สัญญาณเตือน โดย ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์แล้ว: พุธ ก.ค. 08, 2009 1:04 am
สัญญาณเตือน
โลกในมุมมองของ Value Investor
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ถ้าเรากำลังคิดซื้อหุ้น หรือถือหุ้นตัวหนึ่งอยู่แล้ว เราจะต้องติดตามข่าวคราวเกี่ยวกับกิจการ ผู้บริหาร และทุกอย่างเกี่ยวกับหุ้นตัวนั้น เพื่อที่จะประเมินว่าเราควรทำอย่างไร จะซื้อ จะขาย หรือจะอยู่เฉย ๆ โดยส่วนใหญ่แล้ว ผมคิดว่าข่าวต่าง ๆ มักจะไม่ส่งผลอะไรมากนักต่อการตัดสินใจของเรา อย่างไรก็ตาม มีเหตุการณ์หลาย ๆ อย่างที่ผมคิดว่า ถ้าเกิดขึ้น เราควรจะต้องระมัดระวัง เพราะมันอาจจะบอกอะไรบางอย่างที่ไม่ดีนักเกี่ยวกับหุ้น และถ้าเราเกิดความวิตกกังวลมากเกินไป เราอาจจะพิจารณาขายหุ้นทิ้ง เพื่อลดความเสี่ยงก่อนที่ความเลวร้ายจะปรากฏ
เรื่องแรกที่ผมคิดว่าน่ากลัวมากก็คือ บริษัทประกาศงบการเงินออกมา ตัวเลขผลการดำเนินงานดูปกติดี แต่เมื่อเราไปดูรายงานที่ผู้สอบบัญชีเขียนไว้โดยเฉพาะในหน้าแรก และถ้าเราอ่านแล้วเราก็ยังไม่ค่อยจะเข้าใจ นี่ก็จะเป็นอะไรที่น่ากลัวยิ่งขึ้น เหตุผลก็คือ ฝ่ายบริหารอาจจะกำลังซุกซ่อนอะไรบางอย่างอยู่ และสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่นั้น ไม่เคยเป็นสิ่งที่ดี ดังนั้น ถ้าเจองบการเงินที่มีคำอธิบายยาวมาก ๆ โปรดระวัง
พูดถึงเรื่องงบการเงิน ก็มีคนบางคนให้ข้อสังเกตว่า ถ้าไตรมาศไหนบริษัทประกาศงบการเงินช้ากว่าที่เคยทำในปีก่อน ๆ เช่น เดิมเคยประกาศภายในประมาณ 40 วันหลังปิดงบ แต่งวดนี้ 43 วันแล้วก็ยังไม่ประกาศ แบบนี้ก็ให้สงสัยว่า ผลการดำเนินงานอาจจะไม่ค่อยดี ผู้บริหารจึงดึงเวลาให้ช้าที่สุดที่จะทำได้ จริงหรือไม่ก็ลองดูกันเอง
เหตุการณ์ที่สามที่ผมคิดว่าถ้าเกิดขึ้นเราคงต้องระวังก็คือ การขายหุ้นของผู้บริหารหรือผู้ถือหุ้นใหญ่ โดยเฉพาะที่ขายกันเป็นเรื่องเป็นราวและเป็นจำนวนมาก เหตุผลไม่ใช่เพราะว่าการขายหุ้นจะเป็นแรงกดดันราคาหุ้นโดยเฉพาะหุ้นที่มี สภาพคล่องไม่สูงเท่านั้น แต่เป็นเพราะว่าผู้บริหารหรือผู้ถือหุ้นใหญ่นั้นจะมีข้อมูลภายในเกี่ยวกับ ธุรกิจ ดังนั้น ในบางครั้งที่พวกเขารู้ หรือรู้สึกว่าธุรกิจจะประสบปัญหาหรือกำไรลดลงมากในอนาคต หรือพวกเขารู้สึกว่าราคาหุ้นของบริษัทน่าจะสูงเกินพื้นฐาน เขาก็จะขายหุ้นออกมา แน่นอน การขายหุ้นของผู้บริหารหรือผู้ถือหุ้นใหญ่ บางครั้งก็ไม่มีอะไร พวกเขาอาจจะเพียงแต่ต้องการเงินไปใช้บ้าง อย่างไรก็ตาม การประเมินการขายว่าน่าจะมาจากเหตุผลอะไรอาจจะบอกเราได้ว่าเราควรจะทำอย่าง ไรกับหุ้นที่เราถืออยู่
