กระทิงแท้หรือเทียม : Value Way วิบูลย์ พึงประเสริฐ
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มิ.ย. 07, 2009 1:06 am
โค้ด: เลือกทั้งหมด
Value Way ฉบับวันที่ 8 มิถุนายน 2552
โดยวิบูลย์ พึงประเสริฐ
กระทิงแท้หรือเทียม
ตลาดหุ้นทั่วโลกโดยเฉพาะตลาดหุ้นในเอเซียต่างปรับตัวขึ้นอย่างถ้วนหน้าในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้นจากต้นเดือนเมษายนที่ 430 จุดมาอยู่ที่ 590 จุดต้นเดือนมิถุนายน คิดเป็นการเพิ่มขึ้นถึง 37% ในช่วงเวลาเพียงสองเดือน ถือว่าขึ้นมาแรงมากเช่นเดียวกับตลาดหุ้นอื่นๆในภูมิภาค
ในช่วงแรกนักวิเคราะห์ต่างมองว่าการขึ้นรอบนี้จะไม่ยั่งยืน เพราะพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนยังไม่ได้ดีขึ้น และสภาพเศรษฐกิจทั่วไปของประเทศต่างๆในโลกยังอยู่ในสภาวะถดถอย แต่หลังจากตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวขึ้นมาเป็นเวลากว่าสองเดือน รวมทั้งจิตวิทยาจากตลาดหุ้นที่สูงขึ้น ทำให้ราคาน้ำมันมีราคาสูงขึ้นตามไปด้วย ส่วนหนึ่งมาจากนักลงทุนต่างประเทศมองว่าค่าเงินดอลล่าร์จะอ่อนค่าลง จึงนำเงินสดที่เหลือจากการขายทรัพย์สินเสี่ยงอย่างหุ้นในตลาดและสินค้าล่วงหน้าเมื่อปลายปี กลับเข้ามาในตลาดหุ้นและตลาดโภคภัณท์อีกครั้งหนึ่ง เมื่อมองเห็นว่าเศรษฐกิจทั่วโลกไม่เลวร้ายไปกว่านี้อีกแล้ว
ในช่วงหลังนักวิเคราะห์เริ่มเปลี่ยนมุมมองและหันมามองว่ารอบนี้ตลาดหุ้นอาจจะเป็นขาขึ้นของจริงก็ได้ เพราะตลาดหุ้นมักสะท้อนภาพของเศรษฐกิจล่วงหน้าก่อนอย่างน้อย 3-6 เดือน โดยคาดว่าเศรษฐกิจสำคัญอย่างประเทศอเมริกาฟื้นตัวได้ในไตรมาศ 3 โดยมีอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจเป็นบวก หลังจากที่จีดีพีในไตรมาศแรกของปีเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น รวมทั้งสัญญานทางเทคนิคหลายประการในตลาดหุ้นบ่งบอกว่าตลาดหุ้นได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว และมีสิทธิที่จะทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบปีอีกครั้ง
หลายสำนักบอกว่าถ้าดูระดับราคาของตลาดหุ้นทั่วโลกจะพบว่าปัจจุบันราคาหุ้นยังอยู่ใระดับต่ำกว่าจุดสูงสุดที่ผ่านมาอยู่มาก ถึงแม้จะปรับตัวขึ้นมากันมากแล้วก็ตาม ดัชนีตลาดหุ้นไทยเมื่อปีที่ผ่านมาสูงสุดที่ 900 จุด ปัจจุบันอยู่ที่ 590 จุดยังห่างจากจุดสูงสุดอีกมาก ดัชนีหุ้นยังไปได้อีกไกล
แต่ในขณะเดียวกันโลกนี้ไม่มีอะไรที่แน่นอน สภาพเศรษฐกิจทั่วโลกไม่ได้ดีขึ้นมากอย่างที่หลายคนเข้าใจ เศรษฐกิจอเมริกาที่ว่าดีขึ้นนั้นยังติดลบอยู่ถึง 5.7% เพียงแต่ติดลบน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ อัตราการว่างงานของอเมริกายังสูงในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นในรอบหลายสิบปี
เศรษฐกิจของประเทศในแถบยุโรปยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นตัวได้ง่ายๆ เพราะแต่ละประเทศในสมาคมยุโรปต่างมีความเห็นในการแก้ไขเศรษฐกิจไม่เหมือนกัน บางประเทศต้องการให้รัฐบาลอัดฉีดเงินเข้ามาในระบบมากๆ แต่บางประเทศกลับกลัวว่าการทำเช่นนั้นจะบ่อนทำลายเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาวด้วยปัญหาเงินเฟ้อ อย่างเช่นเยอรมันที่คัดค้านการใช้จ่ายเงินของภาครัฐอย่างมากในที่ประชุมของอียู จนที่ประชุมต้องสรุปให้แต่ะละประเทศไปแก้ไขปัญหาเอาเอง ทำให้เศรษฐกิจประเทศในยุโรปอาจต้องเผชิญกับปัญหาไปอีกสักระยะหนึ่ง จากผลของความไม่เห็นพ้องต้องกันในแนวทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
ถึงแม้ว่าประเทศในแถบเอเซียจะดูดีกว่าที่อื่นๆ แต่ประเทศที่เศรษฐกิจไม่ถอถอยและเติบโตได้อย่างต่อเนื่องมีเพียงจีน อินเดีย และเวียดนาม ส่วนประเทศอื่นๆในเอเซียต่างได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจนี้กันแทบทั้งสิ้น โดยเฉพาะประเทศที่ต้องพึ่งการส่งออกเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่าง สิงคโปร์ ไทย มาเลเซีย ไต้หวัน เกาหลี ญี่ปุ่น ประเทศเหล่านี้ต่างมีจีดีพีติดลบในไตรมาศแรกของปี
นักลงทุนที่มองโลกในแง่ดีคงต้องเผื่อใจกับความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลานับจากนี้ นอกเหนือจากนั้นเหตุการณ์ที่ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นในครั้งนี้ ทำให้นึกถึงเรื่องของปรมาจารย์การลงทุนแบบเน้นคุณค่าเบนจามิน เกรแฮม มีเรื่องเล่าอยู่เรื่องหนึ่งว่าในตอนที่วอร์เรน บัฟเฟตเพิ่งเริ่มต้นทำงานกับเกรแฮม สภาพตลาดหุ้นอยู่ในภาวะซบเซา เขาถามเกรแฮมว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าตลาดหุ้นตกต่ำตลอดไปโดยไม่ฟื้นตัวกลับมาเลย เกรแฮมได้แต่ยักไหล่แล้วบอกว่าตลาดหุ้นจะกลับมาคึกคักอยู่วันยังค่ำ หลังจากนั้นหลายปีบัฟเฟตบอกกับคนอื่นๆว่าเกรแฮมพูดถูก ตลาดหุ้นจะฟื้นตัวอย่างแน่นอนไม่วันใดก็วันหนึ่ง
ซึ่งจากคำพูดดังกล่าวของเกรแฮม เราได้เห็นแล้วจากตลาดหุ้นไทยในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา