'ล้วง-ลับ' วิธีรวยหุ้น..ฉบับ 'เซียนพันล้าน'
โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 21, 2009 11:06 am
'ล้วง-ลับ' วิธีรวยหุ้น..ฉบับ 'เซียนพันล้าน'
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th) Monday, September 21, 2009 10:27 50053 XTHAI XGEN IKEY V%NETNEWS P%WKT
"ผมอ่านหนังสือของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ไม่ต่ำกว่า 10 รอบ และเริ่มเปลี่ยนสไตล์มาเป็นแวลูอินเวสเตอร์ เดี๋ยวนี้รู้สึกดีที่พักหลังๆ เริ่มมีคนฟังคำแนะนำของผมมากขึ้น มีคนถามมากกว่าอะไรทำให้เปลี่ยนมาลงทุนแนวนี้ ผมมักตอบเสมอว่าเป็นเพราะหนังสือ ของวอร์เรน บัฟเฟตต์" เสี่ยปู่เล่าที่มาที่ไป สำหรับเคล็ดลับพิชิตหุ้นสุตรแวลูอินเวสเตอร์รายนี้ มีหลักการพิจารณา 3 ข้อหลักๆ คือ
1.ดูปัจจัยพื้นฐานของบริษัทที่จะลงทุนอย่างละเอียด โดยจะเน้นเป็นพิเศษคือ "งบการเงิน" บริษัทที่มีฐานะทางการเงินดีจะเป็นตัวบ่งบอกทิศทางราคาหุ้นได้ค่อนข้างชัดเจน "ผมจะย้อนดูว่าบริษัทนี้มีกำไรเติบโตต่อเนื่องหรือไม่ และมองต่อไปว่าบริษัทนี้ผลการดำเนินงานมีโอกาสเติบโตได้ในระดับ 20% หรือไม่"
2.ดูบริษัทที่หุ้นมีราคาต่ำกว่ามูลค่าหุ้นตามบัญชี (ราคาต่ำกว่าส่วนของเจ้าของ) ถ้าผลการดำเนินงานของบริษัทนั้นมีทิศทางการเติบโตที่ดีแต่ราคาหุ้นยังซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าหุ้นตามบัญชี หุ้นตัวนั้นก็ยิ่งน่าสนใจ (แวลูอินเวสเตอร์จะบอกว่าหุ้นนั้นมี Margin of Safety)
3.จะดูลักษณะกิจการและดูรายรับต้องมากกว่ารายจ่าย (ความสามารถในการสร้างกระแสเงินสด หรือ EBITDA) เพราะจะเป็นตัวชี้ว่าถึงสิ้นปีนี้บริษัทนี้จะสามารถจ่ายเงินปันผลได้ในระดับเท่าใด "ผมเชื่อว่าหลักการเพียงเท่านี้ก็ทำกำไรได้แล้ว ผมจะแฮปปี้มากถ้าหุ้นที่ลงทุนให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลได้ประมาณ 10% ถ้าได้ขนาดนี้จะถือยาวไม่ยอมปล่อย"
ส่วนหุ้นที่จะโฟกัสเป็นพิเศษโดยเฉพาะการลงทุนหลังวิกฤติยังคงนโยบายเดิมคือ ลงทุนหุ้น "เทิร์นอะราวด์" (ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นขนาดกลาง) อย่างตอนนี้เล็งหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เอาไว้ ที่สนใจคือ CCET และ SVI สองตัวนี้ธุรกิจค่อนข้างน่าสนใจและราคาหุ้นยังต่ำกว่ามูลค่าหุ้นทางบัญชี หุ้น SVI แนวโน้มผลประกอบการน่าจะเติบโตได้ต่อเนื่องบริษัทนี้ทีมผู้บริหารเขาเก่ง ปัจจุบันก็ได้ทยอยเก็บสะสมหุ้นไปบ้างแล้ว โดยได้ซื้อหุ้น CCET ที่ราคา 2.50 บาท ถือเป็นต้นทุนที่ไม่สูงและไม่ต่ำเกินไป เพราะเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาเคยลงไป 10 บาท แต่ตอนนี้เข้าไปซื้อไม่ทันส่วนหุ้น SVI มีต้นทุนแถวๆ 2 บาท
นอกจากนี้ยังสนใจหุ้น OH มองว่ากำไรสุทธิยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง แต่หุ้นตัวนี้ยอมรับตรงๆ ว่า "พลาดบ่อย" ขายถูกทุกที อีกตัวที่ชอบคือหุ้น PS ตัวนี้ผลประกอบการเพิ่มขึ้นทุกปี
