Thai VI

ปีนี้ทำกำไรได้ประมาณ 253 ล้านบาทหรือ 34 บาทต่อหุ้น
(มีหุ้นจดทะเบียน 7.4 ล้านหุ้น)
เพิ่งประกาศจ่ายปันผล 15 บาทต่อหุ้น
ราคาปัจจุบันประมาณ 500 บาท

ดังนั้นปีนี้ให้ผลตอบแทนเงินปันผลประมาณ 3 %
ซื้อขายกันที่พีอีเกือบๆ 15 เท่า

จุดเด่นคือบริษัทมีเงินสดท่วมบริษัทประมาณ 1,300 ล้านบาทหรือ 175 บาทต่อหุ้น ทำให้สามารถจ่ายปันผลพิเศษได้สูง (แต่ไม่เกิดขึ้นปีนี้)

แต่จุดด้อยคือยอดขายและกำไรของบริษัท ค่อนข้างทรงตัวตลอด 3-4ปีที่ผ่านมา และที่ราคาปัจจุบันซื้อขายกันที่พีอีค่อนข้างสูง (อาจเป็นเพราะให้ราคากับเงิน 1,300 ล้านมากไป) ส่วนแบ่งการตลาดของบริษัทน่าจะอยู่อันดับ 3 รองจาก Brideston และ Michilin เป็นเพราะบริษัทเน้นการผลิตยางคุณภาพสูง ทำให้มีส่วนแบ่งการตลาดน้อย

เอ..ไม่ทราบเพื่อนท่านใด ถือตัวนี้และมีมุมมองอื่นบ้างไหมครับ..

โอะโอ๊ะ โอะโอ๊ย

เขาเก็บเงินไว้ทำอะไร
หรือว่ามีเหตุผลพิเศษที่เป็นความลับหรือเปล่าครับ

ก่อนหน้านี้บริษัท GYT เคยจ่ายปันผลน้อยมากครับ

บริษัทกำไรถึงห้นละ 36 บาทต่อห้นในปี 2543 และมีเงินสดสทธิตอนสิ้นปี 2543 สงถึง 394.41 ล้านบาทครับ หรือ 53.30 บาทต่อห้น

แต่บริษัทจ่ายปันผลเพียงห้นละ 2 บาทเองครับ

ช่วงหลังค่อยจ่ายเงินปันผลเหมาะสมหน่อย ถึงแม้จะสามารถจ่ายได้มากกว่านี้

GYT มีกำลังการผลิตที่จำกัด จึงจำเป็นต้องเก็บเิงินจำนวนมากเพื่อรองรับโครงการขยายกำลังการผลิต

ยอดขายที่ไม่เติบโตเนื่องจากใช้กำลังการผลิตเต็มที่แล้ว

ปัจจุบันบริษัท มีส่วนแบ่งตลาดในตลาดยางทดแ์์ทนเป็นอันดับ 3 รองจาก Bridgestone และ Michilin ส่วนตลาดยางรถยนต์ใหม่ ยังมีส่วนแบ่งไม่มากแต่สามารถเข้าไปแชร์ส่วนแบ่งมาได้บ้าง

ปัญหาปัจจุบันของอุตสาหกรรม คือ มีการแข่งขันสูง รวมทั้งราคาต้นทุนวัตถุดิบโดยเฉพาะยางพาราที่เพิ่มสูงมาก

ส่วนดี คือ อุตสาหกรรมมีการเติบโตตามอุตสาหกรรมรถยนต์

จุดเด่นอีกอย่างของบริษัท คือ มีฐานะการเงินมั่นคงมาก

chatchai เขียน:ก่อนหน้านี้บริษัท GYT เคยจ่ายปันผลน้อยมากครับ

บริษัทกำไรถึงห้นละ 36 บาทต่อห้นในปี 2543 และมีเงินสดสทธิตอนสิ้นปี 2543 สงถึง 394.41 ล้านบาทครับ หรือ 53.30 บาทต่อห้น

