หน้า 1 จากทั้งหมด 1

จาก "กับดักสภาพคล่อง" สู่ "กับดักเคนส์"

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.ย. 17, 2009 11:43 am
โดย อะไรดีละ
จาก กับดักสภาพคล่อง สู่ กับดักเคนส์
เราหลายคนคงรู้จัก กับดักสภาพคล่อง (Liquidity Trap) เป็นอย่างดี  โดยทฤษฎีของเคนส์ได้กล่าวในเรื่องนี้ไว้ว่า  สภาพที่แม้จะมีการลดอัตราดอกเบี้ยจนถึงระดับเกือบศูนย์  แต่ก็ยังผู้คนก็ยังไม่กล้าจับจ่ายใช้สอย  ไม่กล้าลงทุนอยู่ดี   จึงเกิดสภาพคล่องที่ล้นเกินอย่างมาก  ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดได้ในสภาพเศรษฐกิจที่ตกต่ำอย่างรุนแรง  กรณีของ Great Depression ในอดีต
จนเมื่อจอห์น เมนาร์ด เคนส์ ได้เสนอวิธีการให้รัฐบาลกู้เงินมาเพื่อใช้จ่ายงบประมาณขาดดุล  สร้างอุปสงค์รวมเพื่อดึงให้เศรษฐกิจพ้นภาวะตกต่ำ  คือให้รัฐบาลให้จ่ายเงินแทนภาคเอกชนไปก่อน  ประเทศต่างๆ ก็เห็นดีเห็นงามกันไปหมด  แม้จะเป็นการสร้างหนี้สาธารณะ   เพราะวิธีนี้จะช่วยแก้ไขปัญหาภาวะว่างงานซึ่งอาจเชื่อมโยงต่อเป็นปัญหาสังคมได้    
อย่างไรก็ดี  การใช้นโยบายการคลังแบบนี้อย่างต่อเนื่อง  ประเทศต่างๆ จะเสพติดนโยบายการคลังขาดดุลจนไม่สามารถจะหยุดได้  เพราะ เมื่อคิดจะหยุดวิธีนี้  โดยการชะลอการใช้จ่ายของภาครัฐ  หรือ คิดจะขึ้นภาษี  เศรษฐกิจก็จะทรุดตัวลงอีกครั้งทันที    ดังนั้นเมื่อเสพติดมากๆ  หนี้สาธารณะก็จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่ายๆ   สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ของญี่ปุ่นได้เพิ่มจากระดับ 65% เป็น 200% ภายในเวลา 17 ปี  เฉลี่ยแล้ว ญี่ปุ่นสร้างหนี้เฉลี่ยปีละ 8% GDP เพื่อพยุงให้เศรษฐกิจเติบโตได้ปีละ 1-2% เท่านั้น   นั่นหมายความว่าอันที่จริงแล้ว  สำหรับภาคเอกชนนั้นเศรษฐกิจญี่ปุ่นเข้าสู่ภาวะถดถอยนานมาแล้ว  
การตกอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถที่จะหาทางออกได้  นอกจากการเพิ่มหนี้สาธารณะและโยนภาระนี้ให้กับคนรุ่นถัดไปเช่นนี้เองที่ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก  เรียกว่า กับดักเคนส์ (Keynes Trap) ยกตัวอย่างเช่น   ประเทศอเมริกานั้นก็ใช้การขาดดุลการคลังถึง 12% GDP แต่ก็แค่พยุงให้เศรษฐกิจติดลบเล็กน้อยเท่านั้น  ประเทศอังกฤษและยุโรปก็ไม่ต่างกันมากนัก     ประเทศเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ติด กับดักเคนส์ มาได้ 2 ปีเมื่อเทียบกับญี่ปุ่นที่ติด กับดักเคนส์ นานถึง 17 ปีแล้ว  
หากดำเนินวิธีการตาม สำนักคลาสสิค คือรัฐบาลไม่ต้องเข้าแทรกแซงใดๆ  ก็จะติด กับดักสภาพคล่อง  เศรษฐกิจก็จะตกต่ำต่อไป   รัฐบาลทั่วโลกไม่มีใครชอบวิธีนี้  จึงหันมาใช้แนวคิดของ สำนักเคนส์  ซึ่งก็จะติด กับดักเคนส์ นั่นเอง  แล้วจะมีวิธีซึ่งเป็นทางออกให้ไม่ต้องติดกับดักทั้ง 2 นี้ได้ไหม
ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ไท้เก๊กได้เสนอให้ใช้หลักการ ยืมพลัง ของ เจ้าหนี้ ซึ่งเป็นผู้ทีแข็งแกร่งทางการเงินมากกว่า ลูกหนี้ ซึ่งปัจจุบันรับภาระหนักอยู่
