เซียนตัวจริง : Value Way วิบูลย์ พึงประเสริฐ
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 07, 2009 11:21 am
Value Way ฉบับวันที่ 10 สิงหาคม 2552
โดยวิบูลย์ พึงประเสริฐ
เซียนตัวจริง
ถ้ายังจำกันได้เมื่อตุลาคมปีที่แล้ว วอร์เรน บัฟเฟตได้เขียนบทความลงในหนังสือพิมพ์นิวยอร์ค ไทม์เรื่องผมกำลังซื้อหุ้นอเมริกา (Buy American I Am) โดยกล่าวว่าเขากำลังใช้เงินลงทุนส่วนตัวซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ของอเมริกาอยู่ในขณะนั้น เวลาดังกล่าวตลาดหุ้นกำลังตกต่ำอย่างมาก ดัชนีดาวโจนส์ลดลงต่ำกว่า 9,000 จุด ดัชนีเอสแอนด์พีอยู่ที่ 900 จุด หลังจากบทความชิ้นนั้นออกเผยแพร่ มีนักวิจารณ์จำนวนมากกล่าวหาว่าบัฟเฟตกำลังทำให้นักลงทุนคนอื่นๆขาดทุนมหาศาล เพราะหลังจากนั้นไม่นานดัชนีดาวโจนส์ลดลงเหลือเพียง 6,500 จุด ดัชนีเอสแอนด์พีอยู่ที่ 700 จุดหรือลดลงจากช่วงนั้นอีกกว่า 30% แต่บัฟเฟตบอกอยู่แล้วว่าเขาไม่สามารถทำนายตลาดหุ้นได้ว่าจะเป็นไปในทิศทางใดและไม่รู้ว่าจุดต่ำสุดอยู่ที่ตรงไหน
หลังจากนั้นไม่ถึงหนึ่งปี ดูเหมือนว่าตลาดหุ้นเกือบลืมไปแล้วว่าโลกกำลังเผชิญอยู่กับวิกฤตเศรษฐกิจครั้งร้ายแรงครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ ผลผลิตมวลรวม (จีดีพี) ของประเทศต่างๆทั่วโลกลดลงเป็นอย่างมากพร้อมๆกัน อัตราการว่างงานในอเมริกาและยุโรปสูงที่สุดในรอบหลายสิบปี แต่ดัชนีหุ้นในประเทศต่างๆต่างปรับตัวสูงขึ้นกันอย่างถ้วนหน้า ไม่ว่าจะเป็นในอเมริกา ยุโรป ละตินอเมริกา หรือเอเชียโดยเฉพาะในตลาดหุ้นเกิดใหม่อย่างจีน อินเดีย รัสเซีย บราซิล ตลาดหุ้นในประเทศเหล่านี้เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวในปีนี้
เมื่อเวลาผ่านไป เราได้เห็นว่าบัฟเฟตกล่าวไว้ถูกต้อง ไม่มีใครรู้จุดต่ำสุดของตลาดและวันหนึ่งตลาดหุ้นจะกลับมาคึกคักอยู่วันยังค่ำ ในช่วงตลาดตกต่ำ บัฟเฟตได้ลงทุนในสองบริษัทที่สามารถทำเงินให้เขาได้อย่างมหาศาล บริษัทแรกคือบริษัทผลิตรถยนต์ บีวายดี (BYD) ในประเทศจีน บริษัทนี้เริ่มต้นจากการผลิตแบตเตอรี่สำหรับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ให้กับบริษัทมือถืออย่างโมโตโรล่า โนเกียและซัมซุงจนกลายเป็นบริษัทผลิตแบตเตอรี่ที่ใหญ่ที่สุดในจีน จากนั้นในช่วงสามสี่ปีที่ผ่านมา บริษัทจึงเริ่มเข้ามาในตลาดรถยนต์โดยผลิตรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริดใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ผสมเครื่องยนต์ ในเดือนกันยายนปีที่ผ่านมาบริษัทมิดอเมริกันเอเนอยี่ (MidAmerican Energy Holding Co.) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของเบริคไชน์แฮตตาเวย์ (Berkshire Hathaway) ของบัฟเฟต ได้ลงทุนในบริษัทบีวายดีเป็นเงิน 225ล้านดอลลาร์ (7,875 ล้านบาท) ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งปีราคาหุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่าเนื่องจากนักลงทุนมองว่าตลาดรถไฟฟ้ากำลังได้รับความนิยมและเทคโนโลยี่แบตเตอรี่จะเป็นจุดเปลี่ยนของอุตสาหกรรมรถยนต์ในอนาคต ปัจจุบันเงินลงทุนของบัฟเฟตในบริษัทนี้มีมูลค่า 1.25 พันล้านดอลลาร์ (43,750 ล้านบาท) บัฟเฟตได้กำไรจากดีลนี้พันล้านดอลลาร์
บริษัทที่สองคือโกลแมนด์ แซค (Goldman Sach) ในช่วงวิกฤตซัพไพร์มในเดือนตุลาคม 2008 หลังจากบริษัทเลห์แมนบราเดอร์ล้มละลาย สถาบันการเงินในอเมริกาเกิดความระส่ำระสายอย่างมาก หลายบริษัทตกอยู่ในภาวะกำลังจะล้มละลายอย่างเช่น บริษัทเอไอจี ในช่วงนั้นวานิชธนกิจหลายแห่งขอแปลงสภาพเป็นธนาคารหรือไม่ก็ถูกควบรวมกิจการ แทบทุกสถาบันจำเป็นต้องหาเงินมาเพิ่มทุนอย่างมากเพื่อป้องกันไม่ให้บริษัทต้องถูกปิดลง โกลแมนด์ แซคซึ่งเป็นสถาบันการเงินชั้นนำของอเมริกาหนีสถานการณ์แบบเดียวกันนี้ไปไม่พ้น กรรมการผู้จัดการของโกลแมนด์ต้องขอความช่วยเหลือจากบัฟเฟตในการซื้อหุ้นเพิ่มทุนของกิจการ บัฟเฟตตกลงซื้อหุ้นกู้บุริมสิทธิ์ของโกลแมนด์ แซคเป็นจำนวนเงิน 5 พันล้านดอลลาร์ (1.75 แสนล้านบาท) โดยได้รับปันผลปีละ 10% และมีสิทธิแปลงสภาพหุ้นกู้เป็นหุ้นสามัญในราคาหุ้นละ 115 เหรียญวงเงิน 5 พันล้านดอลลาร์ ผ่านไปไม่ถึงหนึ่งปี ราคาหุ้นโกลแมนด์ล่าสุดอยู่ที่หุ้นละ 162 เหรียญ หมายความว่าบัฟเฟตได้กำไรจากการลงทุนในโกลแมนด์ 40% คิดเป็นเงินกำไรถึง 2 พันล้านเหรียญหรือ 7 หมื่นล้านบาท จากบทสัมภาษณ์ล่าสุดบัฟเฟตบอกว่าจะถือหุ้นกู้ของบริษัทนี้จนถึงเวลาหมดอายุในปี 2013
จะเห็นว่าการลงทุนของบัฟเฟตในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจที่ผ่านมาทำผลตอบแทนให้กับเบริคไชน์อย่างมาก ดังนั้นนักลงทุนแบบเน้นคุณค่าที่ต้องการประสบความสำเร็จจึงควรศึกษาหลักการลงทุนของเซียนตัวจริงวอร์เรน บัฟเฟตท่านนี้ให้ถ่องแท้