Thai VI

:lol:

ผมยังไม่เคยขายหุ้นหมดพอท์ตเลย
ไม่ทราบว่ามีใครเหมือนผมหรือเปล่า

แบบรักแล้วรักเลย

มีแต่ซื้อเข้ามาเรื่อยๆ
เมื่อได้รับเงินปันผลมาก็ซื้อหุ้นเข้ามาเก็บอีก
ไม่รู้ว่าคิดผิด คิดถูก

(ยังหาเหตุผล มนุษย์หุ้น ไม่เจอ)

ใครผ่านมาอ่าน ช่วยแสดงความคิดเห็นด้วยครับ

ถ้าลงทุนด้วย 'เงินเย็น'

และ

ซื้อหุ้น ให้เหมือนการลงทุนระยะยาว
หรือ เหมือนเป็นนายทุน จ้างคน (เจ้าของบริษัท) มาทำงานให้
หรือ เพื่อรับเงินปันผล แทน ดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร

ถ้าไม่ได้มีเหตุจำเป็นต้องใช้เงินมาก ๆ จริง ๆ
ก็นึกไม่ออก ว่า ทำไมต้องขายหุ้นล้างพอร์ตด้วยครับ

((เพิ่งมาที่นี่ ฝากเนื้อ ฝากตัวด้วยครับ))

เรียนพี่ปรัชญา

ผมล้างพอร์ตไปสองรอบครับ แต่ด้วยภาระกิจที่ไม่อาจจะได้อยู่ใกล้ชิดกับตลาดหุ้น อีกอย่างเนื่องจากการลงทุนที่ผ่านจะเป็นแบบ speculator มากกว่า ไม่สบายใจครับหากไม่ได้ติดตามอย่างใกล้ชิด ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อนๆ หากไม่จำเป็นต้องใช้เงินอย่างที่คุณ MR. J ว่า ผมยังไม่เห็นเหตุผลที่ดีพอที่จะทำเหมือนในอดีตที่ผ่านมา

พี่ปรัชญาเป็น role model ของ VI อยู่แล้วครับ แล้วผมก็คิดว่าเป็นวิธีที่ผมเลือกปฏิบัติอย่างเคร่งครัดในปัจจุบัน ผมคิดว่าผมทำได้ดีระดับหนึ่งแล้วครับในครั้งนี้ เพราะถึงแม้พอร์ตผมไม่ได้พุ่งเปี๊ยดปราดแบบ index หรือราคาของหลายตัวในตลาดปัจจุปัน ผมก็พอใจกับผลงานของการเดินแบบช้าๆ แต่มั่นคง ต้องหนักแน่นและก็ให้กำลังใจกันครับ

ผมชอบการลงทุนแบบ พี่ปรัชญา ครับ เนื้อๆ เน้นๆ ร่วมเป็นเจ้าของธุรกิจร่วม ยังแอบชื่นชมอยู่เลยเรื่องๆ การลงทุนในบริษัทโฆษณาแห่งหนึ่ง

End in mind ของผมคือ การที่มีชื่อติดอยู่ใน Major Shareholders แบบพี่ปรัชญาบ้าง หวังว่าผันของผมจะเป็นจริงครับ

พี่ปรัชญาครับ

ตั้งแต่เริ่มเล่นหุ้นมา ผมก็ไม่เคยขายหมดทุกพอร์ตเหมือนกันครับ นอกจากพอร์ตที่เล่นให้คนอื่น ผมทำมาแล้ว 3 ครั้ง เนื่องจากเจ้าของพอร์ตจำเป็นต้องใช้เงิน

ส่วนพอร์ตของผมกับภรรยาแบ่งออกเป็น 4 พอร์ตด้วยกัน มีพอร์ตยาวสุดโต่ง (ไม่เคยขายแม้แต่หุ้นเดียว) พอร์ตกลาง (ใหญ่สุดตอนนี้ ซื้อบ้างขายบ้าง แต่ซื้อเยอะกว่า) และพอร์ตทดลองครับ พอร์ตทดลองผมล้างบ่อย เพราะหุ้นส่วนมากจะเป็นหุ้นทดลองตลาด