แต่บริษัทจ่ายปันผลเพียงห้นละ 2 บาทเองครับ

ช่วงหลังค่อยจ่ายเงินปันผลเหมาะสมหน่อย ถึงแม้จะสามารถจ่ายได้มากกว่านี้

เงินสดสุทธินี้พี่ดูจากเงินสดสิ้นงวดในงบกระแสเงินสดใช่ไหมครับ

ขอบคุณครับ

เงินสดสทธิที่ผมหมายถึงคือ เงินสดบวกเงินลงทนระยะสั้นลบจำนวนหนี้สินจากสถาบันการเงินครับ ซึ่งก็คือข้อมลในงบดลครับ

ขอบคุณครับคุณ No Name..
(เคยจำได้ว่าคุณ No Name เป็นผู้ืถือหุ้นใหญ่รายนึงเหมือนกัน)

ผมยังไม่ได้อ่าน 56-1 เลยครับ เลยไม่ทราบว่าบริษัทผลิตเต็มกำลังการผลิต
และอาจจะมีแผนงานการขยายโรงงาน แต่ดูจะมีความเป็นไปได้ครับ เพราะจ่ายปันผลออกมาค่อนข้างน้อย ทำให้นักลงทุนระยะปานกลาง อาจจะผิดหวังบ้าง แต่น่าจะเป็นผลดีต่อนักลงทุนระยะยาวมากอย่างคุณ No Name ครับ..

ผมมีบทสัมภาษณ์ของคุณ ไพศาล สินธุวลี ผู้บริหารซึ่งตีพิมพ์ในกรุงเทพธุรกิจเมื่อเกือบ 2 ปีที่แล้วครับ (ไม่แน่ใจว่าท่านลาออกหรือยังครับ เพราะเหมือนจะเคยได้ข่าว) โดยมีประเด็นที่น่าสนใจคือ..

1.แนวโน้มของผู้บริโภคณ์ ต้องการยางคุณภาพย่อมเยา ทำให้ gyt ต้องนำเข้ายางจากโรงงานที่อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ เข้ามาขาย เพราะโรงงานในไทยจะผลิตยางคุณภาพสูง เช่น F1 ยางเครื่องบิน

2.ด้านช่องทางจำหน่าย นอกจากบริษัทมีศูนย์อีเกิ้ล สโตร์ แล้วมีแผนที่จะเปิดร้าน Tyre pro ซึ่งจะเน้นขายยางคุณภาพถูกและปานกลาง ยื่ห้อเคลลี่และฟูลด้า ซึ่งจะนำเข้าจากประเทศอินโด ฟิลิปปินส์ ซึ่งเสียภาษีแค่ 5 %

3.บริษัทเน้นตลาดยางทดแทน- replacement ส่วนโออีเอ็ม มีส่วนแบ่งตลาดเท่าเดิม

บริษัทวางแนวทางการทำตลาดไว้ 3 แนวคือ good better best
Good คือยางคุณภาพดี ราคาย่อมเยา หมายถึงยางเคลลี่
ฺBetter คือยางราคาปานกลาง หมายถึงยางฟูลด้า
ฺำBest คือยางกู๊ดเยียร์ คุณภาพสูง..

คุณลูกอีสาน จำได้ดีมากครับ

ผมยังคงถือหุ้น GYT เท่าเดิม ไม่ได้ซื้อเพิ่มและไม่ได้ขายออกเลย

หลายปีก่อน GYT มีโครงการขยายกำลังการผลิต แต่ได้ยกเลิกไป เนื่องจากกำลังการผลิตรวมของอุตสาหกรรมยางรถยนต์ในภูมิภาคมีมากกว่าความต้องการมาก เนื่องจากบริษัทมีข้อจำกัดเรื่องกำลังการผลิต จึงแก้ปัญหาโดยใช้การนำเข้าจากบริษัทกลุ่ม GYT ในอาเซียน

ในช่วงดังกล่าวที่มีโครงการขยายกำลังการผลิต บริษัทจึงจ่ายเงินปันผลเพียง 2-3 บาทต่อหุ้น เมื่อยกเลิกการขยายกำลังการผลิต จึงมีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 20 บาท และ 30 บาท ตามลำดับ

คุณไพศาลลาออกจากบริษัทไปแล้ว เนื่องจากปัญหาสุขภาพและแนวทางการทำงาน ปัจจุบัน กรรมการผุ้จัดการเป้นชาวเกาหลี

