เก็บตก งานเปิดตัวหนังสือ เล่นหุ้นในภาวะวิกฤติ ของดร.นิเวศน์
โพสต์แล้ว: พุธ ต.ค. 07, 2009 10:24 pm
งานจัดขึ้นที่ห้องสมุดมารวย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เย็นวันนี้(พุธที่ 7 ต.ค.)
มีผู้เข้าฟังเกือบร้อยคน
ดร.นิเวศน์ เล่าถึงเหตุการณ์ช่วงวิกฤติในปีที่แล้ว ด้วยความที่ดร.ถือหุ้นเต็มพอร์ทอยู่ตลอดเวลา ทำให้เมื่อหุ้นตกลงทั้งตลาด แม้จะอยากซื้อแค่ไหนก็ไม่มีเงินเหลือ จึงเป็นครั้งแรกที่เปิดบัญชีมาร์จิ้น โดยเปิดวงเงินประมาณ 10% ของพอร์ทที่มีอยู่ และ ซื้อหุ้นตามแบบ Perfect storm, Perfect stock คือ ซื้อหุ้นบริษัทที่กำลังโดนข่าวร้ายถาโถมเข้าใส่ โดยที่มีความมั่นใจว่า บริษัทนั้นจะสามารถฝ่าวิกฤติได้ ไม่ล้มไปซะก่อน
ซึ่งปีที่แล้ว ดร.ได้เอาเงินจากมาร์จิ้นมาซื้อ THAI ที่ราคาประมาณ 10 บาท จากนั้น มันก็ลงต่อไปถึง 7บาทกว่า
สำหรับประเด็นนี้ ดร.บอกว่าไม่แปลกใจที่ซื้อแล้ว หุ้นไหลลงต่อ เพราะไม่มีใครที่จะรู้จุดต่ำสุดได้อยู่แล้ว เพียงแต่มองว่ามีโอกาสกำไรมากกว่าขาดทุนมาก ก็ซื้อ เพราะถ้าพลาดโอกาสนี้ไป ไม่รู้จะมีให้ซื้ออีกหรือเปล่า
ซึ่งดร.ท่านกะว่าสัก 3 ปี เศรษฐกิจน่าจะฟื้น จึงกะระยะเวลาสำหรับการใช้มาร์จิ้นไว้คร่าวๆ
แต่เนื่องด้วยตลาดกลับทิศรวดเร็ว ดร.จึงย้ำหลายครั้งว่า ขายไปหมดแล้ว ไม่ต้องไปซื้อตาม
ส่วนมุมมอง ณ เวลานี้ ดร.มองว่าไม่มีหุ้นกลุ่มไหนที่ราคาถูก แม้หลายสำนักจะคาดการณ์ว่าหุ้นจะต้องลงในเร็วๆนี้ แต่ดร.ก็ยังยืนยันที่จะไม่ขายออก เป็นที่มาของประโยคเด็ดประจำวันนี้
สำหรับผมแล้ว การไม่ถือหุ้น 100% ถือเป็นบาป ถูกแฟนๆนำมาแซวกันหลังงาน :8)
โดยให้เหตุผลที่ไม่ขายหุ้นว่า ราคาหุ้นมีขึ้นลงเป็นธรรมดา เราควรจะมองหุ้นเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจ ตราบเท่าที่ธุรกิจยังดำเนินไปได้ดี ทำกำไรได้สม่ำเสมอ ในช่วง 5 ปีต่อจากนี้ ยังเติบโต มี durable competitive advantage เราก็ยังควรถือหุ้นต่อไป จะขายก็เมื่อเจอโอกาสการลงทุนที่ดีกว่าเท่านั้น
มุมมองเกี่ยวกับการลงทุนอื่นของดร. ยังค่อนข้างเป็นลบ
มีผู้ถามเรื่องทอง ดร.ยังเชื่อประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา 200 ปี ว่าทองเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนต่ำมาก(แค่ป้องกันเงินเฟ้อได้) และทองจะมีช่วงเวลาที่ราคาวิ่งมากเป็นพักๆ พอช่วงไม่วิ่ง ราคาก็นิ่งไปถึง 20 ปี
ที่มีผู้สนับสนุนทอง ว่ามีความต้องการมากขึ้นจากจีน หรืออินเดีย
ดร.มองว่า เป็นธรรมดาที่ทฤษฎีจำนวนมากมักมาตามหลัง เพื่ออธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คล้ายกับช่วงที่ราคาน้ำมันพุ่งสูงเมื่อปี 1980s คนก็คิดว่าน้ำมันจะต้องแพงไปตลอด แล้วสักพักมันก็กลับลงมาอยู่ในระดับต่ำไปอีกนาน จนมาราคาพุ่งแรงในปีที่ผ่านมา
ผมจำมาได้แค่นี้
