สบู่ทุกก้อน / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ม.ค. 11, 2009 10:05 pm
โลกในมุมมองของ Value Investor 13 ม.ค. 52
ผมมักถูกถามจากคนรู้จักหรือคนที่ติดตามผลงานว่าเขาควรจะซื้อกองทุนรวมของบริษัทไหนดี พูดง่าย ๆ ว่า บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมไหนมีฝีมือดีที่สุด คำตอบของผมทุกครั้งก็คือ ให้หาบริษัทที่มีความน่าเชื่อถือในด้านของความซื่อสัตย์ รับผิดชอบ และมีความสะดวกในการติดต่อซื้อขายเป็นหลัก ส่วนเรื่องของ “ฝีมือ” ในการลงทุนนั้น ผมคิดว่าแต่ละบริษัทก็ทำได้ดีพอ ๆ กัน หรือถ้าจะพูดแบบนักวิชาการก็คือ แย่พอ ๆ กัน เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ บลจ. ส่วนมากนั้น ผมคิดว่ามีคุณสมบัติด้านต่าง ๆ ใกล้เคียงกันและอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ ถ้าจะมีอะไรแตกต่างกัน ผมคิดว่าเป็นเรื่องของภาพพจน์ที่บริษัทสร้างขึ้นหรือเป็นภาพที่คนมองว่าบริษัทหนึ่งเหนือกว่าหรือดีกว่าอีกบริษัทหนึ่งเท่านั้น และภาพพจน์ที่ว่านั้นก็มักจะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ตามกาลเวลาหรือตามผลการบริหารกองทุนที่เปลี่ยนไปตามภาวะของตลาดและกลยุทธ์การเลือกหุ้นของบริษัท
เช่นเดียวกัน นักลงทุนต่างก็ตั้งความหวังกับรัฐบาลในการแก้ไขหรือพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ คนมักจะคิดว่ารัฐบาลชุดนั้นเก่งมีฝีมือในการบริหารประเทศมากกว่าอีกชุดหนึ่งเพราะในช่วงเวลานั้นเศรษฐกิจเจริญเติบโตมากกว่า ปัญหาทางเศรษฐกิจมีน้อยกว่า หรืออาจจะเพราะว่าพวกเขาได้ยินมาตรการและคำพูดหรือศัพท์แสงทางเศรษฐกิจที่ดูก้าวหน้าหรือมี “ภูมิปัญญา” มากกว่า แต่ในความคิดผมเองนั้น ผมไม่แน่ใจว่ารัฐบาลชุดไหนมีความสามารถมากกว่าชุดไหน เพราะการเปรียบเทียบระหว่างรัฐบาลกับอีกรัฐบาลหนึ่งในเวลาเดียวกันนั้นเราทำไม่ได้ รัฐบาลหนึ่งอาจจะมีฝีมือดี แต่ถ้าภาวะเศรษฐกิจส่วนรวมแย่มาก ผลลัพธ์ก็อาจจะออกมาแย่มาก และคนก็คิดว่ารัฐบาลบริหารไม่เป็น รัฐบาลบางรัฐบาลอาจจะไม่มีฝีมืออะไรเลยแต่ประเทศและโลกอยู่ในภาวะเฟื่องฟูเศรษฐกิจก็ไปได้ฉลุย ทุกคนบอกว่ารัฐบาลเก่ง
ความคิดของผมก็คือ รัฐบาลแต่ละรัฐบาลก็คล้าย ๆ กัน เมื่อเข้ามาแล้วสิ่งที่รัฐบาลทำแล้วมีผลกระทบกับเศรษฐกิจจริง ๆ ในระยะเวลาอันสั้นก็คือ การจัดสรรงบประมาณ ซึ่งงบส่วนใหญ่ก็มักจะถูกกำหนดกันหมดแล้วเช่นเรื่องของเงินเดือนและงบผูกพันทั้งหลาย งบประมาณอีกส่วนหนึ่งซึ่งไม่มากนักก็จะถูกจัดสรรและกระจายออกไปสู่ประชาชนและธุรกิจทั้งหลายและแน่นอนกลับไปสู่นักการเมืองที่มักจะมี “เปอร์เซ็นต์มาตรฐาน” ผ่านโครงการต่าง ๆ ที่ถือว่าเป็น “ผลงาน” ของรัฐบาล โดยรวมแล้ว ไม่ว่ารัฐบาลไหน เมื่อเข้ามาทำงานก็มักจะทำคล้ายคลึงกันหมด ความแตกต่างอาจจะมีในรายละเอียดของโครงการหรือในด้านของ “เปอร์เซ็นต์” ที่จะขอตัดจากงบของนักการเมือง อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างในรายละเอียดนี้มักไม่ทำให้ภาพรวมของผลกระทบทางเศรษฐกิจเปลี่ยนไป ดังนั้น ไม่ว่ารัฐบาลไหนจะเข้ามาบริหารประเทศ ประเทศก็มักจะเดินไปได้ดีพอ ๆ กัน หรือจะพูดอีกแบบหนึ่งก็คือ แย่พอ ๆ กัน สิ่งที่แตกต่างกันจริง ๆ นั้นก็คือเรื่องของ “ภาพพจน์” ว่ารัฐบาลไหนทำได้ดีกว่ากันเท่านั้น
นั่นทำให้ผมนึกถึงสบู่ สบู่นั้นเป็นสิ่งที่สามารถล้างทำความสะอาดได้ดีเกือบทุกก้อนหรือจะพูดว่าทุกก้อนก็ว่าได้ เพราะบริษัทที่ผลิตสบู่นั้นต่างก็ใช้สูตรเหมือนกันซึ่งพิสูจน์แล้วว่าทำความสะอาดได้ดี สิ่งที่แตกต่างกันของสบู่แต่ละยี่ห้อที่สำคัญมากก็คือ กลิ่น และการโฆษณาอย่างหนักเพื่อที่จะชักนำให้ผู้ใช้เชื่อว่าสบู่ของตนดีกว่าสบู่ยี่ห้ออื่น แต่สบู่ก็คือสบู่ ถ้ามีใช้และกลิ่นไม่น่าเกลียดเกินไป ผลลัพธ์ของการใช้ก็ใกล้เคียงกันมาก
ในเรื่องของการลงทุนนั้น ผมคิดว่าเรายังมีกิจกรรมที่คล้าย ๆ กับเรื่องของสบู่อีกหลายเรื่อง หนึ่งในนั้นก็คือ เรื่องของการวิเคราะห์หุ้นของนักวิเคราะห์ทั้งหลาย นักวิเคราะห์นั้นมี “สูตร” การทำงานและการเขียนบทวิเคราะห์เหมือนกันหมด ความ “ถูกผิด” ของการวิเคราะห์นั้นดูเหมือนว่าจะไม่มีใครทำสถิติว่าเป็นอย่างไร แต่ถึงจะมีคนทำ ด้วยเหตุที่นักวิเคราะห์แต่ละคนทำนายหุ้นจำนวนมากนับเป็นร้อย ๆ ครั้งหรือถ้าทำงานมานานอาจจะเป็นพัน ๆ ครั้ง โดยธรรมชาติแล้วการทายถูกหรือผิดก็อาจจะใกล้เคียงกัน ดังนั้น จริง ๆ แล้วอาจจะไม่มีใครเก่งกว่าใคร ความแตกต่างที่อาจจะทำให้คนหนึ่งดูดีหรือเก่งกว่าอีกคนหนึ่งอาจจะอยู่ที่เรื่องของความสามารถในการบรรยายหรืออธิบายเหตุผลของบทวิเคราะห์ พูดง่าย ๆ เป็นเรื่องของภาพพจน์มากกว่าความเป็นจริง
เช่นเดียวกับนักวิเคราะห์ก็คือนักเศรษฐศาสตร์ นี่คือกลุ่มคนที่ “อธิบายเรื่องทางเศรษฐกิจที่ผ่านมาแล้วได้ดีมากแต่ไม่สามารถทำนายอนาคตได้แม่นยำ” นักเศรษฐศาสตร์นั้น เนื่องจากทำงานเกี่ยวข้องกับภาพที่ใหญ่มากระดับประเทศหรือระดับโลก ดังนั้น หน้าตาหรือภาพพจน์จึงยิ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด ถ้าคุณไม่ได้อยู่ในหน่วยงานที่มีชื่อเสียงหรือมีความสำคัญในการดูแลภาคเศรษฐกิจของรัฐหรือหน่วยงานสาธารณะ โอกาสที่จะได้รับการยอมรับว่าเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่มีฝีมือในการทำนายทายทักก็ยากมาก และนี่อาจจะรวมไปถึงคุณสมบัติส่วนตัวของนักเศรษฐศาสตร์ว่าเขาเรียนจบมาจากที่ไหนด้วย อย่างไรก็ตาม ผมเองคิดว่า นักเศรษฐศาสตร์เองก็มีคุณสมบัติคล้าย ๆ กับสบู่เหมือนกันนั่นคือ นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ก็ดีเหมือนกันหมดหรือแย่เหมือนกันหมดหรือใช้ได้เหมือนกัน ความแตกต่างอยู่ที่ “กลิ่น” นั่นก็คือ ภาพพจน์ว่าใครสามารถสร้างความน่าเชื่อถือได้มากกว่ากัน