มองในระดับโลกก็คือ จีนซึ่งเป็น เจ้าหนี้ ของการค้าโลกที่ได้ดุลการค้า ดุลบัญชีเดินสะพัด จำนวนมหาศาลแต่ละปี  และยังมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศสะสมถึง 2 ล้านล้านเหรียญ สรอ. โดยจีนได้ปรับค่าเงินลงมา 33% ในปี 2538 จากระดับ 5.8 หยวนต่อ 1 เหรียญ เป็นอัตราที่ 8.3 หยวน ต่อ 1เหรียญ สรอ.  ซึ่งเหตุการณ์นั้นเอง  ทำให้ไทยสูญเสียการแข่งขันทางการส่งออกโดยสิ้นเชิง  ภายใต้นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนคงที่กับเงินเหรียญ สรอ.  ระดับ 25 บาทต่อ 1 เหรียญสรอ. นั้นไม่สามารถจะแข่งขันกับสินค้าที่ผลิตจากจีนได้เลย  นี่เป็นตัวจุดชนวนสำคัญที่ทำให้ไทยจำเป็นต้อง ลดค่าเงิน จนเชื่อมโยงไปถึง วิกฤติต้มยำกุ้ง ในที่สุดในเวลา 2 ปีต่อมา   การที่จีนดำเนินนโยบายโดยไม่คำนึงถึงเพื่อนบ้านซึ่งขายสินค้าคล้ายกันเช่นนั้น  ได้ส่งผลเสียหายต่อวิกฤติค่าเงินของเอเชียในเวลาต่อมานั่นเอง  แม้ภายหลังค่าเงินหยวนจะแข็งค่าขึ้นบ้าง  แต่จีนยังคงได้ดุลการค้ามหาศาลต่อไป  ซึ่งเรื่องนี้ควรจะได้มีการถกกันอย่างจริงจังเพื่อสร้างสมดุลการค้าให้กับโลก
ดังนั้น อเมริกา ซึ่งเป็น ลูกหนี้ ของโลก  ไม่ควรจะรับภาระหนักอีกต่อไปในการสร้างอุปสงค์ให้กับโลก  แต่ควรให้ จีนรับบทบาทนี้แทน  หากจีนสามารถขึ้นค่าเงินให้แข็งอย่างเร็ว 20-25% ก็จะเหมือนสร้างอุปสงค์ใหม่ราว 1 ล้านล้านเหรียญ สรอ.  ซึ่งเป็นขนาดของประเทศไทยราว 4 ประเทศที่เหมือนเกิดขึ้นมาใหม่   คนจีนรวยขึ้นนำเข้าสินค้ามากขึ้นไปเที่ยวมากขึ้น และ สินค้าของอาเซียนอย่างไทยจะส่งออกไปแข่งขันในประเทศพัฒนาแล้วต่างๆ ได้ดีขึ้น   เป็นการช่วยเหลือเศรษฐกิจทั้งโลก  
เมื่อมองในระดับแต่ละประเทศก็เห็นว่า  รัฐบาลซึ่งเป็นลูกหนี้  ไม่ควรแบกรับภาระในการกระตุ้นเศรษฐกิจจนเกินไป  เพราะภาระการจ่ายดอกเบี้ยพันธบัตร  รวมกับ ภาระการประกันสังคม  ทั้งประกันสุขภาพ และ เบี้ยบำนาญคนชรานั้นหนักหนาสาหัสนัก  มีแนวโน้มว่าหนี้สาธารณะต่อ GDP จะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจนหยุดไม่ได้  อเมริกาและอังกฤษ จะมีค่านี้สูงกว่า 100% ภายใน 2 ปี  และ ภายในเวลา 15 ปี ค่านี้จะยืนสูงกว่า 200%  คล้ายๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในญี่ปุ่น  หากไม่มีการปฏิรูปการคลังอย่างเป็นรูปธรรม
รัฐบาลควรจะให้ เจ้าหนี้ รายใหญ่ซึ่งก็คือ กองทุนบำนาญ ผู้ถือพันบัตรรัฐบาลเป็นส่วนใหญ่นั้นแบกรับภาระในการกระตุ้นเศรษฐกิจก็น่าจะเป็นเรื่องที่เหมาะสมมากกว่า  อย่างกรณีของกองทุนชราภาพของประกันสังคมนั้น   ผู้ประกันตนส่วนใหญ่ติดหนี้สินดอกเบี้ยโหดทั้งในและนอกระบบอยู่แล้ว  การที่มือข้างหนึ่งออมไว้ได้ 5% ต่อปี และ กู้ยืมด้วยเงินยอดเดียวกันที่ 28% ต่อปีขึ้นไป  มีแต่ทำให้ผู้ประกันตนจนลงๆ ตลอดเวลาด้วยผลต่างของอัตราผลตอบแทนนั่นเอง
Exit Strategy คือทางออกที่หลายๆ ประเทศกำลังแสวงหา  นโยบายการเงิน  นโยบายการคลัง  ทำไปแล้วก็จะติดกับดักสภาพคล่อง และ กับดักเคนส์   ถึงเวลาแล้วหรือไม่ที่ควรจะแสวงหากรอบแนวคิดใหม่เพื่อให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้โดยไม่ติดกับดักทั้ง 2 นี้   ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก (Taiji Economics) อาจเป็นทางออกนั้นครับ   :)

