ดวง /ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ธ.ค. 14, 2008 10:14 pm
โลกในมุมมองของ Value Investor 14 ธ.ค. 51
คนที่มีเหตุผลมาก ๆ อย่าง Value Investor หลาย ๆ คนมักจะไม่เชื่อเรื่องของ “ดวง” เขาไม่เชื่อว่าดวงดาวและเวลาตกฟากของคนจะเกี่ยวข้องอะไรกับความสำเร็จหรือล้มเหลวของคน ๆ นั้น มันไม่เป็นวิทยาศาสตร์และไม่สามารถหาความสัมพันธ์ที่เป็นเหตุเป็นผลกันได้ เหนือสิ่งอื่นใด ในเวลานาทีใดนาทีหนึ่งก็มีคนเกิดกันเป็นร้อยเป็นพัน เป็นไปไม่ได้ที่คนทั้งหมดจะมีชะตาหรือความสำเร็จคล้าย ๆ กัน แต่เรื่องนี้หมอดูก็มักจะบอกว่าการดูหมอจะต้องคำนึงถึงฐานะและพื้นเพของคน ๆ นั้นด้วย ถ้าเขามีฐานะสูงหรือดีอยู่แล้ว การมีดวงชะตาที่ดีด้วยก็จะทำให้เขาประสบความสำเร็จสูง ส่วนคนที่เกิดจากครอบครัวที่มีฐานะต่ำต้อย ดวงชะตาก็อาจช่วยอะไรไม่ได้มาก
ผมเองคิดว่า “ดวง” หรือวันเวลาที่เราเกิดนั้น น่าจะมีผลต่อความสำเร็จของคนอยู่ไม่น้อย เช่นเดียวกัน ฐานะของตัวเขาก็มีส่วนสำคัญมาก แต่ฐานะที่ว่านี้ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องของเงินทองหรือฐานะทางสังคม ว่าที่จริงบางครั้งฐานะที่ยากจนอาจจะเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้คน ๆ หนึ่งประสบความสำเร็จก็ได้ แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ IQ หรือความฉลาดของเขานั้น ผมคิดว่าคนที่จะประสบความสำเร็จส่วนมากจำเป็นต้องมี IQ สูงในระดับหนึ่ง นอกจากเรื่องของดวงที่เป็นวันเกิด ฐานะหรือสถานะของเขาแล้ว บรรยากาศหรือสถานที่ที่เขาอยู่รวมถึงเหตุการณ์แวดล้อมต่าง ๆ จะต้องเหมาะสมเป็นใจด้วย นั่นก็คือ คนที่เกิดในประเทศไทยในเวลาเดียวกับคนที่เกิดในอเมริกาหรือคนที่เกิดในแองโกลา ทั้ง ๆ ที่มี IQ เท่า ๆ กัน โชคชะตาและความสำเร็จก็มักจะแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
ดูแล้วความคิดของผมนั้นดูเหมือนว่าจะเป็นคนที่เชื่อเรื่องโหราศาสตร์แต่ที่จริงผมคิดว่าไม่ใช่ จริงอยู่ ผมเชื่อว่าเวลาหรือปีเกิดนั้นมีผลต่อความสำเร็จของคนแต่สิ่งนี้ไม่ได้ขึ้นหรือเกี่ยวกับดวงดาว ดังนั้นการทำนายความสำเร็จหรือโชคชะตาของคนจากดวงดาวจึงไม่สามารถอธิบายได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ แต่สิ่งที่ทำให้ผมเชื่อเรื่องดวงนั้นมาจากการศึกษาของนักจิตวิทยาและนักสังคมวิทยาที่เรียกว่า “Matthew Effect” ที่อธิบายว่าทำไมคนที่เกิดในบางช่วงเวลาจึง “ดวงดี” และประสบความสำเร็จสูงกว่าคนที่เกิดในช่วงเวลาอื่นทั้งที่ IQ ความสามารถ สถานะทางครอบครัวและสถานที่เกิดเหมือนกัน
