Thai VI

พอดีสนใจ BEC แต่พอมาดูๆเทียบกับ MCOT แล้วเลือกไม่ถูกเลยครับ

ผมชอบรายการของช่อง 9 มากกว่าครับ แต่ BEC ก็เป็นเบอร์ 1 ในอุตสาหกรรม

ปันผลพอๆกัน 1 บาทกว่าๆ

BEC :

- รายได้ตอนนี้อันดับ 1-2
- rating อันดับ 2

ตอนนี้ผมว่ามันแพงกว่า MCOT ครับ PE 13 กับ 7 ปันผลได้ % น้อยกว่า  

MCOT :

- รายได้อันดับ 4
- rating อันดับ 3

ผมว่า MCOT แนวโน้มรายได้น่าจะโตได้อีกครับ ปรับปรุงรายการข่าว ซิดคอม The Star พวกนี้เป็นตัวเด่นๆ

MCOT ผมกังวลเรื่อง สัมปทานเนี่ยล่ะครับ ไม่รู้ว่าจะส่งผลขนาดไหน  








อีกเรื่องคือ MCOT มันจะมีปัญหาเกี่ยวกับการเมืองมั๊ยครับ ในอดีตเคยมีเรื่องอะไรที่ไม่ดีๆบ้างครับ แล้วทำไมคุณวสันต์ถึงลาออกครับ  :?:

ขอบคุณครับ

ขอยืมคำพูดของ ดร.นิเวศน์เมื่อวานนะครับ

ถ้าไม่แน่ว่าอีก 5 ปีมันจะเป็นยังไง ก็อย่าไปเสี่ยงครับ :lol:

ถ้าพ.ร.บ.มีผลบังคับใช้จริงๆ (และผมคิดว่าจะเป็นกรณีที่ 2)
ผมว่า MCOT ราคานี้ไม่ถูกแล้ว

ส่วน BEC มีกฏหมายคุ้มครองไปอีกซักพัก (จำตัวเลขแน่ๆไม่ได้ คิดว่าเกิน 5 ปี)
แต่คิดว่าเวลาสัญญาหมด น่าจะได้สิทธิ์ในการต่อสัญญาก่อนเจ้าอื่น

แต่ทั้งอุตสาหกรรมก็มีความเสี่ยงว่า ถ้าเกิดเสรีจริงๆ อัตราค่าโฆษณาน่าจะต้องลดลง
เพราะจะมีช่องต่างๆเกิดใหม่เต็มไปหมด และการแข่งขันด้านราคา (และเนื้อหา) น่าจะแรงขึ้น

ปล. มี BEC ครับ ชักเสียวๆแหะ :lol:

รอท่านอื่นมาเพิ่มเติมครับ

ผมอ่านเจอในคอลัมน์ของคุณนิติภูมิในไทยรัฐ เขียนว่าตอนนี้คนต่างจังหวัด ติดจานดาวเทียม กับดูเคเบิลท้องถิ่นกันแทบทุกบ้าน ฟรีทีวีก็ดูผ่านนั้นแทน
     ผมคิดว่า ไม่น่าสนใจทั้งสองตัวเพราะไม่รู้แน่ว่าใครจะได้ประโยชน์ และยังต้องลงทุนต่อเนื่อง
     ส่วนตัวเห็นว่าบริษัทที่เป็น content provider เช่น Grammy น่าจะได้ประโยชน์ มากที่สุดเพราะมีช่องทางให้เลือกมากขึ้น ต้นทุนถูกลง และยังไม่ต้องลงทุนมากเสียเอง

mcot ต้องแย่งออกเป็นสองส่วน
สองแรกเป็นใหญ่ๆคือรายได้จากโทรทัศน์ และ วิทยุ ซึ่งเป็นของตัวเอง
กับรายได้ที่ได้จากค่าเช่าและค่าสัมปทาน