เคยคุยกับเพื่อนที่ล้างพอร์ตหมด พวกนี้เล่นแบบเทคนิกล้วนๆครับ คือถ้าตลาดตกแน่ๆ เขาก็ขายหมดทุกราคาทุกตัวทุกหุ้น เพราะจะไปซื้อคืนที่ราคาถูกกว่า มันเป็นเหมือนเกมส์ไปเลยครับ พวกนี้เล่นตามทฤษฎีอย่างเดียว คือไม่กลัวว่าต้องซื้อแพงกว่าเดิม เพราะถือเป็นการบริหารความเสี่ยงด้านหนึ่ง (คือป้องกันการตกถล่มทลาย) โดยค่าหุ้นที่ซื้อแพงขึ้นก็เป็นค่าพรีเมี่ยมป้องกันความเสี่ยงไป (ซึ่งอาจจะไม่เสียถ้าตลาดลง)

ในระยะยาว 2-10 ปี
การลงทุน แบบ VI หรือ VS หรือ เก็งกำไร(เช่น ตามกระแส, ตามเทคนิค หรือ ลูกคลื่น แบบไหนให้ผลกำไร(ขาดทุน)โดยเฉลี่ย มากกว่ากันครับ ?

เรื่องการวัดผลนี้ ผมว่าเราน่าจะใช้วิธีของ Warren Buffettนะครับ คือแกใช้วิธี Look through Earning คือแกนำกำไรตามส่วนของบริษัทต่างๆที่แกมีอยู่มารวมกันและคำนวณว่าคุ้มกับเงินลงทุนหรือไม่ ทีนี้เราก็ทราบแล้วว่ากิจการทั้งหลายที่เราร่วมเป็นเจ้าของอยู่ดีขึ้นหรือไม่ ....โดยไม่ต้องไปสนใจราคาหุ้นครับ


ผมเองไม่เคยล้างพอร์ตจนหมดเลยครับ ผมเพียงแต่ทำความสะอาดบ้างบางเวลาที่เห็นโอกาสและเวลาสมควร

คุ้น ๆ ว่า อ.จ. นิเวศน์ เคยเขียนเกี่ยวกับ "Look through Earning" ไว้
นึกไม่ออกว่า เคยเห็นแว๊บ ๆ ที่ไหน เดี๋ยวต้องกลับไปค้นดู

ป.ล. ช่วงนี้ เห็นหุ้นคนอื่น ขึ้นเอา ๆ ทั้งพอร์ตผมเพิ่งเปลี่ยนจาก ขาดทุนมาเป็นกำไรแค่ 4.8% เอง ....

-__-"

ป.ล. เพื่อนเพิ่งบอกว่า " ไม่ขาดทุน ก็ดีหนักหนาแล้ว อย่าโลภมากนัก " ฮ่วย.. โดนว่าอีก -__-"

ขอเสริม Look Through Earning ครับ
ในความเ้ข้าใจของผมคือกำไรของบริษัทที่นำมาคิดให้ครบถ้วนทั้งตรงและอ้อม

สมมติ บริษัท A ถือหุ้นบริษัท B 20%
ปีนี้บริษัท B มี EPS=1บาท และให้ปันผล .25 บาท
และปีนี้ บริษัท A มี EPS=1บาท (รวมปันผลได้จาก B แล้ว)

ถ้าคิดแค่นี้ บริษัท A จะมีกำไรซ้อนอยู่ที่บริษัท B ในส่วนที่บริษัท B ไม่ได้ปันผลออกมา
ส่วนนี้ = 0.75 (ส่วนที่เหลือจากปันผล) x 0.2 (%หุ้น) = 0.375
ดังนั้นถ้าเป็นหลักของ Look Through Earning บริษัท A จะมีค่า BV มากกว่าที่ทางบัญชีคิดออกมา