ปรากฏการณ์ Matthew Effect นั้น มาจากการที่นักจิตวิทยาคนหนึ่งพบว่า นักเล่นฮอกกี้ของแคนาดาที่เป็นดาราทั้งหลายนั้น ต่างก็มีวันเกิดตกอยู่ในช่วงเดือน มกราคม กุมภาพันธ์ และมีนาคมเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่คนเกิดเดือนธันวาคมมีน้อยที่สุด เหตุผลที่เขาพบก็คือ ในแคนาดาซึ่งฮอกกี้เป็นกีฬายอดนิยมนั้น เขามีการเล่นแข่งขันเป็นลีกตั้งแต่เด็กทุกขวบปี เช่น อายุ 10 ขวบแข่งกันเอง อายุ 11 ขวบเป็นอีกลีกหนึ่ง ไปเรื่อย ๆ เวลาคิดอายุเขาจะตัดกันที่วันที่ 1 มกราคม นั่นก็คือถ้าเด็กอายุครบ 10 ขวบในวันที่ 2 มกราคม เขาก็สามารถเล่นร่วมกับเด็กที่อายุครบ 10 ขวบในวันสิ้นปี ผลก็คือ เด็กที่เกิดในวันที่ 2 มกราคม ก็จะเป็นเด็กที่มีอายุมากที่สุดในลีกคือมากกว่าคนที่มีวันเกิดในวันที่ 31 ธันวาคมเกือบ 1 ปี
การมีอายุมากกว่าหลายเดือนหรือหนึ่งปีสำหรับเด็กอายุ 10 ขวบนั้นเป็นความได้เปรียบพอสมควรทีเดียว เพราะเขาจะตัวโตกว่า มีความเป็น “ผู้ใหญ่” มากกว่า ดังนั้นเวลาแข่งขันเขาก็จะเด่นกว่า จากจุดนั้น เขาก็มีโอกาสได้รับการคัดเลือกให้ไปเล่นในลีกต่อไปมากกว่า ได้รับการฝึกฝนที่ดีกว่า การเป็นผู้เล่นที่เด่นทำให้เขามีกำลังใจฝึกฝนมากกว่า กระบวนการนี้ทำให้เขาเก่งและเด่นขึ้นไปและได้เปรียบมากขึ้นเรื่อย ๆ ที่นักสังคมวิทยาเรียกว่า “Accumulative Advantage” จนในที่สุดเขาก็กลายเป็นซุปเปอร์สตาร์
เรื่องของ Matthew Effect ยังถูกนำไปอธิบายว่าทำไม บิล เกต และสตีบ จอบส์ กลายเป็นราชันของวงการคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล เหตุผลคร่าว ๆ ก็คือ พวกเขาเกิดในช่วงปี 1955 ซึ่งทำให้พวกเขาโตเป็นวัยรุ่นในช่วงที่คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลกำลังเกิดขึ้น ทั้งบิลเกต และจอบส์ ต่างก็ “โชคดี” ที่มีโอกาสที่จะเข้าถึงหรือ “เล่น” เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลอย่าง “แทบไม่จำกัด” ในขณะที่คนอื่นที่อายุมากกว่าก็อาจจะทำงานและอาจยุ่งอยู่กับคอมพิวเตอร์ตัวใหญ่ทั้งหลาย หรือคนที่อายุยังน้อยเกินไปที่จะเรียนรู้หรือสามารถเข้าถึงคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลได้ นั่นทำให้เขาทั้งคู่เป็น “เซียน” และเมื่อคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลแพร่หลายไปเขาทั้งสองก็สามารถเข้าไปยึดหัวหาดและสร้างความสำเร็จเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ จนคนอื่นตามไม่ทัน
ผมไม่แน่ใจว่ามีใครพูดถึง วอเร็น บัฟเฟตต์ หรือไม่ แต่ผมคิดว่าเขาก็น่าจะเป็นผลผลิตจาก Matthew Effect อยู่เหมือนกัน เหนือสิ่งอื่นใด จอร์จ โซรอส เองก็อายุใกล้เคียงกับ บัฟเฟตต์ ดวงของนักลงทุนระดับโลกเองอาจจะอยู่ในอายุประมาณ วอเร็น บัฟเฟตต์ เหตุผลอาจจะประมาณว่า นี่คือคนที่โตขึ้นมาจนสามารถเริ่มลงทุนได้ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง และโลกมีประชากรเติบโตมากมหาศาลหลังสงคราม มีการพัฒนาทางเทคโนโลยีและเศรษฐกิจอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน และอาจจะรวมถึงการตีพิมพ์ของหนังสือการลงทุนที่สำคัญเช่น Intelligent Investor ที่ทำให้บัฟเฟตต์สามารถศึกษาและปฏิบัติได้มากและนานกว่าคนอื่น
