ซื้อขายหุ้นในยามวิกฤติ / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ค. 16, 2009 8:19 pm
โลกในมุมมองของ Value Investor 16 พฤษภาคม 2552
ในยามเศรษฐกิจวิกฤตินั้น การซื้อขายหุ้นน่าจะต้องมีความแตกต่างจากการลงทุนในภาวะปกติอยู่บ้าง ต่อไปนี้คือแนวทางที่ผมคิดว่าควรจะนำไปพิจารณาถ้าคิดจะซื้อหุ้นในยามนี้
ข้อแรก บริษัทหรือกิจการที่เราจะลงทุนนั้น เราจะต้องมั่นใจว่ามันจะไม่ “เจ๊ง“ หรือล้มละลายหรือต้องเพิ่มทุนมากมายเพื่อที่จะกู้ฐานะของกิจการ นี่เป็นกฏที่สำคัญ เพราะในยามวิกฤตินั้น สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือการที่กิจการขาดสภาพคล่องและต้องเลิกกิจการหรือต้องมีการเพิ่มทุนที่ทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นเดิมมีมูลค่าลดลงมาก และถ้าเราซื้อหุ้นไปแล้วเกิดสถานการณ์อย่างนั้น ความเสียหายก็จะมหาศาล
ข้อสอง วิธีที่จะทำให้เราปลอดภัยในการซื้อหุ้นลงทุน นั่นคือ ไม่ใช่ว่าซื้อแล้วหุ้นจะตกลงไปและเราก็กระวนกระวายใจไม่รู้ว่ามันจะกลับขึ้นมาเมื่อไรก็คือ ต้องมองว่าอนาคตโดยเฉพาะในปีนี้หรือปีหน้า กำไรของบริษัทจะต้องไม่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญหรือลดลงมาก เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น ราคาหุ้นก็จะขึ้นไปยาก เผลอ ๆ จะลดลงไปอีก และกว่าจะฟื้นได้ก็อาจจะใช้เวลานาน ดังนั้น ถ้าจะซื้อหุ้นแบบนี้ เราก็น่าจะรอไว้ก่อนได้ รอจนกว่าจะ “เห็นแสงที่ปลายอุโมง“ ก่อนจะดีกว่า
ข้อสาม ในยามที่หุ้นส่วนใหญ่ตกลงมามาก หุ้นจำนวนมากกลายเป็นหุ้น Value ซึ่งรวมถึงหุ้นขนาดใหญ่ที่มีคุณภาพดี มีความเข้มแข็งสูง ดังนั้น ความจำเป็นที่จะลงทุนในหุ้นขนาดเล็กที่ยังไม่ค่อยได้พิสูจน์ถึงคุณภาพของกิจการจึงมีน้อย เช่นเดียวกัน การลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ นั้น ความเสี่ยงย่อมจะต่ำกว่าหุ้นขนาดเล็ก ทั้งในเรื่องของผลประกอบการของกิจการเองและในเรื่องสภาพคล่องของหุ้น พูดกันชัด ๆ ก็คือ ถ้าซื้อหุ้นขนาดเล็กแล้วพลาด ความเสียหายบางทีจะสูงมาก เพราะเวลาขายจะหาคนซื้อยากและราคาก็จะตกลงมากกว่าปกติ นอกจากนั้น ในเวลาที่ตลาดหุ้นฟื้นตัว หุ้นขนาดใหญ่ก็มักจะปรับตัวขึ้นก่อน
สำหรับกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจลงทุนในยามวิกฤติแบบนี้ก็คงจะมีมากมาย ผมเองลองนึกดูก็พอจะบอกได้สามสี่กลุ่มดังต่อไปนี้
กลุ่มแรกก็คือกลุ่มที่มี Monopoly Power หรือมีอำนาจผูกขาดทางการตลาดสูง ข้อสังเกตก็คือ บริษัทในกลุ่มนี้จะมีกำไรต่อเนื่องมานาน อย่างไรก็ตาม ในยามวิกฤติ ยอดขายอาจจะตกลงไปมากทำให้กำไรลดลงมากหรืออาจจะขาดทุน นี่ทำให้ราคาหุ้นตกลงไปมาก แต่ถ้าเรามั่นใจว่าในอนาคตเศรษฐกิจจะต้องฟื้นและยอดขายของกิจการก็จะกลับมาอย่างน้อยเท่าเดิม และกำไรก็น่าจะกลับมาเท่าเดิมได้ แบบนี้ เราก็สามารถที่จะเก็บหุ้นลงทุนได้ โดยที่ราคาหุ้นที่เราจะซื้อนั้น อย่างน้อยควรจะเท่ากับหรือต่ำกว่าครึ่งหนึ่งของราคาหุ้นของบริษัทก่อนที่จะเกิดวิกฤติ เมื่อซื้อแล้วก็รอจนกว่าเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้นและยอดขายของกิจการฟื้นตัว โดยที่กระบวนการนี้เราคาดว่าไม่น่าเกิน 4 -5 ปี ซึ่งก็ยังคุ้มค่า เพราะการลงทุน 5 ปีแล้วราคาหุ้นขึ้นมาได้หนึ่งเท่าตัวนั้น เท่ากับผลตอบแทนทบต้นปีละถึง 15%