ปีที่แล้ว GYT เอเชียได้ให้สัมภาษณ์รอยเตอร์ โดย GYT ประเทศไทยมีโครงการขยายกำลังการผลิต (ข่าวดังกล่าวอยู่ในนสพ.กรุงเทพธุรกิจ) เท่าที่ติดตามมายังไม่เห็นความคืบหน้าในการขยายกำลังการผลิต

ในตลาดยางทดแทน มีการเติบโตไม่มากนักประมาณ 6% GYT มีส่วนแบ่ง 17-18 % ส่วนตลาดยาง OEM มีการเติบโตสูงมาก GYT มีส่วนแบ่งไม่มากนัก
แต่ปัจจุบันบริษัทสามารถเข้าไปแย่งส่วนแบ่งตลาดมาได้บางส่วน ดูได้จากรถยนต์ HONDA TOYOTA

แค่นี้ก่อนนะครับ เพราะผมพิมพ์ไม่เก่ง หวังว่าข้อมูลข้า่งต้นจะเป้นประโยชน์ต่อผู้สนใจ

ขอชื่นชมคุณ No Name ที่เป็นนักลงทุนระยะยาว (น้อยคนของตลาดหุ้นไทย) ทั้งติดตามข่าวสารของบริษัทที่ถือหุ้นอย่างใกล้ชิดครับ ผมคิดว่าเป็นตัวอย่างที่ดีต่อนักลงทุนท่านอื่นๆด้วยครับ

หาก GYT สามารถมีส่วนแบ่งในตลาด OEM -original equipment manufacturing โดยเฉพาะค่ายรถสัญชาติญี่ปุ่น ก็น่าจะเป็นข่าวดีครับ แสดงให้เห็นว่าการทำธุรกิจยุคนี้ตัดสินกันที่ราคาและคุณภาพ มากกว่าการเป็นผู้ผลิตสัญชาิติเดียวกัน ..แต่เคยมีข้อสังเกตุึของเพื่อนสมาชิกที่ว่าสินค้าที่ขาย OEM มักจะขาดทุนหรือมีกำไรน้อย แต่จะหวังผลเพื่อขายในตลาดทดแทน
เพราะ้เวลาผู้บริโภคเปลี่ยนสินค้ามักใช้ี่ตรายี่ห้อเดิมเพราะคุ้นเคยมากกว่า

สำหรับสินค้ายางรถยนต์ ฺBridestone Michiline และ Goodyears ส่วนตัวผมยังมองไม่เห็นความแตกต่างจริงๆ ครับ หากจะเปลี่ยนยางรถยนต์ผมคงเลือกหนึ่งในสามยี่ห้อนี้ที่ราคาถูกที่สุด..ดังนั้นต้นทุนในการผลิตน่าจะมีความสำคัญมากครับ

โดยผู้เล่นรายใหญ่สุด Bridestone ได้รับ BOI ปีที่ผ่านมาเพื่อขยายการลงทุนการผลิตยางแบบครบวงจร ตั้งแต่วัตถุดิบ carbon black และ steel cord type จนถึงสินค้าสำเร็จรูป ใช้งบลงทุนถึง 12,000 ล้านบาท

และล่าสุด Yokohama ได้ ฺBOI เพื่อผลิตยางเรเดียลใช้งบลงทุน 1,900 ล้านบาท


ส่วน Michiline ของ Siam Michiline ผมไม่มีข่าวเลยครับ


ผมก็คาดว่า GYT น่าจะมีแผนการขยายกำลังการผลิตเช่นกันครับ เพราะจะได้ไม่เสียเปรียบคู่แข่งด้านต้นทุนในการผลิต...

หุ้นตัวนี้ถือช่วงเดือนที่แล้ว ก่อนตลาดหุ้นจะดิ่งครั้งใหญ่

ความคิดเห็นนะครับ
สภาพคล่องต่ำ p/e สูง ไม่น่าถือไว้

ถึงแม้จะเป็นหุ้น ที่เก็บยาวถือว่าดีก็ตาม

แต่ในตลาดมีอีกหลายตัวราคาต่ำ น่าเก็บกว่าเยอะครับ


(เป็นแค่ความคิดเห็น ผิดถูกไม่ต้อง ว่ากล่าวกัน)