Value Way ฉบับวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2552
โดยวิบูลย์ พึงประเสริฐ
กว่าจะเป็นเซียน (1)
ท่านดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนแบบเน้นคุณค่าระดับตำนานของไทยได้ให้สัมภาษณ์ในหนังสือพิมพ์ดิจิตอลรายวันสถานีนักลงทุน Investor Station (www.istationnews.com) ซึ่งบทสัมภาษณ์ดังกล่าวน่าสนใจในหลักการและชีวิตการลงทุนของท่านมาก จึงขอนำมาลงในบทความนี้
หนทางสองหมื่นลี้ต้องเริ่มที่ก้าวแรก
เรื่องการลงทุน ผมลงไปเต็มตัว 100% ตอนดัชนีฯ อยู่ประมาณ 800 กว่าจุด ราวปลายปี 2540 (ตอนนั้นประเทศไทยประกาศลอยตัวค่าเงินบาท) จุดหลักก็คือผมไปเห็นหุ้นบางตัวที่มีราคาลงมาเยอะมากและไม่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ โดยกำไรและเงินปันผลไม่ได้ลดลงเลย ในขณะที่บางตัวกลับสวนทางดีขึ้นด้วย อย่างเช่นหุ้นส่งออก เป็นต้น ซึ่งได้ผลบวกจากการที่ค่าเงินบาทอ่อนลง การที่เข้าไปซื้อก็เน้นตัวธุรกิจจริงๆ ไม่ได้หวังกำไรจากส่วนต่างราคาหุ้น เพราะหุ้นตัวที่ซื้อราคานิ่งมากวอลุ่มก็ไม่ค่อยมี คนที่เล่นหุ้นตอนนั้นหวังกำไรจากส่วนต่างราคาหรือ Capital Gain คงยาก หวังได้อย่างเดียวคือเงินปันผล ก็เลยทยอยเก็บหุ้นไปเรื่อยจนเงินหมดโดยไม่รู้ตัว ซึ่งตอนนั้นมีเริ่มต้นประมาณ 10 ล้านบาท
เทใจให้เต็ม 100 ถึงแม้ว่าจะลงทุนเต็ม 100% ตอนนั้นก็ไม่ได้มีแผนสำรองว่าถ้าหากผิดพลาดขึ้นมาจะทำอย่างไร แต่เชื่อมั่นว่าหุ้นแต่ละตัวที่ซื้อมานั้นแข็งแกร่งและโอกาสที่จะขาดทุนมีน้อยมาก แถมยังมีการกระจายการลงทุน 7-10 ตัว อาทิ TF, WACOL, SSC, APRINT เป็นต้น ซึ่งทำให้โอกาสที่จะพลาดจึงต่ำลงไปอีก แต่ถ้าเกิดพลาดขึ้นมาก็คงจะไม่พลาดแบบหายนะ อาศัยจากปันผลก็ยังทำให้อยู่ได้ ต้องยอมรับว่าความโดดเด่นของเครือสหพัฒน์ฯ ตอนนั้นคือ ไม่มีหนี้ เพราะเคยเจอวิกฤติการลดค่าเงินบาทสมัยป๋าเปรม จึงไม่มีการไปก่อหนี้ต่างประเทศ และจริงๆ คือไม่ก่อหนี้เลย ทำให้มีกระแสเงินสดแข็งแกร่ง และตัวธุรกิจของเขาคือ คอนซูมเมอร์โปรดักส์ การที่ถึงแม้ประชาชนจะลดการใช้จ่าย แต่จะไม่ลดพวกนี้หรือลดน้อย เช่น มาม่า ตอนเกิดวิกฤตแล้วยอดขายกลับดีขึ้น หลังจากนั้นดัชนีหุ้นก็ลงต่อจาก 800 จุดมาที่ 200 กว่าจุด แต่พอร์ตของผมกลับสวนทางขึ้นมีกำไร และหากเทียบกับดัชนีฯ วันนี้ก็ถือได้ว่าลงมาครึ่งหนึ่งของเมื่อ 10 ปีที่แล้ว แต่พอร์ตของผมก็โตมาได้หลายสิบเท่า ซึ่งก็ถือว่าวิธีแบบนี้สามารถทนทานต่อภาวะตลาดได้
หัวใจหุ้นคุณค่า
