จ่อลากคอเพิ่ม มือทุบหุ้น หลักฐานแน่น
โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ย. 02, 2009 7:37 am
จ่อลากคอเพิ่ม มือทุบหุ้น หลักฐานแน่น

ตำรวจ เตรียมออกหมายจับ ผู้ต้องหาเชื่อมโยงคดีปล่อยข่าวลือทุบเพิ่มอีก 2 - 3 ราย หลังหลักฐานชัด พร้อมประสาน DSI ขยายการผลสาวให้ถึงการทำผิด พรบ.หลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ ...
พล.ต.ต.ปัญญา มาเม่น รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ให้สัมภาษณ์ไทยรัฐ ออนไลน์ ยืนยัน พนักงานสอบสวน ในคดีดังกล่าว จะขออำนาจศาลออกหมายจับผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องในคดีปล่อยข่าวลือทุบหุ้นอีกไม่ต่ำกว่า 2 - 3 คน ในเร็ว ๆ นี้ โดยล่าสุดรอเพียงการรวบรวมข้อมูลในขั้นสุดท้ายอีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยเบื้องต้นกลุ่มผู้ต้องหาชุดใหม่นี้ ยังคงเป็นผู้ต้องหาที่อยู่ในประเทศ และไม่มีส่วนเชื่อมโยงกับ น.ส.ธีรนันต์ วิภูชนิน และ คชา ปาจริยะพงศ์ สองผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมตัวไปก่อนหน้านี้ แต่อย่างใด
ด้านความคืบหน้าในการติดตาม หาข้อมูลเพื่อสาวให้ถึงกระบวนการต้นตอข่าวลือ นั้น ขณะนี้ ทางพนักงานสอบสวนกำลังอยู่ระหว่างเร่งดำเนินการ รวบรวมข้อมูล รวมทั้งประสานการทำงานกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI ที่ในเวลานี้ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ กลต. เพื่อสืบสวนพฤติการณ์ของกลุ่มผู้ต้องหาที่เข้าข่ายกระทำความผิด พรบ.หลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ 2535 อยู่อย่างใกล้ชิด
ขณะที่ในด้านการสอบปากคำ น.ส.ธีรนันต์ วิภูชนิน และ นายคชา ปาจริยะพงศ์ นั้น ในการสืบสวนชั้นแรก ยังไม่พบว่าผู้ต้องหาทั้งสองคนมีความเชื่อมโยงกัน และขอยืนยันว่า ทางพนักงานสอบสวนพร้อมให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
ส่วนจะมีการพิจารณาให้ผู้ต้องหาทั้งคนสองได้ประกันตัวหรือไม่นั้น เบื้องต้น ตามกฎหมายพนักงานสอบสวนมีสิทธิจะควบคุมตัวผู้ต้องหาเอาไว้สอบปากคำได้อย่างน้อย 48 ชั่วโมง หลังจากนั้นจึงจะมีการพิจารณาในกรณีที่ผู้ต้องหามีความประสงค์จะยื่นขอประกันตัว ซึ่งในคดีนี้ทางพนักงานสอบสวนตั้งหลักเกณฑ์เอาไว้ คือ เงินสด100,000 บาท และจะต้องขึ้นอยู่กับพิจารณาของพนักงานสอบสวนว่า ผู้ต้องหาทั้งสองคน จะหลบหนี หรือ อาจจะเข้าไปยุ่งย่ามในการสอบสวนหรือไม่ ซึ่งหากผ่านทั้ง 2 หลักเกณฑ์ทางพนักงานสอบสวนก็คงอนุญาตให้มีการประกันตัวต่อไป