Buffett ให้ตัวเองเป็นบริษัท A และให้บริษัทที่เขาถือหุ้นเป็น B
ดังนั้นในรายงานของเขาจะแสดงถึงความมั่งคั่งที่ซ่อนเร้นโดยใช้ Look Through Earning

อย่างไรก็ตาม Look Through Earning จะมีประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อเราถือหุ้นแบบไม่คิดจะขาย
เพราะถ้าขายเมื่อไหร่ ความมั่งคั่งที่ซ่อนอยู่ก็หายวับไปกับตา

ถ้าเป็นพอร์ตของเรา Look Through Earning น่าจะเป็นตัวบอกราคาในอนาคตกับเราเนื่องจากมันเป็นอะไรที่ยังไม่เกิด
แต่ด้วยความคิดที่ว่า สุดท้ายราคาหุ้นจะสะท้อนคุณค่าของตัวหุ้นในที่สุด Look Through Earning ก็จะแสดงผลงานของมัน

อาจจะสับสนในบรรทัดนี้
.... ส่วนนี้ = 0.75 (ส่วนที่เหลือจากปันผล) x 0.2 (%หุ้น) = 0.375

ขอเพื่มอีกนิด 0.375 เป็น ส่วนเพื่อกำไรต่อหุ้นของ B ที่ A ยังไม่ได้รับ
ถ้า A จะเอามาใช้ต้องคูณจะนวนหุ้นที่ A มี แล้วเอาจำนวนเงินมารวม
จึงจะเอาจำนวนนั้นไปหา BV หรือ EPS แบบมี Look Through

: )

คุณTHiNKแม่นมากเลยครับ ผมเคยอ่านของอ.นิเวศน์ เรื่องนี้แต่ยังไม่เข้าใจ จะกลับไปศึกษาใหม่ครับ

MR.Jลองอ่านที่เซียนหุ้นพันธุ์แท้ดูนะครับ

ขอขอบคุณทุกท่านครับ
ที่ร่วมแสดงความคิดเห็นครับ

ผมจะนำความคิดทุกข้อคิด
มาปรับปรุงตัวเอง
ซึ่งผมยังไม่นิ่งพอ
นี่ล่ะที่เขาเรียกว่าแชร์ข้อมูล
เก็บสิ่งดีๆ ไปไว้ใช้ได้ทุกท่านที่ผ่านเข้ามาอ่านครับ :lol:

ยังไม่ได้ลงทุนเลยไม่มีความเห็นครับ เข้ามาหาข้อมูลครับ

ขายหมดพอร์ตดีหรือเปล่า

ไม่เคยขายหมดเช่นกันครับเฮียปรัชญา  :lol:
หุ้นลงๆ อยากล้างพอร์ต  ราคาไม่ดี ก็อดทนถือเอา
ตั้งใจว่ารอหุ้นบูมๆ ค่อยขายทิ้ง
พอหุ้นบูม  ราคาดี ไม่อยากขายทั้งหมดอีก เกิดรักหุ้นขึ้นมา
แล้วมันก็ลงอีก วนเวียนอยู่อย่างงี้
เลยติดหุ้นอยู่อย่างนี้  :lol:

ผมก็ยังไม่เคยขายหมดพอร์ตเช่นเดียวกันครับ

ปีนี้ก็มีแค่ลดพอร์ตลงไปบ้างเท่านั้น

ก็อยากจะลองดูเหมือนกัน  ว่าความรู้สึกจะเป็นอย่างไรบ้าง

เมื่อไม่มีหุ้นในพอร์ตสักตัว  :roll:

ขอบคุณพี่ลูกอิสาณที่นำกลับมาให้อ่าน
ขอบคุณพี่ปรัชญา
และขอบคุณความเห็นของทุกท่านครับ

ผมเป็นเหมือนคุณ ต.หยวนเปียวเป๊ะเลยครับ

ฮ่า ๆ ๆ ๆ ฟังคุณ เต่าหยวนเปียว แล้วตรงใจครับ