นอกจากตัวบุคคลแล้ว ผมคิดว่าบริษัทเองก็อาจจะมี “ดวง” ที่ดีจนทำให้บริษัทประสบความสำเร็จมหาศาลได้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในประเทศไทยนั้นก็น่าจะรวมถึงเหตุการณ์วิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 ซึ่งทำให้บริษัทค้าปลีกสมัยใหม่หลาย ๆ บริษัทที่ในภาวะนั้นเริ่มตั้งกิจการหรือเป็นกิจการที่มีอยู่แต่ไม่ได้มีปัญหาทางการเงินสามารถขยายสาขาเพิ่มขึ้นในขณะที่คู่แข่งค่อย ๆ ตายไป ความได้เปรียบของบริษัทที่ “ดวงดี” ในตอนแรก ๆ ก็ไม่มาก แต่เวลาผ่านไปพร้อม ๆ กับสาขาที่เพิ่มขึ้นทำให้การได้เปรียบมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็สามารถกลายเป็นบริษัทที่แข็งแกร่งที่คนอื่นตามไม่ทัน
ทั้งหมดนั้นก็คือเรื่องของดวงที่เราสามารถอธิบายได้ว่าทำไมคน ๆ หนึ่งหรือบริษัทหนึ่ง จึงได้ประสบความสำเร็จได้ถึงขนาดนั้น แต่นั่นคือคำอธิบายในเรื่องอดีตที่ผ่านมาแล้ว มันไม่สามารถอธิบายอนาคตได้โดยเฉพาะในช่วงที่เกิด ใครจะไปรู้ว่าวันที่บัฟเฟตต์เกิดและต่อมาอีก 25 ปีเขาจะเริ่มลงทุนเป็นอาชีพในช่วงที่ดีที่สุดของอเมริกาและเขาจะได้เจอ เบน เกรแฮม ที่สอนเขาเกี่ยวกับ Value Investment และนี่ก็คือความแตกต่างที่แยกผมจากความเชื่อทางโหราศาสตร์ นั่นคือ ผมเชื่อว่าดวงมีจริง แต่ทำนายจากดวงดาวไม่ได้
คนที่มีเหตุผลมาก ๆ อย่าง Value Investor หลาย ๆ คนมักจะไม่เชื่อเรื่องของ “ดวง” เขาไม่เชื่อว่าดวงดาวและเวลาตกฟากของคนจะเกี่ยวข้องอะไรกับความสำเร็จหรือล้มเหลวของคน ๆ นั้น มันไม่เป็นวิทยาศาสตร์และไม่สามารถหาความสัมพันธ์ที่เป็นเหตุเป็นผลกันได้ เหนือสิ่งอื่นใด ในเวลานาทีใดนาทีหนึ่งก็มีคนเกิดกันเป็นร้อยเป็นพัน เป็นไปไม่ได้ที่คนทั้งหมดจะมีชะตาหรือความสำเร็จคล้าย ๆ กัน แต่เรื่องนี้หมอดูก็มักจะบอกว่าการดูหมอจะต้องคำนึงถึงฐานะและพื้นเพของคน ๆ นั้นด้วย ถ้าเขามีฐานะสูงหรือดีอยู่แล้ว การมีดวงชะตาที่ดีด้วยก็จะทำให้เขาประสบความสำเร็จสูง ส่วนคนที่เกิดจากครอบครัวที่มีฐานะต่ำต้อย ดวงชะตาก็อาจช่วยอะไรไม่ได้มาก
ผมเองคิดว่า “ดวง” หรือวันเวลาที่เราเกิดนั้น น่าจะมีผลต่อความสำเร็จของคนอยู่ไม่น้อย เช่นเดียวกัน ฐานะของตัวเขาก็มีส่วนสำคัญมาก แต่ฐานะที่ว่านี้ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องของเงินทองหรือฐานะทางสังคม ว่าที่จริงบางครั้งฐานะที่ยากจนอาจจะเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้คน ๆ หนึ่งประสบความสำเร็จก็ได้ แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ IQ หรือความฉลาดของเขานั้น ผมคิดว่าคนที่จะประสบความสำเร็จส่วนมากจำเป็นต้องมี IQ สูงในระดับหนึ่ง นอกจากเรื่องของดวงที่เป็นวันเกิด ฐานะหรือสถานะของเขาแล้ว บรรยากาศหรือสถานที่ที่เขาอยู่รวมถึงเหตุการณ์แวดล้อมต่าง ๆ จะต้องเหมาะสมเป็นใจด้วย นั่นก็คือ คนที่เกิดในประเทศไทยในเวลาเดียวกับคนที่เกิดในอเมริกาหรือคนที่เกิดในแองโกลา ทั้ง ๆ ที่มี IQ เท่า ๆ กัน โชคชะตาและความสำเร็จก็มักจะแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
ดูแล้วความคิดของผมนั้นดูเหมือนว่าจะเป็นคนที่เชื่อเรื่องโหราศาสตร์แต่ที่จริงผมคิดว่าไม่ใช่ จริงอยู่ ผมเชื่อว่าเวลาหรือปีเกิดนั้นมีผลต่อความสำเร็จของคนแต่สิ่งนี้ไม่ได้ขึ้นหรือเกี่ยวกับดวงดาว ดังนั้นการทำนายความสำเร็จหรือโชคชะตาของคนจากดวงดาวจึงไม่สามารถอธิบายได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ แต่สิ่งที่ทำให้ผมเชื่อเรื่องดวงนั้นมาจากการศึกษาของนักจิตวิทยาและนักสังคมวิทยาที่เรียกว่า “Matthew Effect” ที่อธิบายว่าทำไมคนที่เกิดในบางช่วงเวลาจึง “ดวงดี” และประสบความสำเร็จสูงกว่าคนที่เกิดในช่วงเวลาอื่นทั้งที่ IQ ความสามารถ สถานะทางครอบครัวและสถานที่เกิดเหมือนกัน
ปรากฏการณ์ Matthew Effect นั้น มาจากการที่นักจิตวิทยาคนหนึ่งพบว่า นักเล่นฮอกกี้ของแคนาดาที่เป็นดาราทั้งหลายนั้น ต่างก็มีวันเกิดตกอยู่ในช่วงเดือน มกราคม กุมภาพันธ์ และมีนาคมเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่คนเกิดเดือนธันวาคมมีน้อยที่สุด เหตุผลที่เขาพบก็คือ ในแคนาดาซึ่งฮอกกี้เป็นกีฬายอดนิยมนั้น เขามีการเล่นแข่งขันเป็นลีกตั้งแต่เด็กทุกขวบปี เช่น อายุ 10 ขวบแข่งกันเอง อายุ 11 ขวบเป็นอีกลีกหนึ่ง ไปเรื่อย ๆ เวลาคิดอายุเขาจะตัดกันที่วันที่ 1 มกราคม นั่นก็คือถ้าเด็กอายุครบ 10 ขวบในวันที่ 2 มกราคม เขาก็สามารถเล่นร่วมกับเด็กที่อายุครบ 10 ขวบในวันสิ้นปี ผลก็คือ เด็กที่เกิดในวันที่ 2 มกราคม ก็จะเป็นเด็กที่มีอายุมากที่สุดในลีกคือมากกว่าคนที่มีวันเกิดในวันที่ 31 ธันวาคมเกือบ 1 ปี
การมีอายุมากกว่าหลายเดือนหรือหนึ่งปีสำหรับเด็กอายุ 10 ขวบนั้นเป็นความได้เปรียบพอสมควรทีเดียว เพราะเขาจะตัวโตกว่า มีความเป็น “ผู้ใหญ่” มากกว่า ดังนั้นเวลาแข่งขันเขาก็จะเด่นกว่า จากจุดนั้น เขาก็มีโอกาสได้รับการคัดเลือกให้ไปเล่นในลีกต่อไปมากกว่า ได้รับการฝึกฝนที่ดีกว่า การเป็นผู้เล่นที่เด่นทำให้เขามีกำลังใจฝึกฝนมากกว่า กระบวนการนี้ทำให้เขาเก่งและเด่นขึ้นไปและได้เปรียบมากขึ้นเรื่อย ๆ ที่นักสังคมวิทยาเรียกว่า “Accumulative Advantage” จนในที่สุดเขาก็กลายเป็นซุปเปอร์สตาร์
