หน้า 1 จากทั้งหมด 1

ต่างชาติชูหุ้นไทยยังแรงได้อีก

โพสต์แล้ว: ศุกร์ มิ.ย. 12, 2009 8:19 am
โดย vichit
ต่างชาติชูหุ้นไทยยังแรงได้อีก
* รอบนี้ไปต่อยาวศก.ส่งซิกฟื้น-ราคาโภคภัณฑ์พุ่ง





       มอร์แกนสแตนเลย์ -เจพีมอร์แกน ประสานเสียง ตลาดหุ้นเกิดใหม่รอบนี้สวมวิญญาณกระทิงยาวแน่ ระบุมีโอกาสพุ่งถึง 400% ในช่วง 4-5 ปีจากนี้ หลังเศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวชัดเจนขณะผลประกอบการบจ.ดีกว่าตลาดที่พัฒนาแล้ว และยังได้ที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์เพิ่มขึ้นช่วยหนุนราคาหุ้นอีก แถมมีมุมมองเป็นบวกกับหุ้นไทย ในขณะที่ปีนี้ SET INDEX เพิ่มขึ้นแล้ว 39% ส่วนต่างชาติซื้อสุทธิจนถึงขณะนี้ 1.6 หมื่นลบ. ด้านกูรู ประเมินแนวต้านใหม่ 640-650 จุด ดีบีเอสฯ เล็งปรับเป้าดัชนีฯ ปีนี้มากกว่า 650 จุด มองหุ้นพลังงานยังเป็นดาวรุ่งดันดัชนีฯ

        ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ เมื่อวานนี้ (11 มิ.ย.) ยังคงปรับตัวขึ้นได้ต่อ แม้ว่าดัชนีจะเริ่มย่อตัวลงจากแรงเทขายทำกำไรของนักลงทุน หลังจากตลาดปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างมากแล้ว โดยในช่วงต้นเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา พบว่าดัชนีฯปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากวันที่ 1 มิ.ย. ดัชนีฯ ปิดที่ระดับ 579.98 จุด เปรียบเทียบวันนี้ดัชนีฯ ปิดที่ 627.07 จุด คิดเป็นการเพิ่มขึ้น 47.09 จุด หรือ 8.11%
         ทั้งนี้หุ้นกลุ่มหลักๆ อย่างกลุ่มพลังงาน ธนาคารพาณิชย์ ยังคงเป็นหุ้นนำตลาด และผลักดันให้ดัชนียืนในแดนบวกได้ แม้ว่าในช่วงบ่าย หุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง โดยเฉพาะหุ้นตัวหลักทั้ง STEC ITD และ CK จะมีแรงขายทำกำไรออกมาค่อนข้างมาก ภายหลังจากการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(รฟม.) เปิดซองประมูลรถไฟฟ้าสายสีม่วง สัญญาที่2 ซึ่งปรากฎว่า STEC เป็นผู้เสนอราคาต่ำสุดที่ 15320 ล้านบาท ตามที่คาดไว้ จนทำให้ดัชนีเคลื่อนไหวผันผวนในช่วงดังกล่าว เพราะก่อนหน้าราคาหุ้นกลุ่มดังกล่าวปรับตัวขึ้นรับข่าวไปมากแล้วย จึงมีการพักฐานลงมา แต่แรงซื้อหุ้นบิ๊กแคปที่เข้ามา ก็ยังช่วยหนุนให้ดัชนีฯ สามารถปิดในแดนบวกได้ในที่สุดที่ระดับ 627.07 จุด เพิ่มขึ้น 2.52 จุด หรือ 0.40% จากที่ขึ้นไปบวกสูงสุดกว่า 8% ในช่วงเช้า มีมูลค่าการซื้อขายรวม 34,257.74 ล้านบาท และหุ้นหลักที่ดันดัชนี ประกอบด้วย หุ้น PTT ปิดที่ 251 บาท เพิ่มขึ้น 7 บาท ดันดัชนี 2.6874 จุด หุ้น KBANK ปิดที่ 74 บาท เพิ่มขึ้น 2.50 บาท ดันดัชนี 0.7829 จุด และหุ้น BBL ปิดที่ 111 บาท เพิ่มขึ้น 2 บาท ดันดัชนี 0.4996 จุด
          ในขณะที่เมื่อพิจารณาจากภาพรวมของตลาดฯ แล้ว จะเห็นได้ว่าทิศทางของตลาดฯ ยังน่าจะไปได้ต่อจากเม็ดเงินต่างชาติ หรือเงินทุนไหลเข้า หลังจากที่อัตราของผลตอบแทนของพันธบัตรในสหรัฐฯ ต่ำกว่าที่นักลงทุนคาดการณ์ไว้ จึงทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นในเอเชีย โดยค่าเงินบาทวานนี้แข็งค่าขึ้นไปที่ระดับ 34.10-34.12 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งนับตั้งแต่ต้นเดือนมิ.ย.นี้ จนถึงวานนี้ นักลงทุนต่างชาติยังคงซื้อสุทธิแล้ว 12,038.08 ล้านบาท
ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าตลาดหุ้นไทยช่วงนี้ยังน่าจะไปต่อได้ อีกทั้งสถาบันการเงินต่างชาติส่วนใหญ่ก็ยังคงมีมุมมองที่ดีกับตลาดหุ้นเกิดใหม่ในเอเซีย ซึ่งรวมทั้งตลาดหุ้นไทยด้วย เพราะภาพรวมเศรษฐกิจที่เริ่มจะฟื้นตัวประกอบกับได้ราคาสินโภคภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น ช่วยหนุนให้หุ้นในภูมิภาคนี้เป็นดาวรุ่งเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาคอื่น
          อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ยังต้องน่าเป็นห่วงขณะนี้ก็คือสถานการณ์การแพร่ระบาดของไข้หวัด 2009 ในประเทศไทยที่มีผู้ติดเชื้อแล้วถึง 46 ราย อาจจะสร้างความกังวลให้กับนักลงทุน เพราะหากรัฐบาลไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ก็อาจจะกระทบต่อการท่องเที่ยว และเศรษฐกิจภายในประเทศ และล่าสุดองค์การอนามัยโลก (WHO) ก็ได้เรียกประชุมฉุกเฉินว่าจะยกระดับการเตือนเป็นระดับ 6 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดหรือไม่ ซึ่งจะเป็นเรื่องให้นักลงทุนยังต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด


* มอร์แกนสแตนเลย์ ฟันธง! รอบนี้ตลาดเกิดใหม่ คึกยาว
         รายงานข่าวบนเว็บไซท์บลูมเบิร์กดอท เปิดเผยว่า มอร์แกนสแตนเลย์คาดตลาดเกิดใหม่กำลังเข้าสู่ 'ภาวะกระทิงระยะยาว' หลังพบสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ขณะที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์เพิ่มขึ้น
           โดยนายโจนาธาน การ์เนอร์หัวหน้านักกลยุทธ์ตลาดเกิดใหม่ภูมิภาคเอเซียมอร์แกนสแตนเลย์ระบุว่า ดัชนีตลาดหุ้นของตลาดเกิดใหม่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น
           ข้อมูลจากเอ็มเอสซีไอระบุว่า ในปีนี้ ดัชนีเอ็มเอสซีไอตลาดเกิดใหม่ได้เพิ่มขึ้นมาแล้ว 39% สูงกว่าดัชนีเอ็มเอสซีไอเวิร์ลที่เพิ่มขึ้นเพียง 7.3%
            'ตลาดหุ้นเอเซีย ไม่รวมญี่ปุ่น และตลาดเกิดใหม่อื่นๆ ให้ผลตอบแทนสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ และอาจกล่าวได้ว่า ตลาดเกิดใหม่เป็นแหล่งเดียวที่จะเป็นภาวะกระทิงในหมู่ตลาดหุ้นทั่วโลก' นายการ์เนอร์กล่าว
           นอกจากนี้ นายการ์ดเนอร์กล่าวว่า ตลาดเกิดใหม่เป็นแหล่งขับเคลื่อนการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่สำคัญที่สุดในขณะนี้ และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดเกิดใหม่ดีกว่าผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดที่พัฒนาแล้ว
           ทั้งนี้ ดัชนีเอ็มเอสซีไอตลาดเกิดใหม่ขณะนี้มีค่า PE อยู่ที่ 15 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยช่วง 5 ปี ซึ่งอยู่ที่ 13 เท่า


* เจพีฯ มีมุมมองหุ้นไทยเป็นบวก ชูหุ้นเกิดใหม่พุ่ง 400%
          ด้าน เจพีมอร์แกน ระบุว่าดัชนี MSCI สำหรับตลาดหุ้นในประเทศเกิดใหม่อาจพุ่งขึ้นถึง 400% ในช่วง 4-5 ปีข้างหน้าจากระดับต่ำสุดที่เข้าทดสอบเมื่อเดือนต.ค.ปีที่แล้ว โดยได้แรงหนุนจากราคาที่ระดับต่ำ, กองทุนที่มีเงินสดจำนวนมาก และการผ่อนคลายทางการเงินทั่วโลก อีกทั้งยังมีความเห็นในเชิงบวกต่อตลาดหุ้นเกาหลีใต้, ไต้หวัน, เม็กซิโก, อินโดนีเซีย และไทย
           โดยดัชนี MSCI สำหรับตลาดหุ้นเกิดใหม่พุ่งขึ้นแล้ว 73.8% นับตั้งแต่แตะระดับต่ำสุดในเดือนต.ค.
อย่างไรตามก็ยังคงมี ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญได้แก่ การใช้จ่ายมูลค่ามหาศาลของรัฐบาลทั่วโลกซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดเงินเฟ้อ และธนาคารกลางจะเปลี่ยนแปลงทิศทางนโยบาย และเริ่มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
            นายเอเดรียน โมวัต หัวหน้านักวิเคราะห์ตลาดเกิดใหม่และตลาดเอเชียของเจพีมอร์แกนกล่าวว่า ดัชนีอาจปรับตัวขึ้นอีกอย่างมาก และเป็นการฟื้นตัวที่มากกว่าที่ใครจะคาดคิด โดยลักษณะพิเศษของตลาดเกิดใหม่ได้แก่ระดับเงินสดที่สูงเป็นประวัติการณ์ของกองทุนรวม, การผ่อนคลายนโยบายการเงินอย่างมากของธนาคารกลาง และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่ของรัฐบาล
            นอกจากนี้ เจพีมอร์แกน ยังแนะนำให้นักลงทุนเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี, กลุ่มสินค้าผู้บริโภค, กลุ่มวัสดุและพลังงาน ขณะที่แนะนำให้ลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค, สื่อสารโทรคมนาคม และสินค้าพื้นฐานสำหรับการดำรงชีวิต


* กูรูต่างชาติ เตือน SET จ่อปรับฐานแตะ 540 จุด
          ด้านรายงานข่าวบนเว็บไซท์บลูมเบิร์กดอท ระบุว่า นายโธมัส ชโรเดอร์กรรมการผู้จัดการชาร์ตพาร์ทเนอร์ส บริษัทที่ปรึกษาด้านการวิเคราะห์ทางเทคนิค กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยอาจเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 640 จุด ก่อนจะปรับฐานลงมาอยู่ที่ระดับ 540 จุด
            นายชโรเดอร์กล่าวว่า เส้นอาร์เอสไอ 14 วันในขณะนี้อยู่ในระดับ 79.4 จุด สูงกว่าระดับ 70 จุด ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า ตลาดจะถึงจุดปรับฐาน และจะหลุดระดับ 600 จุดในเดือนกรกฎาคม
            'เส้น RSI กำลังเพิ่มขึ้นไปสู่ระดับ 80 จุด ซึ่งบ่งชี้ว่า ตลาดสามารถปรับฐานได้ทุกขณะ SET Index อาจจะปรับฐานครั้งใหญ่ในไตรมาส 3 ปีนี้ และคาดว่าจะปรับฐานลงประมาณ 100 จุด' นายชโรเดอร์กล่าว
           ทั้งนี้ ดัชนีตลาดหุ้นได้เพิ่มขึ้นมาแล้ว 39% ในปีนี้ หลังจากลดลง 48% ในปีที่ผ่านมา ขณะที่นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงขณะนี้นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยแล้ว 16.2 พันล้านบาท (474 ล้านดอลลาร์) จากที่ขายสุทธิ 162 พันล้านบาทในปี 2008