จาก "กับดักสภาพคล่อง" สู่ "กับดักเคนส์"

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ต.ค. 04, 2009 9:18 am
โดย นักดูดาว
จากไทยเข้มแข็งสู่ไทยอ่อนแอ


โครงการ แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ที่ นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพิ่งกดปุ่มปล่อยเงิน 2 แสนล้านบาท ไปเมื่อวันศุกร์ ที่แล้ว เม็ดเงินกระจุกตัวอยู่แค่ 4 กระทรวงหลัก ของ สองพรรคการเมืองใหญ่ ถูกนักวิชาการเศรษฐศาสตร์ กลุ่มโพลิซี วอช ค่ายธรรมศาสตร์ ผ่าแผนออกมาวิเคราะห์ ชี้ให้เห็นจุดอ่อนเต็มไปหมด แถมยังไร้ ภูมิคุ้มกันอีกต่างหาก

เป็นการวิเคราะห์เนื้องานล้วนๆ ซึ่งผมขอชื่นชมไว้ตรงนี้ ไม่ใช่วิเคราะห์ เพื่อสอพลอนักการเมืองคนใด เหมือนนักวิชาการมีปลอกคอในช่วงที่ผ่านมา

คุณปัทมาวดี ซูซูกิ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ชี้ว่า ตาม แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข้ง ที่รัฐบาลวางไว้ อาจทำให้ประเทศมีความเสี่ยง และไม่สามารถเติบโตอย่างยั่งยืนได้ในระยะต่อไป เพราะ ไม่มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการขยายตัวเศรษฐกิจจากภายในประเทศ

การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในอนาคต ยังต้องพึ่งการส่งออกและ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นหลัก เมื่อครบ 3 ปี เม็ดเงิน 1.43 ล้านล้านบาท จากโครงการไทยเข้มแข็งหมดไปแล้ว แต่โครงสร้างเศรษฐกิจไทยก็ยังเหมือนเดิม (ต้องพึ่งการส่งออกร้อยละ 70 ของจีดีพี) รัฐบาลใน อนาคตอาจไม่มีรายได้เพียงพอที่จะชำระหนี้ก้อนมหาศาลที่รัฐบาลนี้กู้มาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