ส่วนหุ้นดาวเด่นในพอร์ต "อันดับหนึ่ง" ต้องยกนิ้วให้หุ้น LPN ปัจจุบันถืออยู่ 34.48 ล้านหุ้น สัดส่วน 2.34% เชื่อว่าจะได้รับผลตอบแทนจากเงินปันผลมากกว่า 10% ตราบใดที่บริษัทยังสามารถ สร้างผลกำไรได้มากขึ้น อีกไม่นานราคาหุ้นก็จะวิ่งขึ้นมาเอง "ผมชอบหุ้น LPN มากถึงขนาดมีความคิดว่า ถ้าราคาหุ้นตกต่ำกว่า 5 บาท จะทยอยขายหุ้น PRIN ที่ถืออยู่ 11.26% มาซื้อหุ้น LPN เพิ่ม เพราะถ้าเทียบประสิทธิภาพการทำกำไรจะพบว่า LPN มีภาษีเหนือกว่า
ที่ผ่านมาการลงทุนในหุ้น PRIN และ RPC ผมถือเป็นความผิดพลาดครั้งสำคัญ เพราะเคยคิดว่าจะได้กำไรแต่สุดท้ายก็ขาดทุน แต่ไม่มากเท่าไรยังพอรับได้"
ตัวที่สองที่ชอบคือหุ้น MINT ปัจจุบันถืออยู่ 20.19 ล้านหุ้น สัดส่วน 0.62% เสี่ยปู่ให้เหตุผลว่าหุ้นตัวนี้มีสภาพคล่องดี ถึงผู้บริหารจะประกาศว่าในปี 2552 กำไรสุทธิมีแนวโน้มเติบโตต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี เพราะธุรกิจโรงแรมเป็นตัวฉุดกำไร แต่ราคาหุ้น MINT ก็ยังขึ้นได้จาก 8 บาท ไปที่ 12 บาท "ผมตั้งใจจะถือหุ้น MINT อีก 1-2 ปีหากเศรษฐกิจฟื้นตัวชัดเจนและการเมืองเริ่มนิ่ง เชื่อว่าราคาหุ้นมีโอกาสทำ "จุดสูงสุด" ครั้งใหม่ได้ หุ้นตัวนี้ผมถือต้นทุนต่ำมาก 2.50 บาท"
อันดับสามที่ชอบคือหุ้น SIS ปัจจุบันถืออยู่ 10.20 ล้านหุ้น สัดส่วน 5.02% ถ้าตรวจสอบประวัติการจ่ายเงินปันผลตั้งแต่ปี 2548-2551 บริษัทนี้จ่ายสูงขึ้นต่อเนื่อง "ในปี 2552 หุ้น SIS มีแนวโน้มจะจ่ายเงินปันผลประมาณ 0.45 บาท ต้นทุนเฉลี่ยของผมอยู่ที่ 2.70 บาท แต่ราคาหุ้นซื้อขาย 6.50 บาท"
4 ต้องยกให้หุ้น MFEC เสี่ยปู่บอกว่า หุ้นตัวนี้จ่ายเงินปันผลสูงมาตลอด ยกเว้นปี 2551 ที่จ่าย 0.45 บาท คาดว่าในปี 2552 จะปันผล 0.45-0.50 บาท ขณะเดียกันบริษัทยังใช้เงินลงทุน ต่อปีต่ำมาก ต้นทุนเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 4 บาท
"อันดับ 5 คือหุ้น AEONTS ถืออยู่ 1.24% ผมถือว่าหุ้นตัวนี้น่าสนใจมากเพราะกำไรขยายตัวต่อเนื่อง แต่หุ้นมีสภาพคล่องต่ำมากทำให้ไม่สามารถหาซื้อหุ้นในกระดานได้ ถ้ามีคนขายออกมาแล้วราคาหุ้นไม่สูงเกินไป ผมก็สนใจจะเข้าไปเก็บเพิ่ม"
หุ้นอีกตัวที่เสี่ยปู่พูดถึงคือหุ้น CPF ลงทุน ไม่นานแต่ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำเจ้าตัวเล่าว่า ซื้อเก็บไว้แล้ว 30 ล้านหุ้น ต้นทุนเฉลี่ย 3 บาทกว่า ปัจจุบันขึ้นไป 7 บาทแล้ว ในปีนี้กำไรสุทธิมีโอกาสขยายตัวประมาณ 20% หลังจากบริษัทหันมาเน้นธุรกิจอาหารพร้อมรับประทานเพราะมีมาร์จินดีกว่าธุรกิจอาหารสด ตรงนี้คือ "จุดหักเห" ของหุ้น เสี่ยปู่ประเมินว่าหุ้น CPF มีโอกาสขึ้นไป 8-9 บาท เสี่ยปู่ให้ข้อคิดปิดท้ายว่า ทุกวิกฤติย่อมมาพร้อมกับโอกาสเสมอ อยู่ที่ว่าใครจะจังหวะถูกและกล้าเข้าไปซื้อหรือไม่ คนที่จะพลิกวิกฤติเป็นโอกาสได้ต้องทำการบ้านสม่ำเสมอและแม่นในข้อมูล--จบ-- ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th) Monday, September 21, 2009 10:27 50053 XTHAI XGEN IKEY V%NETNEWS P%WKT