มีรายการนั่งคุยกันหลังงานเลิกอีกยาว แต่ผมหิวมาก เลยแอบไปหาของกินก่อนไม่ได้อยู่ฟังจนจบ ต้องรอพี่ๆที่อยู่ฟังต่อช่วยมาเล่าให้ฟังด้วยครับ
มีผู้เข้าฟังเกือบร้อยคน
ดร.นิเวศน์ เล่าถึงเหตุการณ์ช่วงวิกฤติในปีที่แล้ว ด้วยความที่ดร.ถือหุ้นเต็มพอร์ทอยู่ตลอดเวลา ทำให้เมื่อหุ้นตกลงทั้งตลาด แม้จะอยากซื้อแค่ไหนก็ไม่มีเงินเหลือ จึงเป็นครั้งแรกที่เปิดบัญชีมาร์จิ้น โดยเปิดวงเงินประมาณ 10% ของพอร์ทที่มีอยู่ และ ซื้อหุ้นตามแบบ Perfect storm, Perfect stock คือ ซื้อหุ้นบริษัทที่กำลังโดนข่าวร้ายถาโถมเข้าใส่ โดยที่มีความมั่นใจว่า บริษัทนั้นจะสามารถฝ่าวิกฤติได้ ไม่ล้มไปซะก่อน
ซึ่งปีที่แล้ว ดร.ได้เอาเงินจากมาร์จิ้นมาซื้อ THAI ที่ราคาประมาณ 10 บาท จากนั้น มันก็ลงต่อไปถึง 7บาทกว่า
สำหรับประเด็นนี้ ดร.บอกว่าไม่แปลกใจที่ซื้อแล้ว หุ้นไหลลงต่อ เพราะไม่มีใครที่จะรู้จุดต่ำสุดได้อยู่แล้ว เพียงแต่มองว่ามีโอกาสกำไรมากกว่าขาดทุนมาก ก็ซื้อ เพราะถ้าพลาดโอกาสนี้ไป ไม่รู้จะมีให้ซื้ออีกหรือเปล่า
ซึ่งดร.ท่านกะว่าสัก 3 ปี เศรษฐกิจน่าจะฟื้น จึงกะระยะเวลาสำหรับการใช้มาร์จิ้นไว้คร่าวๆ
แต่เนื่องด้วยตลาดกลับทิศรวดเร็ว ดร.จึงย้ำหลายครั้งว่า ขายไปหมดแล้ว ไม่ต้องไปซื้อตาม
ส่วนมุมมอง ณ เวลานี้ ดร.มองว่าไม่มีหุ้นกลุ่มไหนที่ราคาถูก แม้หลายสำนักจะคาดการณ์ว่าหุ้นจะต้องลงในเร็วๆนี้ แต่ดร.ก็ยังยืนยันที่จะไม่ขายออก เป็นที่มาของประโยคเด็ดประจำวันนี้
สำหรับผมแล้ว การไม่ถือหุ้น 100% ถือเป็นบาป ถูกแฟนๆนำมาแซวกันหลังงาน :8)
โดยให้เหตุผลที่ไม่ขายหุ้นว่า ราคาหุ้นมีขึ้นลงเป็นธรรมดา เราควรจะมองหุ้นเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจ ตราบเท่าที่ธุรกิจยังดำเนินไปได้ดี ทำกำไรได้สม่ำเสมอ ในช่วง 5 ปีต่อจากนี้ ยังเติบโต มี durable competitive advantage เราก็ยังควรถือหุ้นต่อไป จะขายก็เมื่อเจอโอกาสการลงทุนที่ดีกว่าเท่านั้น
มุมมองเกี่ยวกับการลงทุนอื่นของดร. ยังค่อนข้างเป็นลบ
มีผู้ถามเรื่องทอง ดร.ยังเชื่อประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา 200 ปี ว่าทองเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนต่ำมาก(แค่ป้องกันเงินเฟ้อได้) และทองจะมีช่วงเวลาที่ราคาวิ่งมากเป็นพักๆ พอช่วงไม่วิ่ง ราคาก็นิ่งไปถึง 20 ปี
ที่มีผู้สนับสนุนทอง ว่ามีความต้องการมากขึ้นจากจีน หรืออินเดีย
ดร.มองว่า เป็นธรรมดาที่ทฤษฎีจำนวนมากมักมาตามหลัง เพื่ออธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คล้ายกับช่วงที่ราคาน้ำมันพุ่งสูงเมื่อปี 1980s คนก็คิดว่าน้ำมันจะต้องแพงไปตลอด แล้วสักพักมันก็กลับลงมาอยู่ในระดับต่ำไปอีกนาน จนมาราคาพุ่งแรงในปีที่ผ่านมา
ผมจำมาได้แค่นี้
มีรายการนั่งคุยกันหลังงานเลิกอีกยาว แต่ผมหิวมาก เลยแอบไปหาของกินก่อนไม่ได้อยู่ฟังจนจบ ต้องรอพี่ๆที่อยู่ฟังต่อช่วยมาเล่าให้ฟังด้วยครับ