จงแสดงวิธีทำ
โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 10, 2008 7:04 pm
ตอนที่กำลังจะเข้ามาเล่นหุ้น ตั้งแต่ตอนที่ยังไม่มีความรู้ใดๆเกี่ยวกับหุ้นเลย
ตอนนั้นโจทย์ของผมคงจะเป็นว่า หุ้น คือ อะไร
และผมเดาว่า จะรวยด้วยหุ้นได้อย่างไร คงเป็นอีกโจทย์หนึ่งที่ทุกคนที่เล่นหุ้นอยากหาคำตอบ
ผมเริ่มเข้าตลาดหุ้นโดยไม่มีความรู้ใดๆ จริงๆ เริ่มโดยนั่งมองชื่อหุ้นและราคาในหนังสือพิมพ์และก็ซื้อขาย
ตอนนั้นคำตอบของผมคงเป็นว่า ซื้อหุ้น และขายให้แพงกว่าที่ซื้อมา ก็สำเร็จแล้ว
อ่าว ขาดทุน หรือว่า คำตอบผมผิด
แต่ด้วยยังคงพยายามอยู่ ก็ยังเล่นหุ้น ปนการหาความรู้ อ่านบทวิเคราะห์ต่างๆ ฟังรายการโทรทัศน์
จึงได้รู้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งดูยิ่งฟัง ยิ่งรู้สึกว่าเรากำลังเล่นหุ้นในลักษณะคล้ายคนส่วนใหญ่ ซึ่งคนส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นเมื่อเล่นไปนานๆเข้ามักบ่นว่า หุ้นน่ากลัว และส่วนใหญ่มักจะขาดทุนในที่สุด
เอ ฝั่งหนึ่งขาดทุน แล้วขาดทุนจะหายไปไหน หรือหายไปทั้งหมดเลยเหรอ ไม่น่าใช่ แปลว่าน่าจะมีฝ่ายที่กำไรด้วย
แล้วฝ่ายไหนล่ะที่กำไร และฝ่ายที่กำไรเค้าเล่นหุ้นกันยังไง
ด้วยการที่ผมมีโบรกเกอร์ที่แสนดี จึงถามเค้าว่า พี่ครับ คนที่เล่นหุ้นได้กำไรในระยะยาว เค้าเล่นกันยังไง
พี่เค้าก็ตอบว่า ที่เห็นนะ เค้าเล่นกันปีละครั้งถึงสองครั้งต่อปี นั่นแปลว่าเค้าไม่ได้ซื้อขายบ่อยมากนัก
แต่ตอนนั้นผมซื้อขายบ่อยมาก ซึ่งทำให้สงสัยว่าเล่นแค่ปีละครั้งสองครั้งมันดียังไง แต่ก็ยังหาคำตอบไม่ได้
จนอยู่ในตลาดหุ้นสัก 2 ปีเห็นจะได้ ก็ได้เห็นว่า ตลาดหุ้นมีการขึ้นลงรอบใหญ่ปีละ 1-2 ครั้ง
เอ ข้อมูลที่ผมเพิ่งเข้าใจนี้ เมื่อเอามาเทียบกับคำตอบที่พี่โบรกเกอร์เคยบอก หรือมันเกี่ยวพันกันไหมเนี่ย
นี่คือสิ่งที่ผมเพิ่งจะรู้ แต่ต้องมีคนที่มีประสบการณ์มากกว่าเคยรู้มาแล้ว
งั้นพอจะสรุปกับตัวเองได้บ้างว่า ตลาดหุ้น มีฝ่ายขาดทุน และฝ่ายที่กำไร ซึ่งตอนนั้นผมอยู่ในฝ่ายขาดทุน
และความรู้ ความเข้าใจ ซึ่งส่งผลต่อการลงมือทำ เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดผลแตกต่างขึ้นระหว่างกำไรและขาดทุน
เอาเป็นว่ามามองหาวิธีที่จะพาเราไปอยู่ฝ่ายกำไรดีกว่า ซึ่งบอกได้เลยว่าต้องเป็นวิธีที่ต้องพร้อมด้วยความรู้และความเข้าใจ
(ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจจะสำเร็จยาก หรือไม่สำเร็จเลย)
หลักของการที่จะทำกำไรได้ นั่นคือต้องทำในสิ่งที่มีโอกาสได้มากกว่าเสีย เป็นขั้นต่ำ แต่ถ้ายิ่งรู้และเข้าใจมากอย่างลึกซึ้งและทำในสิ่งที่ไม่มีโอกาสเสียก็จะยิ่งดีเยี่ยม (แต่ไม่ง่ายเลย 555)
วิธีแรกที่สนใจคือ ซื้อขายเพียงปีละ 1-2 ครั้ง แต่สิ่งที่ต้องรู้ และสนใจคือ ซื้อขายปีละ 1-2 ครั้ง จะทำให้เรากำไรได้ยังไง
ตามที่รู้กันตลาดหุ้นมีขึ้นและมีลงเป็นธรรมดามากๆ เมื่อมีแรงคนขายหุ้นมาก หุ้นก็ลง มีแรงคนซื้อหุ้นมากหุ้นก็ขึ้น
แล้วเราก็วางการลงทุนของเราเข้าไปในเวลาที่หุ้นลงมาแล้วนิ่งแล้ว จนเป็นเวลาที่หุ้นกำลังจะขึ้น ง่ายมั้ยครับ พูดเหมือนง่าย555