กลุ่มที่สอง นี่คือกลุ่มที่น่าจะปลอดภัยที่สุดแต่ผลตอบแทนอาจจะไม่หวือหวาเมื่อเทียบกับกลุ่มแรก นี่คือหุ้นของกิจการที่ดีเยี่ยมหรือเป็น Super Company บริษัทในกลุ่มนี้เป็นกิจการที่แข็งแกร่ง มีความได้เปรียบคู่แข่งอย่างยั่งยืน มียอดขายและกำไรที่เติบโตต่อเนื่องมายาวนาน สินค้าทดแทนมีน้อยหรือไม่มี ข้อสังเกตของกิจการในกลุ่มนี้ก็คือ แม้ในยามที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ยอดขายก็ไม่ลดลงหรือยังเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับกำไรที่มักจะยังรักษาอยู่ได้หรือเพิ่มขึ้น และทั้งสองอย่างนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นจากรายการที่ผิดปกติหรือเป็นเรื่องของการลงบัญชีหรือเป็นกำไรที่เกิดจากการขายในอดีต ถ้าเป็นแบบนี้ และราคาหุ้นตกลงมาหรือไม่ได้ปรับตัวขึ้นอย่างที่มันควรเป็น การซื้อหุ้นแบบนี้ก็คือ โอกาสในการซื้อหุ้น Super Stock ในราคาถูกหรือราคายุติธรรม ซึ่งก็จะเป็นแนวการลงทุนแบบที่ วอเร็น บัฟเฟตต์ ชอบใช้
กลุ่มที่สามที่ผมจะพูดถึงก็คือ การเล่นหุ้น Commodities หรือสินค้าโภคภัณฑ์ นี่จะเป็นการลงทุนประเภท High Risk, High Return หรือเล่นแบบกล้าได้กล้าเสีย เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสู่งแต่ก็คาดว่าจะได้ผลตอบแทนที่สูงกว่าปกติ แนวความคิดนี้ก็คือ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ได้ปรับตัวลงมามากเนื่องจากภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ นั่นทำให้บริษัทที่ผลิตสินค้าโภคภัณฑ์เช่นน้ำมัน ปิโตรเคมี ต้องขาดทุนกันอย่างหนัก ราคาหุ้นของบริษัทเหล่านั้นตกลงมามาก แต่ราคาโภคคภัณฑ์เหล่านั้นเราเห็นว่าเริ่มอยู่ตัวแล้ว ในอนาคต โดยเฉพาะถ้าเศรษฐกิจฟื้นตัว ราคาสินค้ามีแต่จะปรับตัวขึ้น และเมื่อนั้น บริษัทก็จะกลับมาทำกำไรได้อย่างงดงาม และในกรณีที่ราคาสินค้าไม่ปรับตัวขึ้นเราก็ยังเห็นว่าบริษัทก็ยังสามารถทำกำไรได้ ในสถานการณ์แบบนี้ และราคาหุ้นของบริษัทได้ปรับตัวลงมาต่ำกว่าครึ่งหนึ่งของราคาหุ้นก่อนวิกฤติ การซื้อหุ้นไว้ก็อาจจะทำให้เราสามารถทำกำไรรได้อย่างงดงาม อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงก็ยังมีอยู่ในกรณีที่ราคาโภคภัณฑ์อาจจะลดลงไปได้อีกเนื่องจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นในช่วงก่อนใกล้วิกฤติ ดังนั้น การวิเคราะห์ในเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องจำเป็นเพื่อที่จะลดความเสี่ยงในการลงทุนลง
ทั้งหมดนั้นก็เป็นเพียงบางส่วนของกลยุทธ์ในการมองหาโอกาสจากวิกฤติ ซึ่งถ้าทำดี ๆ เราก็จะได้เงินมากและเร็วกว่าในภาวะปกติ ความเสี่ยงนั้นมีแน่ แต่มักจะเป็นระยะเวลาสั้น ๆ ไม่เกินหนึ่งหรือสองปี ดังนั้น คนที่จะลงทุนซื้อหุ้นในช่วงนี้จะต้องเข้าใจและทำใจให้ได้