ประเด็นสำคัญของหุ้นที่ผมเลือกซื้อคือ ต้องดูว่า 1) รายได้ไม่ลด 2) กำไรไม่ลด 3) หนี้ไม่มี 4) ความเสี่ยงที่จะเกิดจากความต้องการสินค้าน้อยลงมีน้อยมาก 5) ราคาต่ำแต่มีเงินปันผลจ่ายสูง และ 6) ต้องมีจุดแข็งทางด้านการตลาด โดยมีมาร์เก็ตแชร์เป็นอันดับ 1 และเป็นผู้นำอย่างโดดเด่นซึ่งทิ้งห่างเบอร์ 2 จากหลักทั้งหมดนี้ทำให้ความเสี่ยงเฉพาะของหุ้นแต่ละตัวมีน้อยมาก และถ้ามีเป็นพอร์ตโฟลิโอ ความเสี่ยงมันก็จะลดลงอีกหลายเท่า เพราะฉะนั้นผมเลยรู้สึกว่าความเสี่ยงอันนี้รับได้เลย แม้กระทั่งถึงขั้นไม่มีงานทำก็รับได้ และคิดว่าในที่สุดแล้วเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวหุ้นพวกนี้ก็จะดีขึ้นอีก ก็เลยค่อยๆ ซื้อไป อย่างวิกฤตในปัจจุบันนี้นักลงทุนก็ต้องหาหุ้นที่ว่า ในที่สุดมันต้องกลับมาและธุรกิจที่ซื้อก็ต้องได้ประโยชน์โดยตรงชัดเจนไม่มีใครมาแย่ง
จากยุ่งกลายเป็นรุ่ง
ความจริงซื้อไปใหม่ๆ ก็กำไรไม่เยอะนะ ช่วงนั้นยังอยู่ในภาวะวิกฤต หุ้นยังลงต่ออยู่ จาก 800 จุดเหลือ 200 จุด แต่หุ้นที่ผมเลือกไม่ตกเลย แต่ปรับขึ้นตลอด ช่วงแรกๆ ก็ขึ้นสิบกว่าเปอร์เซ็นต์ แต่พอเศรษฐกิจเริ่มฟื้นก็ปรับขึ้นทีละหลายสิบเปอร์เซ็นต์ตลอดเลย และก็ต่อเนื่องมาเป็น 10 ปี ซึ่งถ้าเทียบแบบปีต่อปี ก็มีเพียงปี 2546 ที่มูลค่ารวมของพอร์ตปรับลดลงจากปีก่อนหน้า ทั้งนี้เพราะปี 2545 ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นไปกว่า 100% ส่วนปีนี้ (2551) คาดว่าจะเป็นปีที่ 2 ที่ทำให้ผลตอบแทนในพอร์ตของผมลดลง หมายถึงว่าไม่ขยายตัวจากปีก่อนหน้า เพราะที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตมาโดยตลอด
ถือหุ้นแบบวีไอ
โดยเฉลี่ยหุ้นที่ถืออยู่ก็ประมาณ 4-5 ปี แม้ว่าตอนซื้อมาไม่ได้มีเป้าหมายว่าจะถือตลอดไป แต่ก็ไม่ได้มีเป้าหมายว่าจะขายเมื่อไหร่เหมือนกัน เมื่อซื้อมาแล้วก็ติดตามไปเรื่อยๆ อันแรกก็ติดตามฐานะทางการแข่งขันและการตลาดก่อน จากนั้นก็ค่อยไปดูฐานะการเงินและผลการดำเนินงาน ดูพัฒนาการไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเราเห็นว่ามีพัฒนาการตกต่ำลงจึงค่อยขายออกไปอย่างเช่น หุ้นเสริมสุข (SSC) ที่หลังๆ ก็นิ่งมากและไม่มีอะไรใหม่ๆ ออกมา พฤติกรรมผู้บริโภคก็เริ่มเปลี่ยนไปหาเครื่องดื่มสุขภาพมากขึ้น ผลการดำเนินงานก็ลดลงก็เลยขายไป เพื่อเล่นตัวอื่นที่มาแรงกว่า ถูกกว่า ผลการดำเนินงานดีกว่า ซึ่งก็คือการสวิตช์ ทั้งนี้ก็ต้องมีการประเมินอยู่ตลอดเวลา และในช่วงตลอดเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาไม่เคยคิดที่จะขายเพื่อเก็บเงินสด คือก่อนจะขายจะต้องมีตัวใหม่มาเปรียบเทียบก่อน ถ้าตัวใหม่เปรียบเทียบแล้วดีกว่าจึงจะขายตัวเก่าและซื้อตัวใหม่
Value Way กว่าจะเป็นเซียน(1) : วิบูลย์ พึงประเสริฐ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 795
- ผู้ติดตาม: 0
Value Way กว่าจะเป็นเซียน(1) : วิบูลย์ พึงประเสริฐ
โพสต์ที่ 1
Miracle Happens Everyday !
"ปาฎิหารย์คือการเดินบนผืนดินและมีความสุขในทุกย่างก้าว"
"ปาฎิหารย์คือการเดินบนผืนดินและมีความสุขในทุกย่างก้าว"
-
- Verified User
- โพสต์: 1254
- ผู้ติดตาม: 0
Value Way กว่าจะเป็นเซียน(1) : วิบูลย์ พึงประเสริฐ
โพสต์ที่ 2
ถ้านำเอาการลงทุนของท่านซียนในการเริ่มลงทุนอย่างจริงจังตอนปลายปี40ดัชนียังลงต่อได้อีก60กว่า% นำมาเทียบกับการลงทุนมากๆอีกครั้งของดร.นิเวศน์แถวช่วงนี้แสดงว่า โอ้ดัชนีจะเหลือเท่าไรครับเนี่ย :shock: :lol:
-
- Verified User
- โพสต์: 413
- ผู้ติดตาม: 0
Value Way กว่าจะเป็นเซียน(1) : วิบูลย์ พึงประเสริฐ
โพสต์ที่ 3
[quote="ศิษย์เซียน007"]ถ้านำเอาการลงทุนของท่านซียนในการเริ่มลงทุนอย่างจริงจังตอนปลายปี40ดัชนียังลงต่อได้อีก60กว่า% นำมาเทียบกับการลงทุนมากๆอีกครั้งของดร.นิเวศน์แถวช่วงนี้แสดงว่า โอ้ดัชนีจะเหลือเท่าไรครับเนี่ย
Even Sir Isaac Newton loss in stock market
"You can't predict the future, because the future depends on how you react to it."
ซื้อหุ้นเมื่อคนส่วนใหญ่หมดศรัทธาในหุ้นและเทขายอยู่ นั่นคือเวลาตี5ในการจ่ายตลาด....จาก สอง ว. ผู้ยิ่งใหญ่
"You can't predict the future, because the future depends on how you react to it."
ซื้อหุ้นเมื่อคนส่วนใหญ่หมดศรัทธาในหุ้นและเทขายอยู่ นั่นคือเวลาตี5ในการจ่ายตลาด....จาก สอง ว. ผู้ยิ่งใหญ่
-
- Verified User
- โพสต์: 1254
- ผู้ติดตาม: 0
Value Way กว่าจะเป็นเซียน(1) : วิบูลย์ พึงประเสริฐ
โพสต์ที่ 4
[quote="AuI_a VI"][quote="ศิษย์เซียน007"]ถ้านำเอาการลงทุนของท่านซียนในการเริ่มลงทุนอย่างจริงจังตอนปลายปี40ดัชนียังลงต่อได้อีก60กว่า% นำมาเทียบกับการลงทุนมากๆอีกครั้งของดร.นิเวศน์แถวช่วงนี้แสดงว่า โอ้ดัชนีจะเหลือเท่าไรครับเนี่ย