เหตุการณ์ที่สี่ที่น่ากลัวก็คือ กรรมการ โดยเฉพาะที่เป็นกรรมการอิสระลาออกโดยไม่มีเหตุผลที่ดี นั่นก็คือ กรรมการลาออกโดยอ้างว่าไม่มีเวลาหรือต้องการไปทำภารกิจอื่น แต่เราดูแล้วก็ไม่เห็นว่าเขาไปรับตำแหน่งทางการเมืองหรือกิจกรรมที่ต้องใช้ เวลามากมายที่ไหน เพราะโดยธรรมชาติแล้ว กรรมการอิสระนั้น มักจะใช้เวลาในการทำหน้าที่เพียงเล็กน้อย ดังนั้น กรรมการอิสระที่ลาออกโดย "ไม่มีเหตุผล" อาจจะเป็นการบอกว่า กรรมการเห็นสิ่งที่ไม่ชอบมาพากลในบริษัท และกลัวว่าตนจะต้องรับผิดชอบซึ่งไม่คุ้มกับผลประโยชน์ที่ได้รับในฐานะ กรรมการ จึงลาออก
เหตุการณ์ที่ห้าเป็นเรื่องที่ผมพบมาหลายครั้ง บริษัทเป็นโรงงานผลิตสินค้า ยอดขายของสินค้าเพิ่มขึ้นมาก กำไรของบริษัทเพิ่มตาม ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น นักวิเคราะห์เกือบทุกสำนักเชียร์ให้ซื้อหุ้น กำลังการผลิตของโรงงานเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ บริษัทประกาศขยายกำลังการผลิตโดยการสร้างโรงงานใหม่ นักวิเคราะห์ประมาณการกำไรเพิ่มขึ้นทวีคูณ หุ้นวิ่งระเบิด แต่แล้ว หลังจากโรงงานใหม่เปิด กำไรของบริษัทกลับถดถอยลงและลดลงเรื่อย ๆ หุ้นที่เคยฟู่ฟ่าและเป็น "หุ้นคุณค่า" มีราคาตกต่ำลงไปมาก นักวิเคราะห์และคนเล่นหุ้นเลิกพูดถึง พฤติกรรมที่ทุกอย่างดูเหมือนจะดีมากแต่กลับ "ผิดคาด" ในช่วงเวลาที่ดูเหมือนจะดีที่สุดนี้ เตือนให้เรารู้ว่า การมองโลกในแง่ดีเกินไปในการลงทุนนั้นเป็นอันตรายอย่างยิ่ง ดังนั้น ทุกครั้งที่มีการประกาศสร้างโรงงานใหม่ โปรดระวัง
เหตุการณ์สุดท้ายที่ผมจะพูดถึงน่าจะคล้าย ๆ กับเหตุการณ์ที่ห้าแม้ว่าสัญญาณนี้อาจจะอ่อนกว่าก็คือ ถ้าบริษัท โดยเฉพาะที่เป็นธุรกิจบริการ มีการย้ายสำนักงานใหญ่ไปสู่สถานที่ที่โอ่อ่าหรูหรามากซึ่งเป็นผลจากความ เฟื่องฟูของธุรกิจ เราควรระวังว่านั่นอาจจะเป็นจุดสูงสุดของบริษัทและมันกำลังจะเริ่มตกต่ำลง ประสบการณ์ที่ผมพบก็คือในการย้ายออฟฟิสของสถาบันการเงินต่าง ๆ โดยเฉพาะบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ในยุคก่อนวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ซึ่งหลังจากการย้ายสำนักงานใหญ่ บริษัทต่าง ๆ ก็เริ่มมีปัญหาล้มละลายกันเป็นจำนวนมาก ดังนั้น สำหรับผมแล้ว การเปิดสำนักงานใหม่ที่หรูหรามากดูเหมือนจะเป็นภาพที่หลอกหลอนมากกว่าความ รื่นรมย์ และอาจจะต้องคิดดูว่าจะทำอย่างไรกับหุ้นของบริษัท
ทั้งหมดนั้นก็เป็นเพียงบางส่วนของสัญญาณที่เตือนให้เราจับตาดู ไม่ใช่สัญญาณที่บอกว่าหุ้นกำลังมีปัญหาอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม ถ้าเราดูแล้วโอกาสที่จะมีปัญหาน่าจะสูง การขายหุ้นทิ้งก็เป็นทางเลือกหนึ่ง เหนือสิ่งอื่นใด เราจะเสี่ยงทำไมถ้าไม่จำเป็น?
