Thai VI

Value Way ฉบับวันที่ 15 มิถุนายน 2552
โดยวิบูลย์ พึงประเสริฐ
หุ้นไทยไปได้เท่าไหร่

         ตลาดหุ้นช่วงนี้ถือว่าร้อนแรงมากล่าสุดดัชนีทะลุผ่าน 630 จุดไปได้เมื่อวันที่ 11 มิถุนายนที่ผ่านมา ถ้านับจากต้นปีดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวจาก 438 จุดจนถึงปัจจุบันคิดเป็นเปอร์เซ็นต์เพิ่มขึ้นถึง 44% เข้าข่ายภาวะกระทิงแถมเป็นกระทิงดุที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงเมื่อไหร่
       
         สาเหตุหลักๆน่าจะมาจากการไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติที่เข้ามาซื้อหุ้นในตลาดเกิดใหม่ทั่วโลก เหตุการณ์หุ้นกระทิงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับตลาดหุ้นไทยเท่านั้น แต่เกิดขึ้นกับตลาดหุ้นในแถบเอเซียแทบทั้งหมดทุกประเทศ ตลาดหุ้นไทยได้รับอานิสงค์อีกด้านจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นทำให้หุ้นพลังงานที่มีมาร์เกตแคปมากที่สุดในตลาดหุ้นไทยมีราคาสูงขึ้นตามไปด้วย จะเห็นว่าในช่วงนี้หุ้นที่มีราคาสูงขึ้นมากส่วนใหญ่เป็นหุ้นในกลุ่มพลังงานและหุ้นมาร์เกตแคปใหญ่ๆที่ต่างชาติเก็บเข้าพอร์ต

ช่วงนี้นักลงทุนส่วนใหญ่มักมีคำถามในใจว่า ตลาดหุ้นไทยจะไปได้ไกลแค่ไหน บางสำนักบอกว่าดัชนีจะไป 630 จุดภายในเดือนกรกฏาคม แต่เมื่อตลาดผ่าน 630 จุดมาได้ ต่างปรับเป้าหมายใหม่ว่าตลาดจะไป 700 จุด ทำให้ทุกคนต่างสงสัยว่าจุดสูงสุดของดัชนีหุ้นรอบนี้จะอยู่ที่ไหน วิธีหนึ่งที่จะตอบได้ถึงแม้จะไม่ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์คือ การใช้ข้อมูลจากอดีตมาเป็นส่วนประกอบในการวิเคราะห์สถานการณ์ในปัจจุบัน

ตารางข้างล่างแสดงถึงค่าเฉลี่ยต่อปีของราคาต่อกำไร (P/E Ratio) และราคาต่อมูลค่าหุ้นทางบัญชี (P/B Ratio) ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา

ปี P/E P/B ปี P/E P/B
2009 11.49 1.04 1999 9.94 1.44
2008 11.68 1.52 1998 10.69 0.96
2007 13.68 1.87 1997 9.25 1.14
2006 9.80 1.84 1996 17.28 2.31
2005 10.16 1.96 1995 19.90 2.98
2004 12.44 2.16 1994 23.28 3.75
2003 12.66 1.94 1993 17.21 3.08
2002 6.81 1.46 1992 15.93 2.91
2001 5.16 1.27 1991 15.83 3.32
2000 8.00 1.26 1990 22.05 5.55

สูงสุด 10 ปี 13.68 2.16 สูงสุด 20 ปี 23.28 5.55
ต่ำสุด 10 ปี 5.16 1.04 ต่ำสุด 20 ปี 5.16 0.96
ค่าเฉลี่ย 10 ปี 10.19 1.63 ค่าเฉลี่ย 20 ปี 13.16 2.19

จะพบว่าในช่วงยี่สิบปีจากปี 1990-2009 ค่าสูงสุดของราคาต่อกำไรของตลาดอยู่ที่ 23.28 เท่าในปี 1994 ต่ำสุดที่ 5.16 เท่าในปี 2001 และมีค่าเฉลี่ยของราคาต่อกำไรเท่ากับ 13.16  ส่วนค่าสูงสุดของราคาต่อมูลค่าทางบัญชีของตลาดอยู่ที่ 5.55 เท่าในปี 1990 ต่ำสุดที่ 0.96 เท่าในปี 1998 และมีค่าเฉลี่ยของราคาต่อมูลค่าทางบัญชีเท่ากับ 2.19