"ผมอ่านหนังสือของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ไม่ต่ำกว่า 10 รอบ และเริ่มเปลี่ยนสไตล์มาเป็นแวลูอินเวสเตอร์ เดี๋ยวนี้รู้สึกดีที่พักหลังๆ เริ่มมีคนฟังคำแนะนำของผมมากขึ้น มีคนถามมากกว่าอะไรทำให้เปลี่ยนมาลงทุนแนวนี้ ผมมักตอบเสมอว่าเป็นเพราะหนังสือ ของวอร์เรน บัฟเฟตต์" เสี่ยปู่เล่าที่มาที่ไป สำหรับเคล็ดลับพิชิตหุ้นสุตรแวลูอินเวสเตอร์รายนี้ มีหลักการพิจารณา 3 ข้อหลักๆ คือ
1.ดูปัจจัยพื้นฐานของบริษัทที่จะลงทุนอย่างละเอียด โดยจะเน้นเป็นพิเศษคือ "งบการเงิน" บริษัทที่มีฐานะทางการเงินดีจะเป็นตัวบ่งบอกทิศทางราคาหุ้นได้ค่อนข้างชัดเจน "ผมจะย้อนดูว่าบริษัทนี้มีกำไรเติบโตต่อเนื่องหรือไม่ และมองต่อไปว่าบริษัทนี้ผลการดำเนินงานมีโอกาสเติบโตได้ในระดับ 20% หรือไม่"
2.ดูบริษัทที่หุ้นมีราคาต่ำกว่ามูลค่าหุ้นตามบัญชี (ราคาต่ำกว่าส่วนของเจ้าของ) ถ้าผลการดำเนินงานของบริษัทนั้นมีทิศทางการเติบโตที่ดีแต่ราคาหุ้นยังซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าหุ้นตามบัญชี หุ้นตัวนั้นก็ยิ่งน่าสนใจ (แวลูอินเวสเตอร์จะบอกว่าหุ้นนั้นมี Margin of Safety)
3.จะดูลักษณะกิจการและดูรายรับต้องมากกว่ารายจ่าย (ความสามารถในการสร้างกระแสเงินสด หรือ EBITDA) เพราะจะเป็นตัวชี้ว่าถึงสิ้นปีนี้บริษัทนี้จะสามารถจ่ายเงินปันผลได้ในระดับเท่าใด "ผมเชื่อว่าหลักการเพียงเท่านี้ก็ทำกำไรได้แล้ว ผมจะแฮปปี้มากถ้าหุ้นที่ลงทุนให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลได้ประมาณ 10% ถ้าได้ขนาดนี้จะถือยาวไม่ยอมปล่อย"
ส่วนหุ้นที่จะโฟกัสเป็นพิเศษโดยเฉพาะการลงทุนหลังวิกฤติยังคงนโยบายเดิมคือ ลงทุนหุ้น "เทิร์นอะราวด์" (ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นขนาดกลาง) อย่างตอนนี้เล็งหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เอาไว้ ที่สนใจคือ CCET และ SVI สองตัวนี้ธุรกิจค่อนข้างน่าสนใจและราคาหุ้นยังต่ำกว่ามูลค่าหุ้นทางบัญชี หุ้น SVI แนวโน้มผลประกอบการน่าจะเติบโตได้ต่อเนื่องบริษัทนี้ทีมผู้บริหารเขาเก่ง ปัจจุบันก็ได้ทยอยเก็บสะสมหุ้นไปบ้างแล้ว โดยได้ซื้อหุ้น CCET ที่ราคา 2.50 บาท ถือเป็นต้นทุนที่ไม่สูงและไม่ต่ำเกินไป เพราะเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาเคยลงไป 10 บาท แต่ตอนนี้เข้าไปซื้อไม่ทันส่วนหุ้น SVI มีต้นทุนแถวๆ 2 บาท
นอกจากนี้ยังสนใจหุ้น OH มองว่ากำไรสุทธิยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง แต่หุ้นตัวนี้ยอมรับตรงๆ ว่า "พลาดบ่อย" ขายถูกทุกที อีกตัวที่ชอบคือหุ้น PS ตัวนี้ผลประกอบการเพิ่มขึ้นทุกปี
