Thai VI

พี่ว่าตัวไหนดีกว่ากันครับ ผมได้อ่านเอกสารหนึ่ง แล้วมองว่า makro ดีกว่า แต่ผมก็คิดๆเหมือนพี่เหมือนกันเกี่ยวกับ bigc และยังไม่ได้หาข้อมูลเพิ่มเติมมากนัก เลยมาถามความเห็นเล่นๆก่อน แต่ตอบแบบจริงจังนะพี่

makro ทำการค้าแบบพ่อค้าขายส่ง ซื้อถูก ขายถูก ขายถูก

ซึ่งในตลาดบ้านเรายังมีช่องว่างอีกมาก

คู่แข่ง makro คือ พ่อค้าคนจีนรุ่นเก่า ที่ไม่ได้ปรับตัวอะไร พ่อค้ารุ่นเก่าเหล่านี้ ใช้สายสัมพันธ์ และใช้ความขยัน + ประหยัด

ต้นทุนไม่ค่อยมี เพราะตึก ที่ทำการค้า ขาย ก็อยู่ในทำเล ที่ดี และค่าตึก ก็จ่ายหมดไปชาติที่แล้ว

แต่อย่างไรก็ตาม makro ก็มียอดขาย 4 หมื่นล้านบาท

แย่งอาชีพ ขายส่ง ระดับ 100 ล้านบาท ไป อย่างน้อย 400 ราย แล้วครับ

.........................................................................

ส่วน bigC lotus carrefour top เป็น กิจการร้าน ซุปเปอร์สโต นะพี่ว่า คือ แม่บ้านชอบ เพราะไปซื้อที่หนึ่ง จะจะซื้อมากๆ ใช้รถเข็นเอา และจำเป็นต้องซื้อ

พี่ว่าก็ bigC ก็เหมือนกับตลาดติดแอร์ ซึ่ง แม่บ้านชอบ เพราะไปเดินตลาด ทั้งแชะ และมีกลิ่นไม่ค่อยสุภาพ เดิน bigC เย็นสบาย ได้ของครบ

เสียแต่ว่า คนที่เคยเดินที่ตลาด จะรู้ว่าที่ตลาด ของสด และถูกกว่า

แต่เนื่องจากกว่าจะเลิกงาน ทำให้กลับบ้านดึก ขับรถผ่าน lotus เอ้า แวะซื้ออะไรหน่อย โดยเฉพาะ lotus ถ้าจำไม่ผิด เปิด 24 ชั่วโมงไปเลย นายแน่มาก lotus

...........................................................................

makro นโยบายในการขยายงานไม่ค่อย aggressive แต่ไม่ได้หมายความว่าขยายไม่ได้

และเงินสดที่มีก็สามารถขยายสาขาได้ พี่ชอบ makro ตรงที่ทำการค้าแบบ conservative สมกับเป็นพ่อค้าขายส่ง

makro ไม่มีหนี้ระยะยาว และสามารถทำกำไรได้ 10 ปีซ้อน โดยเฉพาะในปีที่แย่ที่สุดคือ 40 makro ยังสามารถทำกำไรได้

..............................................................................

bigC นี่ ตอนขยายสาขาก็ต้องกู้เงิน โดยไปกู้ ผู้ถือหุ้นใหญ่ แต่ก็คิดดอกเบี้ยไม่แพง คือกุ้กับ casino กรุ๊ป ซึ่งกลุ่มนี้ ทำการค้าแบบ modern trade ใหญ่โต กลุ่มนี้ ไม่ได้ทำ casino อย่างที่หลายๆคนเข้าใจ ( หรือว่าผมเข้าใจผิด )

bigC ยังมีความเสี่ยง เพราะยังไม่รู้หัวหรือก้อย เนื่องจาก คู่แข่ง ก็แข็งมาก คือ lotus carrefour

ถ้าคิดว่าระยะยาว bigC ชนะ ก็ซื้อ bigC ไปเลย เพราะ เมื่อถึงจุดๆหนึ่ง จะมีคนแพ้ คนชนะ จะมีผู้นำตลาดตัวจริงเกิดขึ้น ซึ่ง โดยส่วนตัว พี่เชื่อกลุ่มจิราธิวัฒน์ ในด้านนี้

คือกลุ่มจิราธิวัฒน์ ยังมีส่วนได้ส่วนเสียไม่น้อย สังเกตุจาก ที่ดินแต่ละแปลง ก็เป็นของจิราธิวัฒน์ ให้ bigC เช่าไปทั้งนั้น

ชอบ bigC เหมือนกันง่ะค่ะ ดูเค้าเข้าถึงชาวบ้านมากกว่านะ ทั้งโฆษณา ใบปลิว การขยายสาขา แล้วก็มีร้านค้า ร้านเสื้อผ้า ร้านอาหาร หรือแม้กระทั่วโรงหนังให้เดินในนั้นด้วย เรียกได้ว่าเป็นห้างเล็ก ๆ ห้างนึงเลยนะ แต่ดูจากที่พี่เจ๋งว่ามาแล้วก็เสี่ยงพอสมควรเหมือนกันนะคะ กู้ยืมเงินมาขยายงาน ไม่ได้ใช้เงินสดที่มีอยู่ อืม ๆๆๆ

เท่าที่ผมพอรู้มา Mickro ปีนี้เค้าเล่นตัวเลขนะครับ จำไม่ได้ว่า ตัว provision หรือ อะไรเนี่ยแหละ ครับ

แต่ผมไม่ได้จะหมายความว่าไม่ดีนะครับ แค่อยากเอาเรื่องที่พอรู้มามาบอกครับ เพราะผมก็ยังไม่ได้ศึกษาตัวนี้จริงๆจังๆเหมือนกัน

ปี 2545 makro บันทึกกำไรจากการขายเงินลงทุนในบริษัทให้บริการรถยนต์ ออโตแม็ค ทำนองนี้ละครับ แต่ปีล่าสุด เข้าใจว่าน่าจะเป็นกำไรที่แท้จริงครับ..