ต้องวิเคราะห์กันต่อไปว่า มันกระทบกันอย่างไง
ตัวกฏหมายกระทบตัวที่สองไม่ใช่ตัวแรก
เพราะ ค่าสัมปทาน อันนี้มีค่าสัมปทานของ BEC กับ UBC เดิม (ชื่อตอนนี้เป็น TRUE VISIONS) ตัวนี้คือจุดที่กระทบหนัก ว่ามันแปลงสัมปทานเป็นอะไร

ต้องหาให้ได้ว่า รายได้จากสองหลังนี้ มีมากน้อยแค่ไหน

ส่วน BEC ต้องดูที่รายได้
รายได้มาจากส่วนของโทรทัศน์มากกว่า วิทยุ แบบคิดเป็น % กันห่างกันลิบลับ ส่วน CVD ซื้อมาก็ยังไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเท่าไร (ซื้อมาสองปีแล้ว) ต้องรอดูต่อไปว่าทำอะไรได้สำหรับ CVD นี้

ตอนนี้อุตสาหกรรมนี้ โดนผลกระทบจาก วิกฤติ แฮมเบอร์เกอร์ เข้าอย่างจัง คือ โฆษณาหดตัว ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจของประเทศ

ส่วนราคาไม่ต้องพูดถึงเท่าไร เพราะ คนในนี้ก็รู้ดีกันอยู่แล้วอะไรเป็นอะไร

ใครมีความรู้กรุณามาแบ่งปันให้แก่ผู้ไม่รู้น่ะครับ
และใครที่อ่านกรุณาเอาไป Verify ต่อด้วยน่ะครับ ไม่ใช่เอาไปเลยทันทีทันใด

ถ้าให้เลือก 2 ตัวนี้  ผมว่า BEC ก็ยังดูดีกว่า    

ทั้งในแง่ผู้นำตลาด(สูสีกับช่อง 7 แต่ช่อง 7 ไม่มีให้ซื้อ เหอๆ) :lol:

ทั้งในแง่ทรัพยากรบุคคล ทีมข่าวค่อนข้างแน่นปึ๊ก  ละครก็ยังแข็งแกร่ง  เงินสดในมือล้นทะลัก

และโดยส่วนตัว  ผมก็ยังมองว่าพฤติกรรมของผู้ชมอย่างเราๆ  หลักๆก็ยังดูช่อง 3,5,7,9 กันอยู่  โฆษณาหลักๆก็ยังเน้นที่ช่องพวกนี้อยู่  และน่าจะเป็นอย่างนี้อีกนานพอสมควร (ผมให้เป็น 10 ปีเลย)  ถ้าเปิดเสรี  ถึงตอนนั้น  ผมก็ยังคิดว่าพวกนำตลาดยังคงจะได้เปรียบอยู่  เพราะวงการนี้  ถ้าไม่เจ๋งจริงๆก็อยุ่ไม่ได้เหมือนกัน  

ผมว่าช่อง 3 นี่เค้ามีอย่างที่บัฟเฟตต์เรียกว่า franchises มากกว่าช่อง 9 แน่นอนครับ โดยเฉพาะละครหลังข่าว

Quadrifoglio Verde เขียน:ผมว่าช่อง 3 นี่เค้ามีอย่างที่บัฟเฟตต์เรียกว่า franchises มากกว่าช่อง 9 แน่นอนครับ โดยเฉพาะละครหลังข่าว

ช่อง 3 แข่งกับช่อง 7 ในเรื่องของละครตลอดเวลา
ผันกันแพ้ผลัดกันชนะ บ้างครั้งละครช่องสามประกาศ ช่อง 7 ประกาศตาม
ก็เคยมีให้เห็นแล้ว

