวได้ดี้ขึ้นจากการชะลอการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
ทางด้านสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปีที่ผ่านมา หดตัวถึง 3.25% ซึ่งคาดว่าในปี 2553 นี้หน้าจะขยายตัวขึ้นประมาณ 3.9% จากเเรงกระตุ้นของนโยบายภาครัฐ เเละการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
อย่างไรก็ตามการลงทุนในภาคเอกชนน่าจะยังมีน้อยอยู่ จากกรณีระงับกิจกรรมในโครงการ 65 แห่งจากเดิม 76 แห่งที่ถูกสั่งระงับกิจกรรมในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด สำหรับอัตราเงินเฟ้อนั้นเร่งตัวขึ้นตามการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเงินเฟ้อทั่วไปที่จะสูงเป็นพิเศษ เนื่องจากฐานราคาสินค้าพลังงานที่ตกต่ำในปีก่อน ซึ่งเงินเฟ้อพื้นฐานยังอยู่ในระดับที่ต่ำ
ทั้งนี้ธนาคารเเห่งประเทศไทย (ธปท.)ยังคงเห็นว่าเงินเฟ้อยังไม่ออกนอกเป้าหมายที่กำหนดไว้เเละยังไม่สร้างความกดันมากนักสอดคล้องกับการตัดสินใจของ คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. ในอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.25% ตามเดิมในการประชุมครั้งล่าสุดเเละ กนง.จะมีการประชุมครั้งต่อไปในวันที่ 13 มกราคม 2553 นี้ซึ่งคาดว่าน่าจะคงดอกเบี้ยที่ระดับเดิมอยู่
" เรามองว่า กนง. น่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งปีหลังนี้ โดยจะปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 0.75-1% เนื่องจากเรามองว่าเงินเฟ้อจะทยอยปรับขึ้น ซึ่งอาจจะสูงกว่าดอกเบี้ยนโยบาย ทำให้ต้องมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ย อย่างไรก็ตามเชื่อว่าอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยตลอดปี 2553 จะอยู่ที่ 2.8%"
ปีทองของCommodity
สานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล Fund SuperMart Analyst บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แนวโน้ม Commodities หรือ สินค้าโภคภันฑ์ ในปี 2553 นี้คาดว่าจะ ได้รับแรงหนุนจากเงินเฟ้อ และความต้องการจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจากการที่ประเทศต่างๆ ใช้มาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะสหรัฐฯที่พิมพ์เงินออกมาจำนวนมากเพื่ออุ้มสถาบันการเงิน และใช้ประคับประคองเศรษฐกิจเราคาดว่าจะเป็นตัวจุดชนวนเงินเฟ้อให้ได้เห็นกันในไม่ช้านี้
อย่างไรก็ตามเรามองว่าปัจจุบันอัตราเงินเฟ้อกลับมาเป็นบวกในเดือน พ.ย. 52 ซึ่งภาพอัตราเงินเฟ้อดังกล่าว และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ทำให้ความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์ฟื้นตัวดีขึ้นจะเป็นตัวหนุนการปรับตัวขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ทั้ง น้ำมัน และทองคำ ซึ่งราคาน้ำมันเราคาดว่าจะแกว่งตัวอยู่ในกรอบ75 - 85 US$/บาร์เรล ส่วนราคาทองคำมองว่ามีโอกาสกลับขึ้นไปทดสอบระดับ 1,340 US$/oz โดยคิดว่าไม่น่าจะปรับลงต่ำกว่า 1,000 US$/oz นอกจากนี้ในส่วนของราคาสินค้าเกษตรอาจจะเห็นการขยับขึ้นตามราคาน้ำมันที่สูงขึ้น รวมถึงสภาพอากาศที่แปรปรวนทำให้คาดว่าปริมาณผลผลิตที่ได้จะมีจำนวนลดลง
ขณะเดียวกันเรายังมองทิศทางที่เป็นบวกต่อการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงจากนโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำในประเทศพัฒนา และตัวเลขเศรษฐกิจประเทศพัฒนาที่ยังส่งสัญญาณบวกต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งรวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนโดยการอัดฉีดเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องในปี 2553
เรายังมองว่าในระยะปานกลางทิศทางเงินเฟ้อของประเทศส่วนใหญ่ยังมีทิศทางเพิ่มขึ้นและค่าเงินดอลลาร์ที่ยังมีแนวโน้มอ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักจะยังเป็นปัจจัยบวกต่อการลงทุนในทองคำซึ่งมองกรอบการเคลื่อนไหวเฉลี่ยทั้งปีที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนที่ 1,000 - 1,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ส่วนราคาน้ำมันในช่วงที่ผ่านมามีกรอบการเคลื่อนไหวที่ชัดเจน และน่าสนใจสำหรับการลงทุนระหว่าง 70 - 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เรายังคงแนะนำลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง 30%ตราสารหนี้ 50% และเงินสด/ตลาดเงิน 20% สำหรับนักลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงในระดับปานกลาง และแนะนำลงทุนในทองคำ และน้ำมัน
"เรายังแนะนำ ASP-GOLD และ K-GOLD เนื่องจากมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งหมด และ P-GOLD ซึ่งเหมาะสำหรับการลงทุนในทองคำในระยะยาวเนื่องจากมีการลงทุน และบริหารความผันผวนของราคาทองคำโดยลงทุนใน Gold Future สำหรับกองทุนน้ำมันเราแนะนำ ASP-OIL จากนโยบายการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งหมดเช่นกัน"
ทางด้าน เจิดพันธุ์ นิธยายน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการด้านการลงทุน บลจ. บีที จำกัด กล่าวว่า การลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ หรือ Commodity ยังคงอยู่ในช่วงขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการลงทุนในทองคำและน้ำมันที่คิดว่าจะมีการปรับสูงขึ้นไปอีกประมาณ 5 - 10% ต่อจากนี้ไป และยังคาดว่าน่าจะยังคงอยู่ในช่วงขาขึ้นไปอีกจนถึงต้นปีหน้าด้วยการลงทุนในทองคำ หรือสินค้าโภคภัณฑ์ถือว่าอยู่ในช่วงขาขึ้น โดยเฉพาะราคาทองคำที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
"การลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นทองคำหรือน้ำมันในช่วงนี้จะยังคงให้ผลตอบแทนที่ดี และคาดว่าน่าจะอยู่ในช่วงขาขึ้นไปอีกจนถึงต้นปีหน้า ซึ่งถ้านักลงทุนอยากได้ผลตอบแทนที่ดีก็น่าจะเข้ามาลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์เพราะถือว่าเป็นเปีทองของทองคำและน้ำมัน"
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 12 มกราคม 2553 02:29 น.