คิดอย่างวอร์เรน บัฟเฟต:ValueWay วิบูลย์ พึงประเสริฐ
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ย. 18, 2009 1:28 am
Value Way ฉบับวันที่ 21 กันยายน 2552
โดยวิบูลย์ พึงประเสริฐ
คิดอย่างวอร์เรน บัฟเฟต
วอร์เรน บัฟเฟตใฟ้สัมภาษณ์ล่าสุดเมื่อวันที่ 15 กันยายนที่ผ่านมาเกี่ยวกับมุมมองต่อภาวะปัจจุบันของวิกฤติเศรษฐกิจ เป็นสิ่งที่น่าสนใจติดตามว่าเขามีความคิดเห็นอย่างไรบ้างในช่วงเวลานี้
ถาม: ตอนนี้หลายคนบอกว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐอเมริกาได้จบลงแล้ว คุณมีความคิดเห็นว่าอย่างไรบ้าง
บัฟเฟต: ผมคงไม่รู้คำตอบของคำถามนี้ เพราะผมไม่ใช่กูรูทางด้านเศรษฐศาสตร์ ที่แท้จริงผมไม่ค่อยได้กังวลในเรื่องของเศรษฐกิจสักเท่าไหร่ จริงๆแล้วเราเพิ่งซื้อหุ้นเมื่อเช้านี้เอง แต่เราซื้อหุ้นไม่ใช่เพราะคิดว่าเรากำลังจะหลุดจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในอีกสามเดือนหกเดือนหรือหนึ่งปีข้างหน้า เราซื้อหุ้นเพราะมันมีมูลค่าที่ดีในระยะยาว ผมว่าข้อผิดพลาดของนักลงทุนส่วนใหญ่คือมักจะสนใจในการทำนายผลประกอบการของบริษัทมากกว่าสนใจในมูลค่าที่แท้จริง สำหรับธุรกิจของเบริคไชน์แล้ว เรายังมองไม่เห็นการฟื้นตัวของธุรกิจ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่มีสัญญานของการถดถอยเพิ่มขึ้น
ถาม: แสดงว่าคุณยังไม่เห็นสัญญานการฟื้นตัวของธุรกิจของเบริ์คไชน์ตั้งแต่ธุรกิจเสื้อผ้า เฟอร์นิเจอร์จนถึงธุรกิจประกันใช่ไหม
บัฟเฟต: ใช่ เรายังไม่เห็นการฟื้นตัวของธุรกิจเหล่านี้ยกเว้นตลาดของอสังหาริมทรัพย์ ยอดขายของธุรกิจอื่นๆยังไม่ได้เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด
ถาม: คุณคิดว่าเรากำลังอยู่ในช่วงเศรษฐกิจทรงตัวใช่ไหม
บัฟเฟต: เราไม่รู้หรอกว่าเมื่อไหร่เศรษฐกิจจะฟื้นตัวขึ้นมากกว่านี้ ตลาดอสังหาตอนนี้ดูดีกว่าปีที่แล้ว ยอดขายพรมของเราดีขึ้น แต่ยอดขายเฟอร์นิเจอร์ไม่ได้กระเตื้องขึ้นเลย
ถาม: วันนี้เป็นวันครบรอบหนึ่งปีที่เลห์แมน บราเดอร์ล้มละลาย คุณคิดว่าเราได้บทเรียนอะไรจากวิกฤติคราวนี้บ้าง
บัฟเฟต: เราประสบปัญหาฟองสบู่ขนาดยักษ์ในตลาดอสังหาริมทรัพย์์และส่งผลกระทบไปทั่วโลก ผู้คนอยู่ในความเพ้อฝันที่ว่าราคาบ้านมีแต่จะเพิ่มขึ้น รวมถึงคนในวงการธนาคารและประกันด้วย แต่ก่อนเราเคยคิดกันว่าเมื่อสถาบันการเงินขนาดใหญ่สักแห่งล้มลงจะเกิดปรากฏการณ์โดมิโน และปีที่แล้วเหตุการณ์โดมิโนได้เกิดขึ้นจริงๆ และเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก ดังนั้นในอนาคตเราควรจะมีระบบที่คอยควบคุมให้ผู้บริการสถาบันการเงินเหล่านั้นต้องรับผิดชอบด้วยถ้าการบริหารเงินทุนเกิดผลเสียต่อบริษัท ไม่ใช่ได้ประโยชน์แต่อย่างเดียว
ถาม: แล้วคุณคิดว่าจะทำอย่างที่คุณว่าได้จริงๆหรือ
บัฟเฟต: ผมคิดว่ามันคงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่สิ่งที่น่าจะเปลี่ยนได้คือการทำให้ผู้บริการสถาบันการเงินเหล่านั้นดำเนินธุรกิจให้ดีขึ้น โดยมองถึงผลบวกและผลลบของการตัดสินใจในการทำธุรกิจ ไม่ใช่ดูแต่ด้านบวกเพียงอย่างเดียว เราได้บทเรียนจากการแห่ตามกันของฝูงชนมาแล้ว ทุกคนคิดว่าราคาบ้านมีแต่จะเพิ่มขึ้น ทุกคนมองแต่ด้านดีโดยไม่ได้นึกว่าผลลบของมันเป็นอย่างไร เราทำตามเพื่อนบ้านหรือคนอื่นๆที่ทำเงินได้มากมายอย่างง่ายๆ พวกเราสร้างฟองสบู่ลูกนี้ขึ้นมาเอง และเรื่องราวการตามฝูงชนแบบนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไรเลย.ไม่ใช่เรื่องใหม่เลย