นอกจากเรื่องของการจัดการการลงทุน การเมือง การวิเคราะห์หุ้น และเศรษฐศาสตร์แล้ว ผมคิดว่ายังมีเรื่องอื่น ๆ โดยเฉพาะเรื่องทางสังคมศาสตร์อีกมากเช่นฝีมือในการสอนหนังสือของสถาบันการศึกษา หรือหมอดูชื่อดังต่าง ๆ ซึ่งมักจะอ้างว่าแม่นยำเก่งกว่าคนอื่นนั้น แท้จริงแล้ว อาจจะไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย กิจกรรมของพวกเขาอาจจะเป็น “สบู่” ที่มีคุณสมบัติพื้นฐานเหมือนกันและใช้ได้ใกล้เคียงกัน ความแตกต่างอยู่ที่กลิ่นหรือภาพพจน์เท่านั้น
ที่เขียนมาทั้งหมด ต้องการที่จะบอกว่า ในฐานะที่เป็น Value Investor เราต้องแยกแยะได้ว่าอะไรเป็นของจริง อะไรเป็นเรื่องของภาพพจน์ เรื่องอะไรหรือกิจกรรมอะไรเป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่มากไม่สามารถจะทำได้โดดเด่นกว่าคนอื่นหรือทุกคนทำได้แย่พอ ๆ กัน ดังนั้น เราอย่าไปเชื่อว่าคน ๆ หนึ่งเก่งกว่าคนอื่น ๆ ทั้งที่ไม่มีข้อพิสูจน์และเป็นเพียง “ภาพ” ที่ปรากฏต่อสาธารณชนเท่านั้น
ผมมักถูกถามจากคนรู้จักหรือคนที่ติดตามผลงานว่าเขาควรจะซื้อกองทุนรวมของบริษัทไหนดี พูดง่าย ๆ ว่า บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมไหนมีฝีมือดีที่สุด คำตอบของผมทุกครั้งก็คือ ให้หาบริษัทที่มีความน่าเชื่อถือในด้านของความซื่อสัตย์ รับผิดชอบ และมีความสะดวกในการติดต่อซื้อขายเป็นหลัก ส่วนเรื่องของ “ฝีมือ” ในการลงทุนนั้น ผมคิดว่าแต่ละบริษัทก็ทำได้ดีพอ ๆ กัน หรือถ้าจะพูดแบบนักวิชาการก็คือ แย่พอ ๆ กัน เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ บลจ. ส่วนมากนั้น ผมคิดว่ามีคุณสมบัติด้านต่าง ๆ ใกล้เคียงกันและอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ ถ้าจะมีอะไรแตกต่างกัน ผมคิดว่าเป็นเรื่องของภาพพจน์ที่บริษัทสร้างขึ้นหรือเป็นภาพที่คนมองว่าบริษัทหนึ่งเหนือกว่าหรือดีกว่าอีกบริษัทหนึ่งเท่านั้น และภาพพจน์ที่ว่านั้นก็มักจะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ตามกาลเวลาหรือตามผลการบริหารกองทุนที่เปลี่ยนไปตามภาวะของตลาดและกลยุทธ์การเลือกหุ้นของบริษัท
เช่นเดียวกัน นักลงทุนต่างก็ตั้งความหวังกับรัฐบาลในการแก้ไขหรือพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ คนมักจะคิดว่ารัฐบาลชุดนั้นเก่งมีฝีมือในการบริหารประเทศมากกว่าอีกชุดหนึ่งเพราะในช่วงเวลานั้นเศรษฐกิจเจริญเติบโตมากกว่า ปัญหาทางเศรษฐกิจมีน้อยกว่า หรืออาจจะเพราะว่าพวกเขาได้ยินมาตรการและคำพูดหรือศัพท์แสงทางเศรษฐกิจที่ดูก้าวหน้าหรือมี “ภูมิปัญญา” มากกว่า แต่ในความคิดผมเองนั้น ผมไม่แน่ใจว่ารัฐบาลชุดไหนมีความสามารถมากกว่าชุดไหน เพราะการเปรียบเทียบระหว่างรัฐบาลกับอีกรัฐบาลหนึ่งในเวลาเดียวกันนั้นเราทำไม่ได้ รัฐบาลหนึ่งอาจจะมีฝีมือดี แต่ถ้าภาวะเศรษฐกิจส่วนรวมแย่มาก ผลลัพธ์ก็อาจจะออกมาแย่มาก และคนก็คิดว่ารัฐบาลบริหารไม่เป็น รัฐบาลบางรัฐบาลอาจจะไม่มีฝีมืออะไรเลยแต่ประเทศและโลกอยู่ในภาวะเฟื่องฟูเศรษฐกิจก็ไปได้ฉลุย ทุกคนบอกว่ารัฐบาลเก่ง
ความคิดของผมก็คือ รัฐบาลแต่ละรัฐบาลก็คล้าย ๆ กัน เมื่อเข้ามาแล้วสิ่งที่รัฐบาลทำแล้วมีผลกระทบกับเศรษฐกิจจริง ๆ ในระยะเวลาอันสั้นก็คือ การจัดสรรงบประมาณ ซึ่งงบส่วนใหญ่ก็มักจะถูกกำหนดกันหมดแล้วเช่นเรื่องของเงินเดือนและงบผูกพันทั้งหลาย งบประมาณอีกส่วนหนึ่งซึ่งไม่มากนักก็จะถูกจัดสรรและกระจายออกไปสู่ประชาชนและธุรกิจทั้งหลายและแน่นอนกลับไปสู่นักการเมืองที่มักจะมี “เปอร์เซ็นต์มาตรฐาน” ผ่านโครงการต่าง ๆ ที่ถือว่าเป็น “ผลงาน” ของรัฐบาล โดยรวมแล้ว ไม่ว่ารัฐบาลไหน เมื่อเข้ามาทำงานก็มักจะทำคล้ายคลึงกันหมด ความแตกต่างอาจจะมีในรายละเอียดของโครงการหรือในด้านของ “เปอร์เซ็นต์” ที่จะขอตัดจากงบของนักการเมือง อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างในรายละเอียดนี้มักไม่ทำให้ภาพรวมของผลกระทบทางเศรษฐกิจเปลี่ยนไป ดังนั้น ไม่ว่ารัฐบาลไหนจะเข้ามาบริหารประเทศ ประเทศก็มักจะเดินไปได้ดีพอ ๆ กัน หรือจะพูดอีกแบบหนึ่งก็คือ แย่พอ ๆ กัน สิ่งที่แตกต่างกันจริง ๆ นั้นก็คือเรื่องของ “ภาพพจน์” ว่ารัฐบาลไหนทำได้ดีกว่ากันเท่านั้น
นั่นทำให้ผมนึกถึงสบู่ สบู่นั้นเป็นสิ่งที่สามารถล้างทำความสะอาดได้ดีเกือบทุกก้อนหรือจะพูดว่าทุกก้อนก็ว่าได้ เพราะบริษัทที่ผลิตสบู่นั้นต่างก็ใช้สูตรเหมือนกันซึ่งพิสูจน์แล้วว่าทำความสะอาดได้ดี สิ่งที่แตกต่างกันของสบู่แต่ละยี่ห้อที่สำคัญมากก็คือ กลิ่น และการโฆษณาอย่างหนักเพื่อที่จะชักนำให้ผู้ใช้เชื่อว่าสบู่ของตนดีกว่าสบู่ยี่ห้ออื่น แต่สบู่ก็คือสบู่ ถ้ามีใช้และกลิ่นไม่น่าเกลียดเกินไป ผลลัพธ์ของการใช้ก็ใกล้เคียงกันมาก
ในเรื่องของการลงทุนนั้น ผมคิดว่าเรายังมีกิจกรรมที่คล้าย ๆ กับเรื่องของสบู่อีกหลายเรื่อง หนึ่งในนั้นก็คือ เรื่องของการวิเคราะห์หุ้นของนักวิเคราะห์ทั้งหลาย นักวิเคราะห์นั้นมี “สูตร” การทำงานและการเขียนบทวิเคราะห์เหมือนกันหมด ความ “ถูกผิด” ของการวิเคราะห์นั้นดูเหมือนว่าจะไม่มีใครทำสถิติว่าเป็นอย่างไร แต่ถึงจะมีคนทำ ด้วยเหตุที่นักวิเคราะห์แต่ละคนทำนายหุ้นจำนวนมากนับเป็นร้อย ๆ ครั้งหรือถ้าทำงานมานานอาจจะเป็นพัน ๆ ครั้ง โดยธรรมชาติแล้วการทายถูกหรือผิดก็อาจจะใกล้เคียงกัน ดังนั้น จริง ๆ แล้วอาจจะไม่มีใครเก่งกว่าใคร ความแตกต่างที่อาจจะทำให้คนหนึ่งดูดีหรือเก่งกว่าอีกคนหนึ่งอาจจะอยู่ที่เรื่องของความสามารถในการบรรยายหรืออธิบายเหตุผลของบทวิเคราะห์ พูดง่าย ๆ เป็นเรื่องของภาพพจน์มากกว่าความเป็นจริง
เช่นเดียวกับนักวิเคราะห์ก็คือนักเศรษฐศาสตร์ นี่คือกลุ่มคนที่ “อธิบายเรื่องทางเศรษฐกิจที่ผ่านมาแล้วได้ดีมากแต่ไม่สามารถทำนายอนาคตได้แม่นยำ” นักเศรษฐศาสตร์นั้น เนื่องจากทำงานเกี่ยวข้องกับภาพที่ใหญ่มากระดับประเทศหรือระดับโลก ดังนั้น หน้าตาหรือภาพพจน์จึงยิ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด ถ้าคุณไม่ได้อยู่ในหน่วยงานที่มีชื่อเสียงหรือมีความสำคัญในการดูแลภาคเศรษฐกิจของรัฐหรือหน่วยงานสาธารณะ โอกาสที่จะได้รับการยอมรับว่าเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่มีฝีมือในการทำนายทายทักก็ยากมาก และนี่อาจจะรวมไปถึงคุณสมบัติส่วนตัวของนักเศรษฐศาสตร์ว่าเขาเรียนจบมาจากที่ไหนด้วย อย่างไรก็ตาม ผมเองคิดว่า นักเศรษฐศาสตร์เองก็มีคุณสมบัติคล้าย ๆ กับสบู่เหมือนกันนั่นคือ นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ก็ดีเหมือนกันหมดหรือแย่เหมือนกันหมดหรือใช้ได้เหมือนกัน ความแตกต่างอยู่ที่ “กลิ่น” นั่นก็คือ ภาพพจน์ว่าใครสามารถสร้างความน่าเชื่อถือได้มากกว่ากัน
นอกจากเรื่องของการจัดการการลงทุน การเมือง การวิเคราะห์หุ้น และเศรษฐศาสตร์แล้ว ผมคิดว่ายังมีเรื่องอื่น ๆ โดยเฉพาะเรื่องทางสังคมศาสตร์อีกมากเช่นฝีมือในการสอนหนังสือของสถาบันการศึกษา หรือหมอดูชื่อดังต่าง ๆ ซึ่งมักจะอ้างว่าแม่นยำเก่งกว่าคนอื่นนั้น แท้จริงแล้ว อาจจะไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย กิจกรรมของพวกเขาอาจจะเป็น “สบู่” ที่มีคุณสมบัติพื้นฐานเหมือนกันและใช้ได้ใกล้เคียงกัน ความแตกต่างอยู่ที่กลิ่นหรือภาพพจน์เท่านั้น
ที่เขียนมาทั้งหมด ต้องการที่จะบอกว่า ในฐานะที่เป็น Value Investor เราต้องแยกแยะได้ว่าอะไรเป็นของจริง อะไรเป็นเรื่องของภาพพจน์ เรื่องอะไรหรือกิจกรรมอะไรเป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่มากไม่สามารถจะทำได้โดดเด่นกว่าคนอื่นหรือทุกคนทำได้แย่พอ ๆ กัน ดังนั้น เราอย่าไปเชื่อว่าคน ๆ หนึ่งเก่งกว่าคนอื่น ๆ ทั้งที่ไม่มีข้อพิสูจน์และเป็นเพียง “ภาพ” ที่ปรากฏต่อสาธารณชนเท่านั้น