(source) http://www.thaivi.com/article/value-investor/405-.html
__________________
Never believe what you hear, and only half of what you see
โลกในมุมมองของ Value Investor
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ถ้าเรากำลังคิดซื้อหุ้น หรือถือหุ้นตัวหนึ่งอยู่แล้ว เราจะต้องติดตามข่าวคราวเกี่ยวกับกิจการ ผู้บริหาร และทุกอย่างเกี่ยวกับหุ้นตัวนั้น เพื่อที่จะประเมินว่าเราควรทำอย่างไร จะซื้อ จะขาย หรือจะอยู่เฉย ๆ โดยส่วนใหญ่แล้ว ผมคิดว่าข่าวต่าง ๆ มักจะไม่ส่งผลอะไรมากนักต่อการตัดสินใจของเรา อย่างไรก็ตาม มีเหตุการณ์หลาย ๆ อย่างที่ผมคิดว่า ถ้าเกิดขึ้น เราควรจะต้องระมัดระวัง เพราะมันอาจจะบอกอะไรบางอย่างที่ไม่ดีนักเกี่ยวกับหุ้น และถ้าเราเกิดความวิตกกังวลมากเกินไป เราอาจจะพิจารณาขายหุ้นทิ้ง เพื่อลดความเสี่ยงก่อนที่ความเลวร้ายจะปรากฏ
เรื่องแรกที่ผมคิดว่าน่ากลัวมากก็คือ บริษัทประกาศงบการเงินออกมา ตัวเลขผลการดำเนินงานดูปกติดี แต่เมื่อเราไปดูรายงานที่ผู้สอบบัญชีเขียนไว้โดยเฉพาะในหน้าแรก และถ้าเราอ่านแล้วเราก็ยังไม่ค่อยจะเข้าใจ นี่ก็จะเป็นอะไรที่น่ากลัวยิ่งขึ้น เหตุผลก็คือ ฝ่ายบริหารอาจจะกำลังซุกซ่อนอะไรบางอย่างอยู่ และสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่นั้น ไม่เคยเป็นสิ่งที่ดี ดังนั้น ถ้าเจองบการเงินที่มีคำอธิบายยาวมาก ๆ โปรดระวัง
พูดถึงเรื่องงบการเงิน ก็มีคนบางคนให้ข้อสังเกตว่า ถ้าไตรมาศไหนบริษัทประกาศงบการเงินช้ากว่าที่เคยทำในปีก่อน ๆ เช่น เดิมเคยประกาศภายในประมาณ 40 วันหลังปิดงบ แต่งวดนี้ 43 วันแล้วก็ยังไม่ประกาศ แบบนี้ก็ให้สงสัยว่า ผลการดำเนินงานอาจจะไม่ค่อยดี ผู้บริหารจึงดึงเวลาให้ช้าที่สุดที่จะทำได้ จริงหรือไม่ก็ลองดูกันเอง
เหตุการณ์ที่สามที่ผมคิดว่าถ้าเกิดขึ้นเราคงต้องระวังก็คือ การขายหุ้นของผู้บริหารหรือผู้ถือหุ้นใหญ่ โดยเฉพาะที่ขายกันเป็นเรื่องเป็นราวและเป็นจำนวนมาก เหตุผลไม่ใช่เพราะว่าการขายหุ้นจะเป็นแรงกดดันราคาหุ้นโดยเฉพาะหุ้นที่มี สภาพคล่องไม่สูงเท่านั้น แต่เป็นเพราะว่าผู้บริหารหรือผู้ถือหุ้นใหญ่นั้นจะมีข้อมูลภายในเกี่ยวกับ ธุรกิจ ดังนั้น ในบางครั้งที่พวกเขารู้ หรือรู้สึกว่าธุรกิจจะประสบปัญหาหรือกำไรลดลงมากในอนาคต หรือพวกเขารู้สึกว่าราคาหุ้นของบริษัทน่าจะสูงเกินพื้นฐาน เขาก็จะขายหุ้นออกมา แน่นอน การขายหุ้นของผู้บริหารหรือผู้ถือหุ้นใหญ่ บางครั้งก็ไม่มีอะไร พวกเขาอาจจะเพียงแต่ต้องการเงินไปใช้บ้าง อย่างไรก็ตาม การประเมินการขายว่าน่าจะมาจากเหตุผลอะไรอาจจะบอกเราได้ว่าเราควรจะทำอย่าง ไรกับหุ้นที่เราถืออยู่