เรื่องของ Matthew Effect ยังถูกนำไปอธิบายว่าทำไม บิล เกต และสตีบ จอบส์ กลายเป็นราชันของวงการคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล เหตุผลคร่าว ๆ ก็คือ พวกเขาเกิดในช่วงปี 1955 ซึ่งทำให้พวกเขาโตเป็นวัยรุ่นในช่วงที่คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลกำลังเกิดขึ้น ทั้งบิลเกต และจอบส์ ต่างก็ “โชคดี” ที่มีโอกาสที่จะเข้าถึงหรือ “เล่น” เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลอย่าง “แทบไม่จำกัด” ในขณะที่คนอื่นที่อายุมากกว่าก็อาจจะทำงานและอาจยุ่งอยู่กับคอมพิวเตอร์ตัวใหญ่ทั้งหลาย หรือคนที่อายุยังน้อยเกินไปที่จะเรียนรู้หรือสามารถเข้าถึงคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลได้ นั่นทำให้เขาทั้งคู่เป็น “เซียน” และเมื่อคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลแพร่หลายไปเขาทั้งสองก็สามารถเข้าไปยึดหัวหาดและสร้างความสำเร็จเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ จนคนอื่นตามไม่ทัน
ผมไม่แน่ใจว่ามีใครพูดถึง วอเร็น บัฟเฟตต์ หรือไม่ แต่ผมคิดว่าเขาก็น่าจะเป็นผลผลิตจาก Matthew Effect อยู่เหมือนกัน เหนือสิ่งอื่นใด จอร์จ โซรอส เองก็อายุใกล้เคียงกับ บัฟเฟตต์ ดวงของนักลงทุนระดับโลกเองอาจจะอยู่ในอายุประมาณ วอเร็น บัฟเฟตต์ เหตุผลอาจจะประมาณว่า นี่คือคนที่โตขึ้นมาจนสามารถเริ่มลงทุนได้ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง และโลกมีประชากรเติบโตมากมหาศาลหลังสงคราม มีการพัฒนาทางเทคโนโลยีและเศรษฐกิจอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน และอาจจะรวมถึงการตีพิมพ์ของหนังสือการลงทุนที่สำคัญเช่น Intelligent Investor ที่ทำให้บัฟเฟตต์สามารถศึกษาและปฏิบัติได้มากและนานกว่าคนอื่น
นอกจากตัวบุคคลแล้ว ผมคิดว่าบริษัทเองก็อาจจะมี “ดวง” ที่ดีจนทำให้บริษัทประสบความสำเร็จมหาศาลได้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในประเทศไทยนั้นก็น่าจะรวมถึงเหตุการณ์วิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 ซึ่งทำให้บริษัทค้าปลีกสมัยใหม่หลาย ๆ บริษัทที่ในภาวะนั้นเริ่มตั้งกิจการหรือเป็นกิจการที่มีอยู่แต่ไม่ได้มีปัญหาทางการเงินสามารถขยายสาขาเพิ่มขึ้นในขณะที่คู่แข่งค่อย ๆ ตายไป ความได้เปรียบของบริษัทที่ “ดวงดี” ในตอนแรก ๆ ก็ไม่มาก แต่เวลาผ่านไปพร้อม ๆ กับสาขาที่เพิ่มขึ้นทำให้การได้เปรียบมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็สามารถกลายเป็นบริษัทที่แข็งแกร่งที่คนอื่นตามไม่ทัน
ทั้งหมดนั้นก็คือเรื่องของดวงที่เราสามารถอธิบายได้ว่าทำไมคน ๆ หนึ่งหรือบริษัทหนึ่ง จึงได้ประสบความสำเร็จได้ถึงขนาดนั้น แต่นั่นคือคำอธิบายในเรื่องอดีตที่ผ่านมาแล้ว มันไม่สามารถอธิบายอนาคตได้โดยเฉพาะในช่วงที่เกิด ใครจะไปรู้ว่าวันที่บัฟเฟตต์เกิดและต่อมาอีก 25 ปีเขาจะเริ่มลงทุนเป็นอาชีพในช่วงที่ดีที่สุดของอเมริกาและเขาจะได้เจอ เบน เกรแฮม ที่สอนเขาเกี่ยวกับ Value Investment และนี่ก็คือความแตกต่างที่แยกผมจากความเชื่อทางโหราศาสตร์ นั่นคือ ผมเชื่อว่าดวงมีจริง แต่ทำนายจากดวงดาวไม่ได้