การวิเคราะห์ของ อาจารย์ปัทมาวดี ผมเห็นว่า เป็นการวิเคราะห์ที่ตรงเป้า นี่คือสิ่งที่ "ซ่อนเร้น" ไว้ในโครงการเศรษฐกิจไทยเข้มแข็ง 1.43 ล้านล้านบาท นอกจากแผนจะหลวมแล้ว หลายคนสงสัยว่าจะเป็นรายการ "แบ่งเค้ก" เพื่อสร้างความเข้มแข็งทางการเงินให้พรรคการเมืองร่วมรัฐบาล หรือสร้างความเข้มแข็งให้คนไทยกันแน่ เพราะโครงการที่ใส่เงินลงไปนับล้านล้านบาท ล้วนเป็นการสานต่อโครงการเก่า โครงการใหม่มีน้อยมาก

แต่ที่แน่ๆก็คือ คนไทยส่วนใหญ่ จะตกอยู่ในสภาพ อ่อนแอต่อไป โดยเฉพาะ "เกษตรกร" และ "ภาคการเกษตร" ที่รัฐบาลจะลงทุนหลายแสนล้านบาทภายใต้โครงการไทยเข้มแข็งเอา "น้ำ" และ "ถนนไร้ฝุ่น" เข้าไปให้เกษตรกร

เรื่องนี้ผมเคยเขียนไปวันก่อนว่า รัฐบาลเอาถนนเอาความเจริญเข้าไปในชนบท เอาความฟุ่มเฟือยต่างๆเข้าไปให้ แต่ไม่เอา "ความรู้" ไม่เอา "วิธีการเพิ่มผลผลิต" ไม่เอา "พันธุ์พืชใหม่ๆ" เข้าไปให้ ทำให้ "เกษตรกร" ต้องตกอยู่ในสภาพยากจนเป็น "รากหญ้า" ต่อไปชั่วนาตาปี ไม่มีโอกาสที่จะเจริญเติบโตขึ้นมาเป็น "ต้นหญ้า" ที่เขียวขจีได้

เช่นเดียวกับการวิเคราะห์ของ อาจารย์ปัทมาวดี ที่บอกว่า งบลงทุนในชุมชน 60,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นโครงการขนาดเล็กที่ไม่มีการบูรณาการต่อเนื่องกัน การพัฒนาสินค้าโอทอปก็ไม่มี (นอกจากขยันจัดงานโอทอปเพราะส่วนแบ่งกันเองเยอะดี) งบชลประทาน 200,000 ล้านบาท ก็เป็นงบเพิ่มเติมในพื้นที่ชลประทานอยู่แล้ว แต่ งบเพิ่มพื้นที่ ชลประทานใหม่มีน้อยมาก ส่วนใหญ่เป็นโครงการขนาดเล็ก (เห็นหรือยังว่าเป็นงบใครเข้มแข็งกันแน่)

แต่ งบเพื่อการวิจัยและพัฒนา เพื่อ เพิ่มผลผลิตภาคการเกษตร และ ต่อยอดภูมิปัญญาท้องถิ่น ไม่เห็นมีในแผนไทยเข้มแข็งฉบับนี้

ดูแล้วก็สรุปผลได้ไม่ยาก เมื่อครบสามปีตามแผนไทยเข้มแข็ง คนไทยส่วนใหญ่ก็ยังอ่อนแอต่อไป แต่คนที่จะเข้มแข็งจริงๆจากงบไทยเข้มแข็ง 1.43 ล้านล้านบาทก็คือ นักการเมืองใหญ่ซีกรัฐบาล ที่แบ่งเค้กโครงการกันไป

แล้วทิ้งหนี้ก้อนโต 1.43 ล้านล้านบาทให้คนไทยใช้หนี้ ซึ่ง ดร. พรายพล คุ้มทรัพย์ วิเคราะห์ชัดเจนว่า รัฐบาลจะมีเงินเพียงพอในการใช้หนี้ เศรษฐกิจไทยต้องโตอย่างน้อยปีละ 5 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป แต่ รัฐบาลคาดว่าจะโตแค่ 3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น เห็นทีคนไทยอาจต้องเจอวิกฤติรอบใหม่ในอีก 3 ปีข้างหน้า จบโครงการไทยเข้มแข็ง ประเทศไทยก็อ่อนปวกเปียกทันที.


"ลม เปลี่ยนทิศ"


(ที่มา ไทยรัฐ , 10 กันยายน 2552)