อยากรู้จังเลย ว่าเขาเล่นยังไงครับ ตัวเลขนี่

ถ้ารู้รายละเอียดได้ก็ดีครับ เพราะในเว็บนี้ มีบางคนทำงานอยู่ที่ makro ด้วยครับ

ขอออกตัวก่อนนะครับ เพราะผมได้ยินมาอย่างนั้นเท่านั้นเอง อาจจะไม่ใช่ก็ได้ครับเพราะไม่ได้เจอเอง ได้ยินมาก็เลยครับก็เลยเอามาบอกเฉยๆ เอาเป็นว่าลืมๆไปก็ได้ครับ =)

แต่ยกตัวอย่างเรื่องการเล่นตัวเลขแล้วกันนะครับ

ซึ่งหากจะเล่นตัว Provision นั้นง่ายมากเลยครับเพราะตัว Provision นี้ขึ้นกับ Judgement ของผู้ตั้ง provision เท่านั้นเองครับ ปีก่อนอาจตั้งเยอะเพราะกำไรเยอะ ยกตัวอย่างเช่นการตั้งProvision หนี้สงสัยจะสูญก็ได้ครับ ปีก่อนกำไรอาจจะเยอะก็ Conservative ตั้งหนี้สูญไว้ 100% เลย สำหรับลูกหนี้รายใดรายหนึ่งที่ค้างนาน ปีนี้ผู้บริหารก็จะ conservative ทุกอย่าง write off พวก สินค้าล้าสมัย หมด แต่หาก ปีต่อมา กำไรเท่าเดิม หนี้ก็เท่าเดิม ก็ไม่ตั้งหนี้สูญ ซะอย่างนั้น โดยผู้บริหารบอกว่า สามารถเก็บเงินได้ sure 100% ส่วนไอ้ที่ตั้งแล้วก็ตั้งไป ไอ้ที่มาใหม่ก็ไม่ตั้งสะ อย่างนั้น หรือ slowmoving ก็ไม่ตั้ง provision ไว้เพราะ บอกว่าขายได้แน่ๆเป็นต้น

จะบอกว่าผิดก็ไม่ใช่เพราะ เป็นการใช้ช่องโหว่ทางการบัญชีที่เปิดช่องให้ใช้ Judgement ครับ ผู้สอบบัญชีหรือจะรู้ว่า จะเก็บเงินจากลูกหนี้รายนี้ได้มั้ยว้า... สินค้าตัวนี้ที่เหลือจะขายได้กี่%ว้า เป็นต้น แต่หากมากมายจริงๆเค้าก็จะ note ไว้ในหมายเหตุครับ หรือเขียนในหน้ารายงานเคยครับหากอ่านเจอ แต่เกิดขึ้นจริงน้อยมากครับ ต้องserious case จริงๆครับ

หรือไม่ก็เปลี่ยนแปลง อายุการตัดค่าเสื่อม ซะอย่างนั้น ของเก่าก็ตัดไป 3 ปี ส่วนของที่ซื้อใหม่ก็ตัด 5 ปีเพราะ บอกว่าเครื่องจักรใช้งานได้ 5 ปี แค่นี้ก็ทำไรไม่ได้แล้วครับ

หากนักลงทุนจะรู้ก็ต้องไปเปิดอ่านใน Note ของ งบการเงินเอาเองครับ ซึ่งหาก บ.เค้า เปิดเผยนโยบายการตั้งหนี้ หรือสำรองอื่นๆไว้ก็ดีไปครับ แต่เท่าที่สังเกตดู เค้าจะไม่ค่อยเปิดนะครับ อีกทั้ง ส่วนใหญ่นักลงทุนรายย่อยไม่ค่อยดูหมายเหตุประกอบงบการเงินเท่าไรครับ อาจจะดูแต่ว่า บ.a กำไรมากกว่า บ.b แต่หากเปรียบเทียบกันจริงๆแล้ว บ.b อาจจะ คิดค่าเสื่อม 5 ปี ในสินทรัพย์ตัวเดียวกัน กับที่ บ.a คิดค่าเสื่อม 10 ปี ครับ หรือ คิดต้นทุนแบบ FIFO หรือ LIFO ก็ทำให้กำไรไม่เท่ากันแล้วครับ

ผมก็อ่านนะ หมายเหตุงบการเงิน แต่ผมไม่สามารถหามาเปรียบเทียบกันได้ทั้งหมด ผมก็พยายามหามาอ่านให้ครบหลายๆตัวเหมือนกัน แต่อย่างน้อย การคำนวนต่างๆ ว่าตัวเลขทำให้ธุรกิจดำเนินงานได้ดี ไม่พลาดท่าแล้วมีกำไรตลอด แล้วปันผลในจำนวนที่โอเค ก็พอใจแล้วครับ

การโกงที่แนบเนียนมีเสมอครับ เราคงดูได้ยาก หรืออาศัยช่องโหว่จึงไม่ผิด เหมือนรัฐบาลถึงโกงกิน แต่ทำให้ประเทศพัฒนาจริงๆด้วย ก็ยอมๆหน่อยแล้วกัน แต่ถ้าจ้องมาดูดอย่างเดียว ไม่พัฒนาประเทศเลย งี้ขอให้โดนลอบยิงเร็วๆครับ