ฝันสลาย : Value Way วิบูลย์ พึงประเสริฐ
โพสต์แล้ว: ศุกร์ มิ.ย. 19, 2009 11:55 am
Value Way ฉบับวันที่ 22 มิถุนายน 2552
โดยวิบูลย์ พึงประเสริฐ
ฝันสลาย
ในตลาดหุ้นมีคำกล่าวอยู่ประโยคหนึ่งซึ่งสะท้อนความเป็นจริงที่เกิดขึ้นคือในตลาดหุ้น ไม่มีใครรู้จุดสูงสุดหรือจุดต่ำสุดของตลาดได้ จนกว่ามันจะผ่านไปแล้ว ดัชนีหุ้นไทยลดลงต่ำสุด 380 จุดในเดือนตุลาคม 2551 และใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งปีกลับมาที่ 630 จุดเมื่อเดือนมิถุนายนปีนี้ ในช่วงการกลับมาของตลาดหุ้นไทยนั้นเริ่มต้นเพียงหลังเหตุการณ์ความไม่สงบในช่วงเดือนสงกรานต์เท่านั้น ดัชนีเพิ่มขึ้นจาก 430 จุดมาอยู่ที่ 630 จุดเพิ่มขึ้นถึง 46.5% ในเวลาเพียงสองเดือน จากจุดสูงสุดในรอบนี้ในเวลาเพียงแค่สี่วันดัชนีลดลงมาอยู่ที่ระดับ 570 จุด จุดสูงสุดต่ำสุดทั้งหมดเกิดขึ้นหลังจากที่มันผ่านไปแล้วจริงๆ
ในช่วงที่ตลาดหุ้นเพิ่มสูง นักวิเคราะห์ต่างบอกว่าเป้าหมายของดัชนีอยู่ที่ 600 จุด แต่เมื่อดัชนีทะลุผ่านแนวต้าน 600 จุดได้ สำนักต่างๆต่างปรับเป้าหมายดัชนีใหม่ขึ้นไประดับ 700 จุด พร้อมทั้งแนะนำให้ซื้อหรือรอซื้อเมื่ออ่อนตัว จะสังเกตว่าในช่วงที่ดัชนีปรับตัวสูงขึ้น ผู้ซื้อมักเป็นสถาบันในประเทศหรือนักลงทุนต่างประเทศ และนักลงทุนรายย่อยมักเป็นผู้ขายหุ้นที่ถืออยู่ออก ในทางกลับกันในช่วงที่ดัชนีปรับตัวลดลง ผู้ขายมักเป็นกองทุนในประเทศหรือนักลงทุนต่างชาติ และผู้ซื้อมักเป็นนักลงทุนรายย่อย
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสามารถอธิบายได้ด้วยจิตวิทยาการลงทุน ในช่วงเริ่มต้นของการแรลลี่ของตลาดหุ้นในช่วงเดือนเมษายน ผู้ซื้อเริ่มต้นคือสถาบันในประเทศที่เข้ามาซื้อหุ้นเมื่อมองเห็นสัญญานของสภาพเศรษฐกิจที่คาดว่ากำลังจะฟื้นตัว นักลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่จะขายหุ้นที่ติดอยู่ออกมาและคิดว่าตลาดคงไปได้ไม่ไกล ในช่วงเริ่มแรกตลาดหุ้นจะยังไม่ปรับตัวสูงขึ้นเร็วนัก เพียงแค่ค่อยๆปรับฐานขึ้นไปเรื่อยๆ นักลงทุนรายย่อยเป็นผู้ขายสุทธิ
จากนั้นในช่วงเดือนพฤษภาคม ตลาดหุ้นไม่มีทีท่าว่าจะลดความร้อนแรงลง กลับได้รับอานิสงค์จากการไหลเข้าของนักลงทุนต่างประเทศที่นำเงินเข้ามาซื้อหุ้นในตลาดหุ้นเกิดใหม่ทั่วโลกรวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วย ในช่วงที่สองผู้ซื้อจำนวนมากคือนักลงทุนต่างชาติ ดัชนีหุ้นช่วงนี้ปรับตัวสูงขึ้นตลอดเวลาอย่างรวดเร็ว นักลงทุนรายย่อยในประเทศที่ขายหุ้นออกก่อนหน้านี้ไปต่างเสียดายกำไรที่หดหายไปจากการขายหุ้นออกไปเร็วกว่าที่คาดคิด ภาษานักเลงหุ้นเรียกว่าสภาพนี้ว่าขายหมู บางคนขายหุ้นออกไปจนหมดได้แต่มองตาปริบๆดูตลาดหุ้นและราคาหุ้นที่วิ่งเหมือนติดจรวด
เมื่อตลาดหุ้นไม่มีทีท่าว่าจะปรับตัวลดลง ในช่วงนี้โบรกเกอร์และนักวิเคราะห์ต่างออกมาบอกว่าตลาดหุ้นเข้าสู่ภาวะกระทิงแล้ว ดัชนีจะขึ้นไปถึง 700 จุด บางสำนักบอกว่าจะไปถึง 1,000 จุดเลยทีเดียว นักลงทุนรายย่อยที่เริ่มจากความสงสัยว่าตลาดหุ้นจะไปได้ไม่ไกลเมื่อสองเดือนก่อน กลับมีความมั่นใจว่าตลาดหุ้นจะไปต่อได้ และเป้าหมายน่าจะไปถึงดัชนีเป้าหมายใหม่ได้ไม่ยาก นักลงทุนเริ่มสนใจตลาดหุ้นมากขึ้นเรื่อยๆ มีหลายคนหยุดงานประจำเพื่อมาเฝ้าดูตลาด บางคนเริ่มไล่ราคาหุ้น ช่วงนี้เป็นช่วงที่ทุกคนมองโลกในแง่ดี ไม่มีใครไม่ได้กำไรจากการซื้อหุ้น ทุกคนคิดว่าทำไมได้เงินจากตลาดหุ้นมันช่างง่ายดายเพียงนี้ ซื้อหุ้นตัวไหนต่างก็กำไรทุกตัว เริ่มมีคนที่ออกมาประกาศว่าถึงตอนนี้ได้กำไรจากตลาดหุ้นแล้วหลายสิบหลายร้อยเปอร์เซนต์
ในช่วงเดือนมิถุยายน ตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเกินระดับ 600 จุด นักลงทุนรายย่อยมั่นใจเต็มที่ คนที่ไม่เคยซื้อหุ้นเริ่มเข้ามาซื้อตามเพื่อนหรือคนใกล้ชิดที่ได้กำไรจากตลาด นักลงทุนส่วนใหญ่จึงทุ่มสุดตัว แต่แล้วช่วงเวลาสุดท้ายก็มาถึง หลังจากดัชนีขึ้นไปในระดับ 630 จุดจากนั้นก็ลดลงมาอย่างรวดเร็วโดยในระดับต่ำกว่า 570 จุดในเวลาไม่กี่วัน
ช่วงนี้นักลงทุนรายย่อยต่างฝันสลายไปตามกัน โอกาสที่ดัชนีจะขึ้นไปถึง 700 จุดคงลดลง กำไรที่ได้มาต้องคืนกลับให้ตลาดไปบ้าง คาดว่านักลงทุนรายย่อยคงยังไม่ถอดใจเพราะการปรับฐานเพิ่งเริ่มต้น ถ้าดัชนีปรับตัวกลับขึ้นไปได้ สถานการณ์จะดีขึ้น แต่ถ้าดัชนียังลดลงอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนรายย่อยอาจต้องฝันค้างไปอีกนาน