ในยามเศรษฐกิจวิกฤตินั้น การซื้อขายหุ้นน่าจะต้องมีความแตกต่างจากการลงทุนในภาวะปกติอยู่บ้าง ต่อไปนี้คือแนวทางที่ผมคิดว่าควรจะนำไปพิจารณาถ้าคิดจะซื้อหุ้นในยามนี้
ข้อแรก บริษัทหรือกิจการที่เราจะลงทุนนั้น เราจะต้องมั่นใจว่ามันจะไม่ “เจ๊ง“ หรือล้มละลายหรือต้องเพิ่มทุนมากมายเพื่อที่จะกู้ฐานะของกิจการ นี่เป็นกฏที่สำคัญ เพราะในยามวิกฤตินั้น สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือการที่กิจการขาดสภาพคล่องและต้องเลิกกิจการหรือต้องมีการเพิ่มทุนที่ทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นเดิมมีมูลค่าลดลงมาก และถ้าเราซื้อหุ้นไปแล้วเกิดสถานการณ์อย่างนั้น ความเสียหายก็จะมหาศาล
ข้อสอง วิธีที่จะทำให้เราปลอดภัยในการซื้อหุ้นลงทุน นั่นคือ ไม่ใช่ว่าซื้อแล้วหุ้นจะตกลงไปและเราก็กระวนกระวายใจไม่รู้ว่ามันจะกลับขึ้นมาเมื่อไรก็คือ ต้องมองว่าอนาคตโดยเฉพาะในปีนี้หรือปีหน้า กำไรของบริษัทจะต้องไม่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญหรือลดลงมาก เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น ราคาหุ้นก็จะขึ้นไปยาก เผลอ ๆ จะลดลงไปอีก และกว่าจะฟื้นได้ก็อาจจะใช้เวลานาน ดังนั้น ถ้าจะซื้อหุ้นแบบนี้ เราก็น่าจะรอไว้ก่อนได้ รอจนกว่าจะ “เห็นแสงที่ปลายอุโมง“ ก่อนจะดีกว่า
ข้อสาม ในยามที่หุ้นส่วนใหญ่ตกลงมามาก หุ้นจำนวนมากกลายเป็นหุ้น Value ซึ่งรวมถึงหุ้นขนาดใหญ่ที่มีคุณภาพดี มีความเข้มแข็งสูง ดังนั้น ความจำเป็นที่จะลงทุนในหุ้นขนาดเล็กที่ยังไม่ค่อยได้พิสูจน์ถึงคุณภาพของกิจการจึงมีน้อย เช่นเดียวกัน การลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ นั้น ความเสี่ยงย่อมจะต่ำกว่าหุ้นขนาดเล็ก ทั้งในเรื่องของผลประกอบการของกิจการเองและในเรื่องสภาพคล่องของหุ้น พูดกันชัด ๆ ก็คือ ถ้าซื้อหุ้นขนาดเล็กแล้วพลาด ความเสียหายบางทีจะสูงมาก เพราะเวลาขายจะหาคนซื้อยากและราคาก็จะตกลงมากกว่าปกติ นอกจากนั้น ในเวลาที่ตลาดหุ้นฟื้นตัว หุ้นขนาดใหญ่ก็มักจะปรับตัวขึ้นก่อน
สำหรับกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจลงทุนในยามวิกฤติแบบนี้ก็คงจะมีมากมาย ผมเองลองนึกดูก็พอจะบอกได้สามสี่กลุ่มดังต่อไปนี้
กลุ่มแรกก็คือกลุ่มที่มี Monopoly Power หรือมีอำนาจผูกขาดทางการตลาดสูง ข้อสังเกตก็คือ บริษัทในกลุ่มนี้จะมีกำไรต่อเนื่องมานาน อย่างไรก็ตาม ในยามวิกฤติ ยอดขายอาจจะตกลงไปมากทำให้กำไรลดลงมากหรืออาจจะขาดทุน นี่ทำให้ราคาหุ้นตกลงไปมาก แต่ถ้าเรามั่นใจว่าในอนาคตเศรษฐกิจจะต้องฟื้นและยอดขายของกิจการก็จะกลับมาอย่างน้อยเท่าเดิม และกำไรก็น่าจะกลับมาเท่าเดิมได้ แบบนี้ เราก็สามารถที่จะเก็บหุ้นลงทุนได้ โดยที่ราคาหุ้นที่เราจะซื้อนั้น อย่างน้อยควรจะเท่ากับหรือต่ำกว่าครึ่งหนึ่งของราคาหุ้นของบริษัทก่อนที่จะเกิดวิกฤติ เมื่อซื้อแล้วก็รอจนกว่าเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้นและยอดขายของกิจการฟื้นตัว โดยที่กระบวนการนี้เราคาดว่าไม่น่าเกิน 4 -5 ปี ซึ่งก็ยังคุ้มค่า เพราะการลงทุน 5 ปีแล้วราคาหุ้นขึ้นมาได้หนึ่งเท่าตัวนั้น เท่ากับผลตอบแทนทบต้นปีละถึง 15%