ส่วนในช่วงสิบปีจากปี 2000-2009 ค่าสูงสุดของราคาต่อกำไรของตลาดอยู่ที่ 13.68 เท่าในปี 2007 ต่ำสุดที่ 5.16 เท่าในปี 2001 และมีค่าเฉลี่ยของราคาต่อกำไรเท่ากับ 10.19  ส่วนค่าสูงสุดของราคาต่อมูลค่าทางบัญชีของตลาดอยู่ที่ 2.16 เท่าในปี 2004 ต่ำสุดที่ 1.04 เท่าในปี 2009 และมีค่าเฉลี่ยของราคาต่อมูลค่าทางบัญชีเท่ากับ 1.63

ในระดับดัชนีปัจจุบันที่ 624 จุดมีค่า P/E อยู่ที่ 21.16 และค่า P/B อยู่ที่ 1.36 ดังนั้นถ้าใช้ค่าสูงสุดของอัตราส่วนราคาต่อกำไรของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยในช่วงยี่สิบปีที่ 23.28 เท่า ดัชนีสูงสุดที่เป็นไปได้จะอยู่ที่ 686 จุด ส่วนค่าสูงสุดในรอบสิบปีนั้นต่ำกว่าระดับปัจจุบันจึงไม่สามารถนำมาคิดได้
แต่ถ้าคิดตามราคาต่อมูลค่าทางบัญชี ตัวเลขที่น่านำมาใช้ได้คือค่าเฉลี่ยย้อนหลังสิบปีที่ 1.63 เท่า เพราะจะเห็นว่าค่าสูงสุดที่ 2.16 เท่านั้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยค่อนข้างมากและโดยส่วนใหญ่อัตราส่วนนี้ในช่วงสิบปีที่ผ่านมามักต่ำกว่า 2 เท่า ส่วนค่าเฉลี่ยและค่าสูงสุดในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมาค่อนข้างสูงเช่นเดียวกันโดยเฉพาะค่าในช่วงปี 1990-1996 ทำให้ค่าเฉลี่ยสูงตามไปด้วย ดังนั้นถ้าใช้ค่าเฉลี่ยของอัตราส่วนที่ 1.63 เท่า ดัชนีหุ้นไทยที่เป็นไปได้จะอยู่ที่ 747 จุด

จากการใช้ข้อมูลในอดีตมาทำนายอนาคต ทำให้เราทราบได้คร่าวๆว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยน่าจะขึ้นไปได้ระหว่าง 686 ถึง 747จุดในรอบนี้ คงตอบคำถามคาใจของนักลงทุนหลายท่านได้ แต่แม่นไม่แม่นคงต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์

พี่วิบูลย์กอกอ เขียน:ปี P/E P/B ปี P/E P/B
2009 11.49 1.04 1999 9.94 1.44
2008 11.68 1.52 1998 10.69 0.96
2007 13.68 1.87 1997 9.25 1.14
2006 9.80 1.84 1996 17.28 2.31
2005 10.16 1.96 1995 19.90 2.98
2004 12.44 2.16 1994 23.28 3.75
2003 12.66 1.94 1993 17.21 3.08
2002 6.81 1.46 1992 15.93 2.91
2001 5.16 1.27 1991 15.83 3.32
2000 8.00 1.26 1990 22.05 5.55

marble เขียน:ข้อมูลนี้ มีประโยชน์???

ตอนนี้กราฟไม่น่าใช้ได้ เพราะมันบอกว่าเข้าเขตซื้อมากไปแล้วมาตั้งนานแล้ว

แต่การฝ่าด่านทะลุ 620 มาได้ มันเข้าเขตซื้อไม่อั้นไม่รู้ด้วยเหตผลไร

ลากเส้นใหม่ มันก็มีโอกาสไป 700 อย่างที่ว่าไว้

แต่ที่แน่ ๆ หุ้นไม่มีวันที่จะขึ้นทุกวัน



ใครจะเป็นผู้โชคดีรับไม้สุดท้าย ก่อนปรับฐาน

chowbe76 เขียน: โชคดีหรือโชคร้ายครับพี่หินอ่อน

PERFECT LUCKY เขียน: