http://www.stock2morrow.com/forums/show ... php?t=3019
เจพีฯยาหอมตลาดหุ้นเกิดใหม่ฟื้นตัวก่อนใคร
เจพีมอร์แกน แจกข่าวดีหุ้นไทย ฟันธงตลาดเกิดใหม่ฟื้นตัวก่อนตลาดภูมิภาคอื่น แม้จะได้รับผลกระทบจากภาวะถดถอยหลังสุด เหตุได้นโยบายการเงิน -รัฐอัดงบกระตุ้นศก. โดยเฉพาะการได้เศรษฐกิจจีนช่วยหนุนอีกแรง คาดหุ้นที่จะฟื้นตัวกลุ่มแรก คือกลุ่มแบงก์ กลุ่มที่อิงกับการบริโภคในประเทศ และสินค้าอิเล็กฯ ขณะที่โบรกเกอร์ ร่วมหนุน เชื่อมาตรการกระตุ้นการลงทุนทำให้ศก. ฟื้นตัวเร็ว มองตลาดหุ้นไทยผ่านจุดที่เลวร้ายสุดแล้ว แนะนำซื้อสะสมหุ้นพื้นฐานดี จ่ายเงินปันผลสูง เช่น กลุ่มสื่อสาร-แบงก์ แต่นายแบงก์ ยังไม่เชื่อจะฟื้นเร็ว เหตุศก.ประเทศเกิดใหม่ยังพึ่งพิงส่งออกมากเกินไป
เริ่มศักราชใหม่ปีนี้ ต้องยอมรับว่าตลาดหุ้นทั่วโลกเจอบททดสอบอย่างหนักทีเดียว ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวต่อเนื่อง จนเข้าสู่ภาวะถดถอยในหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา กลุ่มประเทศยูโรโซน และรวมไปถึงประเทศในภูมิภาคเอเซียอย่างญี่ปุ่นที่ต่างออกมายอมรับว่าประเทศตัวเองกำลังเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างหนัก ในขณะที่พี่เบิ้มคือประเทศจีนนั้น แม้จะยังไม่ประสบกับปัญหาเหมือนญี่ปุ่น แต่การขยายตัวก็ยังมีอย่างต่อเนื่องแม้ว่าจะขยายตัวในอัตราที่ชะลอตัวลงก็ตาม ในขณะที่ประเทศในกลุ่มเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ว่าจะเป็นไทย สิงคโปร์ อินโดนิเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ฯลฯ ประคองตัวให้ไม่ติดลบได้ก็ถือว่าดีที่สุดแล้ว เพราะมีการคาดการณ์จากสถาบันการเงิน โบรกเกอร์หลายสำนักทั้งในและต่างประเทศว่าตัวเลขเศรษฐกิจ หรือจีดีพี ของกลุ่มประเทศดังกล่าวจะติดลบกันถ้วนหน้า โดยเฉพาะสิงคโปร์ที่ติดลบถึง 2 หลัก เนื่องจากพึ่งพาการส่งออกไปต่างประเทศมากที่สุด
ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าในรอบ 1-2 เดือนของปี 2552 นี้ ตลาดหุ้นแทบจะทุกภูมิภาคของโลก ต้องประสบกับสภาวะการณ์เดียวกันหมด นั่นคือภาวะการซื้อขายที่ค่อนข้างจะซบเซา ดัชนีที่ปรับตัวลดลง เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่ชะลอการลงทุนเพื่อรอความชัดเจนในหลายๆเรื่อง ทั้งแผนกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 8 แสนล้านดอลลาร์ของสหรัฐฯ และรวมไปถึงอีกหลายๆประเทศ โดยเฉพาะการฟื้นฟูสถาบันการเงินที่ขาดสภาพคล่องมาตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ซึ่งในส่วนของตลาดหุ้นไทยก็ไม่แตกต่างจากตลาดหุ้นประเทศอื่น เนื่องจากนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศก็รอคอยเรื่องดังกล่าวเช่นกัน รวมไปถึงแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ว่าจะเห็นผลมากน้อยแค่ไหน นอกจากนี้ปัญหาการเมืองในประเทศ ซึ่งกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ยังคงปักหลักกดดันรัฐบาล และเตรียมจะเคลื่อนไหวอีกครั้งในวันที่ 14 ก.พ. รวมไปถึงการจะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล และยื่นญัตติเพื่อขอถอดถอนนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 12-13 มีนาคมนี้นั้น ก็ยังคงเป็นปัจจัยที่กดดันการลงทุนในตลาดฯ เช่นเดิม
อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าตลาดหุ้นจะไร้ซึ่งข่าวดีไปหมดทุกอย่าง แม้อาจจะถูกปัจจัยลบทั้งใน นอกประเทศ กระทบ เนื่องจากวานนี้ (12 ก.พ.) บริษัทหลักทรัพย์ยักษ์ใหญ่ในต่างประเทศอย่างเจพีมอร์แกน ระบุว่าตลาดหุ้นไทย ซึ่งรวมอยู่ในตลาดหุ้นเกิดใหม่นั้น จะฟื้นตัวในระยะเวลาไม่นานนักและน่าจะฟื้นตัวก่อนตลาดหุ้นภูมิภาคอื่น
*เจพีฯ ชี้นโยบายศก.-การเงิน หนุนตลาดหุ้นเกิดใหม่ฟื้นเร็ว
รายงานข่าวบนเว็บไซท์บลูมเบิร์กดอทคอมระบุว่า เจพีมอร์แกนเชสแอนด์โค คาดตลาดเกิดใหม่จะเป็นกลุ่มสุดท้ายที่เข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย แต่จะเป็นกลุ่มแรกที่ฟื้นตัวจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย หลังจีนและประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
นายเอเดรียน โมวัตหัวหน้านักวิเคราะห์กลุ่มตลาดเกิดใหม่ของเจพีมอร์แกนระบุว่า การลดอัตราดอกเบี้ยและการใช้จ่ายภาครัฐจะช่วยให้ตลาดเกิดใหม่ฟื้นตัวจากภาวะเศรษฐกิจ แม้กำไรของภาคธุรกิจจะลดลงในช่วงครึ่งปีแรกก็ตาม
โดยเจพีมอร์แกนคาดว่า หุ้นที่จะฟื้นตัวเป็นกลุ่มแรกจะอยู่ในกลุ่มหุ้นวัฏจักรเช่น กลุ่มธนาคาร กลุ่มที่อิงกับการบริโภคในประเทศ และกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค
'ตลาดเกิดใหม่จะเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยเป็นกลุ่มสุดท้าย แต่จะเป็นกลุ่มแรกที่ฟื้นตัว เนื่องจากนโยบายการเงินและนโยบายการคลังจะเริ่มทำงาน โดยมีเศรษฐกิจจีนเป็นปัจจัยเกื้อหนุนหลัก' นายโมวัตกล่าว
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2551 ที่ผ่านมา จีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 4 ล้านล้านหยวน (586 พันล้านดอลลาร์) ขณะที่ธนาคารกลางจีนได้ลดอัตราดอกเบี้ยติดต่อกัน 5 ครั้งนับตั้งแต่เดือนกันยายนปีที่ผ่านมา
ขณะเดียวกันวานนี้ ธนาคารกลางเกาหลีใต้ลดอัตราดอกเบี้ย 0.5% มาอยู่ที่ 2% ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
'อัตราดอกเบี้ยในตลาดเกิดใหม่ลดลงอย่างรวดเร็วเกินคาด หลังเงินเฟ้อลดลง ประกอบกับธนาคารกลางในประเทศเหล่านั้นจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจ' นายโมวัตกล่าว
*FNS เชียร์แนวคิดเจพีฯ มองหุ้นไทยผ่านจุดต่ำสุดแล้ว
นายวรุฒม์ ศิวะศริยานนท์ รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันซ่า กล่าวว่า มีความเห็นตรงกันกับคาดการณ์ของเจพีมอร์แกนฯ มองว่าตลาดเกิดใหม่จะเป็นกลุ่มสุดท้ายที่เข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย แต่จะเป็นกลุ่มแรกที่ฟื้นตัวจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย เพราะตลาดเกิดใหม่หรือ Emerging Market ในเอเชียไม่ใช่ต้นตอจุดกำเนิดของวิกฤตเศรษฐกิจในรอบนี้ แต่ผลกระทบที่เผชิญเป็นเพราะในทางการลงทุนได้พึ่งพิงจิตวิทยาการลงทุนจากฟากตลาดหุ้นสหรัฐฯ และมีธุรกรรมการค้าขายส่งออกไปอเมริกาเป็นตลาดหลักซึ่งมียอดการสั่งซื้อมูลค่ามหาศาล และด้วยขนาดของระบบเศรษฐกิจในแต่ละประเทศที่ยังไม่ใหญ่โตมาก การอัดฉีดเงินช่วยเหลือภายของรัฐบาลจึงจะเป็นตัวแปรสำคัญที่ฟื้นฟูสภาพคล่องและเกื้อหนุนการลงทุนได้ โดยเฉพาะการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มุ่งเน้นการใช้จ่ายหรือลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ เช่นเมกะโปรเจ็ก ซึ่งจะกระตุ้นการจ้างงาน รวมไปถึงนโยบายการคลังเช่นการลดภาษีหรือนโยบายการเงินในการลดดอกเบี้ยต่างก็เป็นปัจจัยที่ส่งเสริมให้สภาพคล่องของระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนดีขึ้น
สาเหตุสำคัญที่จะทำให้ตลาดเกิดใหม่ฟื้นตัวได้เร็ว เพราะ 1)หุ้นซื้อขายกันที่ราคาต่ำมากจากแรงขายด้วยความตื่นตระหนกทำให้ราคาหุ้นกว่า 80%ในเอเชียต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง 2)มาตรการกระตุ้นการลงทุนจากภาครัฐจะทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้นได้หลังจากนี้ 3)เงินทุนในโลกจะไหลเข้ามาในเอเชียเพราะย้ายจากสหรัฐฯและยุโรปที่ยังมีความเสี่ยงจากเศรษฐกิจที่ถดถอยระดับซึมลึก4)สถานการณ์การเมืองในประเทศไทยปรับตัวดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับช่วงเลวร้ายในปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้มองว่าตลาดหุ้นไทยผ่านจุดที่เลวร้ายที่สุดหรือ Bottom Out ไปแล้วในช่วงปีที่ผ่านมาที่ดัชนีฯดิ่งลงมาแรงกว่า 400 จุดมาทำจุดต่ำสุดที่บริเวณ 380 จุด ซึ่งในช่วงนี้ตลาดฯกำลังสร้างฐานและยกจุดต่ำสูงขึ้น โดยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆที่รัฐบาลพยายามอัดฉีดเข้ามาน่าจะทำให้เศรษฐกิในประเทศและตลาดหุ้นฟื้นตัวขึ้นได้อย่างเห็นได้ชัดในไตรมาส 3/51 เป็นต้นไป ในช่วงนี้จึงแนะนำซื้อสะสมหุ้นพื้นฐานดีที่จ่ายเงินปันผลสูง เช่น กลุ่มสื่อสาร ADVANC และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่ได้รับผลดีจากสภาพคล่องในระบบการเงินที่มีแนวโน้มดีขึ้น เช่น KBANK -BBL -SCB
*บล.กสิกรฯ ชี้ ตลาดเกิดใหม่ฟื้นตัวเร็ว ให้กรอบ418-460 จุด
นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ตลาดเกิดใหม่จะเป็นกลุ่มแรกที่เกิดการฟื้นตัวจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว เนื่องจากสถาบันการเงินในแถบภูมิภาคเอเซียไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการเงินในครั้งนี้โดยตรง ดังนั้นเม็ดเงินที่จะดึงมาอัดฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจจึงมีมาก จึงมีโอกาสที่เศรษฐกิจจะฟื้นตัวได้เร็วกว่าประเทศทางยุโรปและสหรัฐ
ขณะที่สัญญาณการฟื้นตัวของราคาสินค้าโภคภัณฑ์บางชนิด เช่น ราคาถ่านหิน ราคาเหล็ก และค่าระวางเรือที่รีบาวน์ขึ้นชี้ให้เห็นถึงดีมานด์ที่แท้จริง ที่เริ่มฟื้นตัวจากความต้องการสินค้าจากประเทศจีน และประเทศในแทบภูมิภาคเอเซียหลังรัฐบาลเตรียมอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบผ่านโครงการสาธารณูปโภคต่างๆ
สำหรับแนวโน้มดัชนีในแถบภูมภาคเอเซียในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมาจะเห็นได้ชัดว่าดัชนีเริ่มรีบาวน์ขึ้นและมีความโดดเด่นกว่าตลาดยุโรปและสหรัฐฯ ขณะที่แนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยในปี 52 มองว่าจะไม่เกิดจุดต่ำสุดใหม่ โดยการเคลื่อนไหวของดัชนีฯจะอยู่ในกรอบ 418-460 จุด ดังนั้นเมื่อดัชนีลงหลุด 420 จุดมองเป็นจังหวะที่เข้าซื้อหุ้น และรอขายเมื่อดัชนีทดสอบแนวต้านที่ 460 จุด แนะนำให้เลือกลงทุนกลุ่มถ่านหิน กลุ่มเดินเรือ และ กลุ่มเหล็ก ที่ได้รับอานิสงส์จากความต้องการจากจีน รวมไปถึงให้ลงทุนในกลุ่มพาณิชย์ กลุ่ม สื่อสาร กลุ่มรับเหมา และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ที่จะได้รับอานิงส์จากมาตการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ
*นายแบงก์ ยังไม่เชื่อตลาดเกิดใหม่ฟื้นตัวเร็ว
นายบันลือศักดิ์ ปุสสะรังษี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยธนาคาร จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า เศรษฐกิจของประเทศเกิดใหม่ ซึ่งรวมถึงประเทศไทยไม่น่าจะสามารถฟื้นตัวได้ก่อนภูมิภาคอื่น เนื่องจากประเทศเกิดใหม่เช่น ประเทศไทย เป็นประเทศที่มีการพึ่งพาการส่งออกเป็นสัดส่วนสูง โดยไทยส่งออกถึง 70% ของอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(จีดีพี) ดังนั้นหากเศรษฐกิจของสหรัฐยังไม่ฟื้นเศรษฐกิจของประเทศเกิดใหม่รวมทั้งประเทศไทยก็จะไม่สามารถฟื้นตัวได้
"แม้รัฐบาลของแต่ละประเทศจะพยายามออกมาตรการมาฟื้นฟูเศรษฐกิจก็ตาม แต่การใช้จ่ายของรัฐบาลก็มีเพียง 10% ของ จีดีพีจึงไม่สามารถทดแทนการส่งออกที่มีสัดส่วนมากได้" นายบันลือศักดิ์ กล่าว
สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะฟื้นตัวได้ก่อน หากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวนั้น มองว่าน่าจะเป็นอุตสาหกรรมที่มีความเชื่อมโยงกับการขยายตัวของเศรษฐกิจ เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ รถยนต์ และอสังหาริมทรัพย์ เพราะกลุ่มเหล่านี้จะอ่อนไหวไปตามเศรษฐกิจ ถ้าหากเศรษฐกิจชะลอ ก็จะชะลอตาม แต่ถ้าเศรษฐกิจฟื้นก็จะฟื้นตามส่วนกลุ่มธนาคารพาณิชย์นั้นก็จะเป็นอุตสากรรมที่ฟื้นตัวต่อจากอุตสาหกรรมที่ได้กล่าวมาแล้วเพราะจะต้องมีการเบิกใช้สินเชื่อ ตามเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว
อย่างไรก็ตามแม้กลุ่มธนาคารพาณิชย์ไม่น่าจะฟื้นตัวก่อน แต่ก็สามารถทรงตัวได้โดยในส่วนของประเทศไทยต้องแยกออกมาเพราะไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจในรอบนี้ เพราะธนาคารพาณิชย์ประเทศไทยมีความระมัดระวังมาก
ข่าวจาก E-Finance Thai