กลุ่มที่สอง นี่คือกลุ่มที่น่าจะปลอดภัยที่สุดแต่ผลตอบแทนอาจจะไม่หวือหวาเมื่อเทียบกับกลุ่มแรก นี่คือหุ้นของกิจการที่ดีเยี่ยมหรือเป็น Super Company บริษัทในกลุ่มนี้เป็นกิจการที่แข็งแกร่ง มีความได้เปรียบคู่แข่งอย่างยั่งยืน มียอดขายและกำไรที่เติบโตต่อเนื่องมายาวนาน สินค้าทดแทนมีน้อยหรือไม่มี ข้อสังเกตของกิจการในกลุ่มนี้ก็คือ แม้ในยามที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ยอดขายก็ไม่ลดลงหรือยังเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับกำไรที่มักจะยังรักษาอยู่ได้หรือเพิ่มขึ้น และทั้งสองอย่างนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นจากรายการที่ผิดปกติหรือเป็นเรื่องของการลงบัญชีหรือเป็นกำไรที่เกิดจากการขายในอดีต ถ้าเป็นแบบนี้ และราคาหุ้นตกลงมาหรือไม่ได้ปรับตัวขึ้นอย่างที่มันควรเป็น การซื้อหุ้นแบบนี้ก็คือ โอกาสในการซื้อหุ้น Super Stock ในราคาถูกหรือราคายุติธรรม ซึ่งก็จะเป็นแนวการลงทุนแบบที่ วอเร็น บัฟเฟตต์ ชอบใช้
กลุ่มที่สามที่ผมจะพูดถึงก็คือ การเล่นหุ้น Commodities หรือสินค้าโภคภัณฑ์ นี่จะเป็นการลงทุนประเภท High Risk, High Return หรือเล่นแบบกล้าได้กล้าเสีย เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสู่งแต่ก็คาดว่าจะได้ผลตอบแทนที่สูงกว่าปกติ แนวความคิดนี้ก็คือ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ได้ปรับตัวลงมามากเนื่องจากภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ นั่นทำให้บริษัทที่ผลิตสินค้าโภคภัณฑ์เช่นน้ำมัน ปิโตรเคมี ต้องขาดทุนกันอย่างหนัก ราคาหุ้นของบริษัทเหล่านั้นตกลงมามาก แต่ราคาโภคคภัณฑ์เหล่านั้นเราเห็นว่าเริ่มอยู่ตัวแล้ว ในอนาคต โดยเฉพาะถ้าเศรษฐกิจฟื้นตัว ราคาสินค้ามีแต่จะปรับตัวขึ้น และเมื่อนั้น บริษัทก็จะกลับมาทำกำไรได้อย่างงดงาม และในกรณีที่ราคาสินค้าไม่ปรับตัวขึ้นเราก็ยังเห็นว่าบริษัทก็ยังสามารถทำกำไรได้ ในสถานการณ์แบบนี้ และราคาหุ้นของบริษัทได้ปรับตัวลงมาต่ำกว่าครึ่งหนึ่งของราคาหุ้นก่อนวิกฤติ การซื้อหุ้นไว้ก็อาจจะทำให้เราสามารถทำกำไรรได้อย่างงดงาม อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงก็ยังมีอยู่ในกรณีที่ราคาโภคภัณฑ์อาจจะลดลงไปได้อีกเนื่องจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นในช่วงก่อนใกล้วิกฤติ ดังนั้น การวิเคราะห์ในเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องจำเป็นเพื่อที่จะลดความเสี่ยงในการลงทุนลง
ทั้งหมดนั้นก็เป็นเพียงบางส่วนของกลยุทธ์ในการมองหาโอกาสจากวิกฤติ ซึ่งถ้าทำดี ๆ เราก็จะได้เงินมากและเร็วกว่าในภาวะปกติ ความเสี่ยงนั้นมีแน่ แต่มักจะเป็นระยะเวลาสั้น ๆ ไม่เกินหนึ่งหรือสองปี ดังนั้น คนที่จะลงทุนซื้อหุ้นในช่วงนี้จะต้องเข้าใจและทำใจให้ได้