* ดีบีเอสฯ เล็งปรับเป้าดัชนีปีนี้สูงกว่า 650 จุด
          นางสาวอาภาภรณ์ แสวงพรรค รองผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส จำกัด กล่าวว่า เม็ดเงินของต่างชาติยังคงไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจัยดังกล่าวส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทย ทำให้ดัชนีฯสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อย่างแข็งแกร่ง ซึ่งจากการประเมินของนักวิเคราะห์ทางเทคนิค ดัชนีฯมีแนวต้านถัดไปอยู่ที่ 640-650 จุด นอกจากนี้ ตลาดหุ้นไทยยังได้รับปัจจัยบวกหลังราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มพลังงาน ซึ่งกลุ่มพลังงานยังคงเป็นกลุ่มหลักที่เป็นตัวผลักดันทิศทางของดัชนีฯอย่างมีนัยสำคัญ
            ทั้งนี้ ทางฝ่ายวิจัยอยู่ระหว่างทบทวนเป้าหมายดัชนีฯสิ้นปี้นี้ ซึ่งเดิมคาดการณ์ดัชนีฯไว้ที่ 630 จุด โดยคาดว่าการปรับเป้าหมายดัชนีฯสิ้นปีนี้น่าจะสูงกว่า 650 จุด หลังจากทางฝ่ายวิจัยได้ทบทวนตัวเลขราคาเป้าหมายของบริษัทฯต่างๆเพิ่มขึ้น สำหรับกลยุทธ์การลงทุน แนะนำ ถือ สำหรับนักลงทุนที่มีหุ้นต้นทุนต่ำ แต่อย่างไรก็ตาม หากดัชนีฯปรับตัวเพิ่มขึ้นและยืนเหนือ 630 จุด ได้แนะขายทำกำไรบางส่วน และรอซื้อเมื่อดัชนีฯปรับฐาน ส่วนนักลงทุนสถาบันแนะถือ
           โดยประเมินแนวรับรอบสัปดาห์นี้ไว้ที่ 570 จุด และแนวต้านอยู่ที่ 640-650 จุด


*เกียรตินาคิน แนะติดตามหุ้นตปท.-ราคาน้ำมันโลก
          นายอภิสิทธิ์ ลิมป์ธำรงกุล รองผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เกียรตินาคิน กล่าวว่า ดัชนีฯมีแนวโน้มปรับฐาน หลังดัชนีฯปรับตัวเพิ่มขึ้นมาตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งอาจมีแรงเทขายทำกำไรออกมา ทั้งนี้ แนะนำนักลงทุนติดตามทิศทางของตลาดหุ้นต่างประเทศและราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก รวมทั้งประเด็นข่าวต่างๆ เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุน
             สำหรับกรณีที่มอร์แกนสแตนเลย์ ระบุว่า ดัชนีตลาดหุ้นของตลาดเกิดใหม่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น โดยข้อมูลจากเอ็มเอสซีไอระบุว่า ในปีนี้ ดัชนีเอ็มเอสซีไอตลาดเกิดใหม่ได้เพิ่มขึ้นมาแล้ว 39% สูงกว่าดัชนีเอ็มเอสซีไอเวิร์ลที่เพิ่มขึ้นเพียง 7.3% ประเมินว่า ประเด็นดังกล่าวก็ส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทยและส่งผลบวกต่อจิตวิทยาการลงทุน ซึ่งตลาดเกิดใหม่ ในแถบเอเซียก็น่าจะเป็นตลาดหุ้นที่แข็งแกร่งกว่าเมื่อเทียบกับตลาดสหรัฐและยุโรป เนื่องจากผลกระทบที่เกิดขึ้น กลุ่มประเทศดังกล่าวจะได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก ขณะที่ในแถบเอเซียได้รับผลกระทบไม่มากนัก
            อย่างไรก็ตาม ในเบื้องต้นทางฝ่ายวิจัยยังไม่ปรับประมาณการตัวเลขดัชนีฯปีนี้ แม้ว่าราคาหุ้นอาจเกินมูลค่าพื้นฐานบ้าง เนื่องจากคงต้องรอดูสถานการณ์อีกสักระยะ รวมทั้งปัจจัยต่างๆที่ส่งผลกระทบ
           กลยุทธ์การลงทุน แนะนำ เทขายทำกำไรเมื่อดัชนีฯปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยประเมินแนวรับอยู่ที่ 610 จุด และแนวต้านอยู่ที่ 635 จุด


     
     
http://www.efinancethai.com/index.aspx