ส่วน ผู้จัดละครก็พอกันๆ เพราะ เป็นค่ายหลักๆ ทั้งนั้น

ช่องเก้าไม่ได้แข่งละครโดยตรง แต่เป็นทางเลือกให้คน
คือ ฉีกมุมไปเป็นสาระบนความบันเทิงในช่วงเวลาของละครทั้งสองช่อง
ผมว่าจุดนี้คือ blue ocean เล็กๆเลย
ดูได้จากความดังของเกมทศกัณฑ์เด็กก็ดี ผู้ใหญ่ก็ดี
หรือ คุณพระช่วย พวกนี้ ถ้าใครเบื่อเรื่องของละครก็เปิดดูได้

รบตรงจุดแข็ง มันชนะไม่ได้หรอก
แต่ต้องตีบนจุดอ่อนของศัตรู มันชนะง่ายๆ

ส่วนตัวคิดว่า ติดดาวเทียมหรือเคเบิ้ลมากขึ้น น่าจะเป็นผลดีมากกว่าครับ

รับสัญญาณไว้ดูฟรีทีวีได้ชัดขึ้น เพราะยังไงช่องของเคเบิ้ลกับฟรีทีวีเนื้อหารายการยังต่างกันมากอยู่ครับ  :P

miracle เขียน:mcot ต้องแย่งออกเป็นสองส่วน
สองแรกเป็นใหญ่ๆคือรายได้จากโทรทัศน์ และ วิทยุ ซึ่งเป็นของตัวเอง
กับรายได้ที่ได้จากค่าเช่าและค่าสัมปทาน

ต้องวิเคราะห์กันต่อไปว่า มันกระทบกันอย่างไง
ตัวกฏหมายกระทบตัวที่สองไม่ใช่ตัวแรก
เพราะ ค่าสัมปทาน อันนี้มีค่าสัมปทานของ BEC กับ UBC เดิม (ชื่อตอนนี้เป็น TRUE VISIONS) ตัวนี้คือจุดที่กระทบหนัก ว่ามันแปลงสัมปทานเป็นอะไร

ต้องหาให้ได้ว่า รายได้จากสองหลังนี้ มีมากน้อยแค่ไหน

ไปหามาละครับ  :P  



780 ล้าน ก็ 18%  :shock:

MCOT มีรายได้สัมปทาน ของทรูวิชชั่น 18% ของรายได้แต่อย่าลืมว่าส่วนนี้แทบไม่มีค่าใช้จ่าย มาร์จินจะสูงมากๆ ถ้าตัดกำไรส่วนนี้ไปครึ่งนึงกำไรลดฮวบเลยทีเดียว

ความเสี่ยงตรงสัมปทานนี้เป็นตัวกดดันราคาไว้ เห็นบอกว่าจะประกาศก็เลื่อนมาเรื่อย

ความเสี่ยงจากการเมืองช่วงหลังทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนรัฐบาลจะมีการเปลี่ยนแปลงบอร์ดและผู้บริหาร ทำให้นโยบายและการดำเนินงานไม่ต่อเนื่องกัน
อันนี้หนักรองลงมาก

ในระยะยาวหากตั้ง กสทช แล้วเสร็จ จะสามารถขอสัมปทานช่องเล็ก ช่องน้อยได้เต็มไปหมด ยกตัวอย่างผมที่อยู่ชลบุรี เคเบิ้ลทีวีมีกันเกือบทุกบ้าน เคยฟังผู้บริหารมีเดีย ชี้แจงว่าการเปิดช่องใหม่ให้ต้นทุนที่ไม่สูงมากแล้ว และยังสามารถให้ช่องเคเบิ้ลมีโฆษณาได้แล้วด้วย

Barrier of entry จะลดลงในอนาคต ถ้าเป็นไปตามที่ผมคิดแต่ผมไม่แน่ใจว่า จะกินเวลานานแค่ไหน น่าจะซัก 5 ปี

ช่วงสั้นๆนี้ ช่องใหญ่ยังตักตวงผลประโยชน์ได้อย่างเต็มที่

ขอบคุณทุกความเห็นครับ  :P

แล้วที่ให้ ทรูมีโฆษณาได้ มีผลต่อmcotมากไหม