เหตุการณ์ที่สี่ที่น่ากลัวก็คือ กรรมการ โดยเฉพาะที่เป็นกรรมการอิสระลาออกโดยไม่มีเหตุผลที่ดี นั่นก็คือ กรรมการลาออกโดยอ้างว่าไม่มีเวลาหรือต้องการไปทำภารกิจอื่น แต่เราดูแล้วก็ไม่เห็นว่าเขาไปรับตำแหน่งทางการเมืองหรือกิจกรรมที่ต้องใช้ เวลามากมายที่ไหน เพราะโดยธรรมชาติแล้ว กรรมการอิสระนั้น มักจะใช้เวลาในการทำหน้าที่เพียงเล็กน้อย ดังนั้น กรรมการอิสระที่ลาออกโดย "ไม่มีเหตุผล" อาจจะเป็นการบอกว่า กรรมการเห็นสิ่งที่ไม่ชอบมาพากลในบริษัท และกลัวว่าตนจะต้องรับผิดชอบซึ่งไม่คุ้มกับผลประโยชน์ที่ได้รับในฐานะ กรรมการ จึงลาออก
เหตุการณ์ที่ห้าเป็นเรื่องที่ผมพบมาหลายครั้ง บริษัทเป็นโรงงานผลิตสินค้า ยอดขายของสินค้าเพิ่มขึ้นมาก กำไรของบริษัทเพิ่มตาม ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น นักวิเคราะห์เกือบทุกสำนักเชียร์ให้ซื้อหุ้น กำลังการผลิตของโรงงานเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ บริษัทประกาศขยายกำลังการผลิตโดยการสร้างโรงงานใหม่ นักวิเคราะห์ประมาณการกำไรเพิ่มขึ้นทวีคูณ หุ้นวิ่งระเบิด แต่แล้ว หลังจากโรงงานใหม่เปิด กำไรของบริษัทกลับถดถอยลงและลดลงเรื่อย ๆ หุ้นที่เคยฟู่ฟ่าและเป็น "หุ้นคุณค่า" มีราคาตกต่ำลงไปมาก นักวิเคราะห์และคนเล่นหุ้นเลิกพูดถึง พฤติกรรมที่ทุกอย่างดูเหมือนจะดีมากแต่กลับ "ผิดคาด" ในช่วงเวลาที่ดูเหมือนจะดีที่สุดนี้ เตือนให้เรารู้ว่า การมองโลกในแง่ดีเกินไปในการลงทุนนั้นเป็นอันตรายอย่างยิ่ง ดังนั้น ทุกครั้งที่มีการประกาศสร้างโรงงานใหม่ โปรดระวัง
เหตุการณ์สุดท้ายที่ผมจะพูดถึงน่าจะคล้าย ๆ กับเหตุการณ์ที่ห้าแม้ว่าสัญญาณนี้อาจจะอ่อนกว่าก็คือ ถ้าบริษัท โดยเฉพาะที่เป็นธุรกิจบริการ มีการย้ายสำนักงานใหญ่ไปสู่สถานที่ที่โอ่อ่าหรูหรามากซึ่งเป็นผลจากความ เฟื่องฟูของธุรกิจ เราควรระวังว่านั่นอาจจะเป็นจุดสูงสุดของบริษัทและมันกำลังจะเริ่มตกต่ำลง ประสบการณ์ที่ผมพบก็คือในการย้ายออฟฟิสของสถาบันการเงินต่าง ๆ โดยเฉพาะบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ในยุคก่อนวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ซึ่งหลังจากการย้ายสำนักงานใหญ่ บริษัทต่าง ๆ ก็เริ่มมีปัญหาล้มละลายกันเป็นจำนวนมาก ดังนั้น สำหรับผมแล้ว การเปิดสำนักงานใหม่ที่หรูหรามากดูเหมือนจะเป็นภาพที่หลอกหลอนมากกว่าความ รื่นรมย์ และอาจจะต้องคิดดูว่าจะทำอย่างไรกับหุ้นของบริษัท
ทั้งหมดนั้นก็เป็นเพียงบางส่วนของสัญญาณที่เตือนให้เราจับตาดู ไม่ใช่สัญญาณที่บอกว่าหุ้นกำลังมีปัญหาอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม ถ้าเราดูแล้วโอกาสที่จะมีปัญหาน่าจะสูง การขายหุ้นทิ้งก็เป็นทางเลือกหนึ่ง เหนือสิ่งอื่นใด เราจะเสี่ยงทำไมถ้าไม่จำเป็น?
(source) http://www.thaivi.com/article/value-investor/405-.html
__________________
Never believe what you hear, and only half of what you see