ส่วนหุ้นดาวเด่นในพอร์ต "อันดับหนึ่ง" ต้องยกนิ้วให้หุ้น LPN ปัจจุบันถืออยู่ 34.48 ล้านหุ้น สัดส่วน 2.34% เชื่อว่าจะได้รับผลตอบแทนจากเงินปันผลมากกว่า 10% ตราบใดที่บริษัทยังสามารถ สร้างผลกำไรได้มากขึ้น อีกไม่นานราคาหุ้นก็จะวิ่งขึ้นมาเอง "ผมชอบหุ้น LPN มากถึงขนาดมีความคิดว่า ถ้าราคาหุ้นตกต่ำกว่า 5 บาท จะทยอยขายหุ้น PRIN ที่ถืออยู่ 11.26% มาซื้อหุ้น LPN เพิ่ม เพราะถ้าเทียบประสิทธิภาพการทำกำไรจะพบว่า LPN มีภาษีเหนือกว่า
ที่ผ่านมาการลงทุนในหุ้น PRIN และ RPC ผมถือเป็นความผิดพลาดครั้งสำคัญ เพราะเคยคิดว่าจะได้กำไรแต่สุดท้ายก็ขาดทุน แต่ไม่มากเท่าไรยังพอรับได้"
ตัวที่สองที่ชอบคือหุ้น MINT ปัจจุบันถืออยู่ 20.19 ล้านหุ้น สัดส่วน 0.62% เสี่ยปู่ให้เหตุผลว่าหุ้นตัวนี้มีสภาพคล่องดี ถึงผู้บริหารจะประกาศว่าในปี 2552 กำไรสุทธิมีแนวโน้มเติบโตต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี เพราะธุรกิจโรงแรมเป็นตัวฉุดกำไร แต่ราคาหุ้น MINT ก็ยังขึ้นได้จาก 8 บาท ไปที่ 12 บาท "ผมตั้งใจจะถือหุ้น MINT อีก 1-2 ปีหากเศรษฐกิจฟื้นตัวชัดเจนและการเมืองเริ่มนิ่ง เชื่อว่าราคาหุ้นมีโอกาสทำ "จุดสูงสุด" ครั้งใหม่ได้ หุ้นตัวนี้ผมถือต้นทุนต่ำมาก 2.50 บาท"
อันดับสามที่ชอบคือหุ้น SIS ปัจจุบันถืออยู่ 10.20 ล้านหุ้น สัดส่วน 5.02% ถ้าตรวจสอบประวัติการจ่ายเงินปันผลตั้งแต่ปี 2548-2551 บริษัทนี้จ่ายสูงขึ้นต่อเนื่อง "ในปี 2552 หุ้น SIS มีแนวโน้มจะจ่ายเงินปันผลประมาณ 0.45 บาท ต้นทุนเฉลี่ยของผมอยู่ที่ 2.70 บาท แต่ราคาหุ้นซื้อขาย 6.50 บาท"
4 ต้องยกให้หุ้น MFEC เสี่ยปู่บอกว่า หุ้นตัวนี้จ่ายเงินปันผลสูงมาตลอด ยกเว้นปี 2551 ที่จ่าย 0.45 บาท คาดว่าในปี 2552 จะปันผล 0.45-0.50 บาท ขณะเดียกันบริษัทยังใช้เงินลงทุน ต่อปีต่ำมาก ต้นทุนเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 4 บาท
"อันดับ 5 คือหุ้น AEONTS ถืออยู่ 1.24% ผมถือว่าหุ้นตัวนี้น่าสนใจมากเพราะกำไรขยายตัวต่อเนื่อง แต่หุ้นมีสภาพคล่องต่ำมากทำให้ไม่สามารถหาซื้อหุ้นในกระดานได้ ถ้ามีคนขายออกมาแล้วราคาหุ้นไม่สูงเกินไป ผมก็สนใจจะเข้าไปเก็บเพิ่ม"
หุ้นอีกตัวที่เสี่ยปู่พูดถึงคือหุ้น CPF ลงทุน ไม่นานแต่ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำเจ้าตัวเล่าว่า ซื้อเก็บไว้แล้ว 30 ล้านหุ้น ต้นทุนเฉลี่ย 3 บาทกว่า ปัจจุบันขึ้นไป 7 บาทแล้ว ในปีนี้กำไรสุทธิมีโอกาสขยายตัวประมาณ 20% หลังจากบริษัทหันมาเน้นธุรกิจอาหารพร้อมรับประทานเพราะมีมาร์จินดีกว่าธุรกิจอาหารสด ตรงนี้คือ "จุดหักเห" ของหุ้น เสี่ยปู่ประเมินว่าหุ้น CPF มีโอกาสขึ้นไป 8-9 บาท เสี่ยปู่ให้ข้อคิดปิดท้ายว่า ทุกวิกฤติย่อมมาพร้อมกับโอกาสเสมอ อยู่ที่ว่าใครจะจังหวะถูกและกล้าเข้าไปซื้อหรือไม่ คนที่จะพลิกวิกฤติเป็นโอกาสได้ต้องทำการบ้านสม่ำเสมอและแม่นในข้อมูล--จบ-- ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