ด้าน นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวกับไทยรัฐออนไลน์ ว่า วันนี้ตนได้เรียกประชุมผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) อยู่แล้ว เรื่องแผนการพัฒนาตลาดทุนไทย ซึ่งจะมีการหารือกันในเรื่องการจับกุม 2 ผู้ต้องหาปล่อยข่าวลืออันเป็นเท็จด้วย เบื้องต้นพบว่า เป็นเพียงความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14(2) ที่ต้องโทษจำคุก 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งเป็นเรื่องการแพร่ข่าว ยังไม่ใช่ความผิดตาม พรบ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
นายกรณ์ กล่าวอีกว่า การจะเป็นความผิดตาม พรบ.หลักทรัพย์ ฯ หรือไม่นั้น จะขึ้นอยู่กับการสอบสวนเพิ่มเติม โดยหากทั้ง 2 คน มีพฤติกรรมนอกเหนือจากการแพร่ข่าวลืออันเป็นเท็จ และทำกำไรกับตลาดทุน คือ ปล่อยข่าวโดยมีเจตนาให้เสียหายต่อความมั่นคง และ มีความเสียหายต่อความผันผวนในดัชนีหลักทรัพย์ และไปขายหุ้นเตรียมไว้ล่วงหน้า แล้วค่อยซื้อกลับคืน จะมีความผิดตาม พรบ.หลักทรัพย์ฯ ด้วย โดยทาง ก.ล.ต.ต้องดูว่า 2 คนมีพฤติกรรมซื้อขายหุ้น หรือ มีกลุ่มลูกค้า ที่ได้ประโยชน์จากข้อมูลนี้หรือไม่ และเป็นการกระทำที่ขัดต่อมาตราใดใน พรบ.หลักทรัพย์ฯ
นายกรณ์ กล่าวต่อว่า การจะสาวไปถึงใครต้องถามพนักงานสอบสวน อย่างไรก็ตาม ตนได้คุยกับบริษัทต้นสังกัดของผู้ต้องหา ซึ่งยืนยันว่า พฤติกรรมนี้ขัดต่อนโยบายของบริษัทอยู่แล้ว และพร้อมให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่เต็มที่
ข้อมูลข่าว รายละเอียดติดตามได้จาก นสพ.ไทยรัฐ
http://www.thairath.co.th/content/region/43906

ตำรวจ เตรียมออกหมายจับ ผู้ต้องหาเชื่อมโยงคดีปล่อยข่าวลือทุบเพิ่มอีก 2 - 3 ราย หลังหลักฐานชัด พร้อมประสาน DSI ขยายการผลสาวให้ถึงการทำผิด พรบ.หลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ ...
พล.ต.ต.ปัญญา มาเม่น รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ให้สัมภาษณ์ไทยรัฐ ออนไลน์ ยืนยัน พนักงานสอบสวน ในคดีดังกล่าว จะขออำนาจศาลออกหมายจับผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องในคดีปล่อยข่าวลือทุบหุ้นอีกไม่ต่ำกว่า 2 - 3 คน ในเร็ว ๆ นี้ โดยล่าสุดรอเพียงการรวบรวมข้อมูลในขั้นสุดท้ายอีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยเบื้องต้นกลุ่มผู้ต้องหาชุดใหม่นี้ ยังคงเป็นผู้ต้องหาที่อยู่ในประเทศ และไม่มีส่วนเชื่อมโยงกับ น.ส.ธีรนันต์ วิภูชนิน และ คชา ปาจริยะพงศ์ สองผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมตัวไปก่อนหน้านี้ แต่อย่างใด
ด้านความคืบหน้าในการติดตาม หาข้อมูลเพื่อสาวให้ถึงกระบวนการต้นตอข่าวลือ นั้น ขณะนี้ ทางพนักงานสอบสวนกำลังอยู่ระหว่างเร่งดำเนินการ รวบรวมข้อมูล รวมทั้งประสานการทำงานกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI ที่ในเวลานี้ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ กลต. เพื่อสืบสวนพฤติการณ์ของกลุ่มผู้ต้องหาที่เข้าข่ายกระทำความผิด พรบ.หลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ 2535 อยู่อย่างใกล้ชิด
ขณะที่ในด้านการสอบปากคำ น.ส.ธีรนันต์ วิภูชนิน และ นายคชา ปาจริยะพงศ์ นั้น ในการสืบสวนชั้นแรก ยังไม่พบว่าผู้ต้องหาทั้งสองคนมีความเชื่อมโยงกัน และขอยืนยันว่า ทางพนักงานสอบสวนพร้อมให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
ส่วนจะมีการพิจารณาให้ผู้ต้องหาทั้งคนสองได้ประกันตัวหรือไม่นั้น เบื้องต้น ตามกฎหมายพนักงานสอบสวนมีสิทธิจะควบคุมตัวผู้ต้องหาเอาไว้สอบปากคำได้อย่างน้อย 48 ชั่วโมง หลังจากนั้นจึงจะมีการพิจารณาในกรณีที่ผู้ต้องหามีความประสงค์จะยื่นขอประกันตัว ซึ่งในคดีนี้ทางพนักงานสอบสวนตั้งหลักเกณฑ์เอาไว้ คือ เงินสด100,000 บาท และจะต้องขึ้นอยู่กับพิจารณาของพนักงานสอบสวนว่า ผู้ต้องหาทั้งสองคน จะหลบหนี หรือ อาจจะเข้าไปยุ่งย่ามในการสอบสวนหรือไม่ ซึ่งหากผ่านทั้ง 2 หลักเกณฑ์ทางพนักงานสอบสวนก็คงอนุญาตให้มีการประกันตัวต่อไป
ด้าน นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวกับไทยรัฐออนไลน์ ว่า วันนี้ตนได้เรียกประชุมผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) อยู่แล้ว เรื่องแผนการพัฒนาตลาดทุนไทย ซึ่งจะมีการหารือกันในเรื่องการจับกุม 2 ผู้ต้องหาปล่อยข่าวลืออันเป็นเท็จด้วย เบื้องต้นพบว่า เป็นเพียงความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14(2) ที่ต้องโทษจำคุก 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งเป็นเรื่องการแพร่ข่าว ยังไม่ใช่ความผิดตาม พรบ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
นายกรณ์ กล่าวอีกว่า การจะเป็นความผิดตาม พรบ.หลักทรัพย์ ฯ หรือไม่นั้น จะขึ้นอยู่กับการสอบสวนเพิ่มเติม โดยหากทั้ง 2 คน มีพฤติกรรมนอกเหนือจากการแพร่ข่าวลืออันเป็นเท็จ และทำกำไรกับตลาดทุน คือ ปล่อยข่าวโดยมีเจตนาให้เสียหายต่อความมั่นคง และ มีความเสียหายต่อความผันผวนในดัชนีหลักทรัพย์ และไปขายหุ้นเตรียมไว้ล่วงหน้า แล้วค่อยซื้อกลับคืน จะมีความผิดตาม พรบ.หลักทรัพย์ฯ ด้วย โดยทาง ก.ล.ต.ต้องดูว่า 2 คนมีพฤติกรรมซื้อขายหุ้น หรือ มีกลุ่มลูกค้า ที่ได้ประโยชน์จากข้อมูลนี้หรือไม่ และเป็นการกระทำที่ขัดต่อมาตราใดใน พรบ.หลักทรัพย์ฯ
นายกรณ์ กล่าวต่อว่า การจะสาวไปถึงใครต้องถามพนักงานสอบสวน อย่างไรก็ตาม ตนได้คุยกับบริษัทต้นสังกัดของผู้ต้องหา ซึ่งยืนยันว่า พฤติกรรมนี้ขัดต่อนโยบายของบริษัทอยู่แล้ว และพร้อมให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่เต็มที่
ข้อมูลข่าว รายละเอียดติดตามได้จาก นสพ.ไทยรัฐ
http://www.thairath.co.th/content/region/43906