พูดถึงความแตกต่างก่อน ระหว่าง ปีละ1-2 ครั้ง หรือ การเล่นรายวัน หรือรายอาทิตย์ นั่นคือช่องว่าง หรือส่วนต่างด้านราคา สิ่งนี้จะมาเห็นภาพได้ง่ายขึ้นในหุ้นที่มีสภาพคล่องโดยการดูกราฟที่พ็อตจุดรายวันในระยะ 1 ปีที่ผ่านมา
ซึ่งการเล่นรายวัน รายอาทิตย์ มักจะเล่นแบบได้กำไรไม่กี่ช่วงราคา แล้วก็ขาย
แต่การซื้อปีละ 1-2 ครั้ง แล้วรอตลาดขึ้นจากปัจจัย หลายๆด้านทั้งแรงซื้อ หรือผลประกอบการ ซึ่งการที่นานๆซื้อทีนี่คงไม่ใช่เพื่อการหวังผงต่างราคาเพียงไม่กี่ช่วงราคาแน่ แต่ต้องมองผลตอบแทนที่ละ หลายสิบ% ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามการคาดการณ์
ใช่ครับ วิธีนี้ก็เป็นวิธีที่ยังอยู่ในระบบการคาดการณ์ของผู้ลงทุน บอกแล้วครับความรู้ความเข้าใจในตลาดหุ้นเป็นสิ่งสำคัญมาก
การเล่นรายวัน รายอาทิตย์ เสี่ยงบ่อยครั้ง และหวังกำไรบ่อยครั้งคราวละน้อยๆ
การเล่นปีละ 1-2 ครั้ง เสี่ยงน้อยครั้ง และหวังกำไรคราวละมากๆ
สำเร็จหรือไม่ ขึ้นอยู่กับประโยคที่ว่า แล้วเราก็วางการลงทุนของเราเข้าไปในเวลาที่หุ้นลงมาแล้วนิ่งแล้ว จนเป็นเวลาที่หุ้นกำลังจะขึ้น ง่ายมั้ยครับ และความรู้ความเข้าใจ แต่ถ้าคิดว่าประโยคนี้มันยากในการเล่นปีละ 1-2 ครั้งแล้ว การที่หวังจะได้กำไรจากการเล่นรายวันรายอาทิตย์จะยากขนาดไหน 555
วิธีต่อมา ถ้าการที่ได้กำไรจากหุ้น คือต้องได้ส่วนต่างราคา ทำไมเราไม่ ทำราคา ซะเองล่ะ 555 ถ้าทำได้รวยแน่ จริงป่ะ
นั่นอาจจะเห็นภาพได้ชัดขึ้นโดยเริ่มจาก เคยมีช่วงเวลาหนึ่งที่อยากได้หุ้นตัวหนึ่งซึ่งเป็นหุ้นขนาดเล็ก และช่วงนั้นเป็นช่วงที่ตลาดคึกคัก ผมจึงอยากเข้าซื้อด้วยความรวดเร็ว เลยซื้อครั้งละ ทั้งหมดหรือยกล็อตของ offer แรกที่มีอยู่ พอเคาะซื้อได้ 1-2 ครั้ง ก็เกิดมีแรงซื้อเข้ามาแบบพอเห็นได้ชัด นั่นทำให้ราคานั่นเด้งขึ้นไปเล็กน้อย นั่นเลยทำให้คิดว่าเป็นไปได้มั้ยที่จะเป็นผู้ทำราคา และยังคงคิดต่อไป
ลองคิดดูสิครับ เป็นคนทำราคาเอง ในภาวะที่ตลาดคึกคัก มีเงินน้อยก็ทำหุ้นตัวเล็ก แล้วจะเอาที่ไหนไปขาดทุน
นี่นะเหรอที่เค้าเรียกว่า เจ้ามือหุ้น ถ้าวางแผนดีๆโอกาสได้มากกว่าเสียแน่ ถือได้ว่าอยู่ในฝ่ายของกำไร
ด้วยการที่ผมสงสัยว่า สิ่งที่ผมสนใจอยู่ แม้ว่าตอนนั้นยังไม่น่ามีความสามารถมากพอที่จะทำ คือคำตอบที่ถูกหรือผิด ผมเลยเริ่มมีคำถามต่อคนที่ใกล้และไกลตัว ว่า ถ้าทำราคาหุ้นได้ จะดีมั้ย
คำตอบแรกที่ผมได้คือ มันเป็นสิ่งที่ไม่ดีมากเลยนะ (จริงๆคำมันรุนแรงกว่านี้นะครับ555)
พอได้ยิน อึ้ง อืม ได้คิดเลยครับ เรากำลังสนใจอะไรอยู่นี่
คำตอบที่สอง คือ โห๋ ถ้าทำนะจะมีแต่คนด่าว่าแบบลับหลัง (จริงๆคำมันรุนแรงกว่านี้นะครับ555)
พอได้ยิน อึ้ง อืม ได้คิดอีกแล้ว ถ้าทำราคาแล้วได้กำไร ก็แปลว่ามีคนขาดทุน แล้วคนขาดทุนก็ย่อมไม่พอใจ พอไม่พอใจก็ต้องมีแบบด่าว่าคนทำราคา ทั้งในใจหรือพูดออกมาแม้ไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ และคนทำราคาก็โดนด่าว่าแม้ไม่ได้ยิน แล้วการดำเนินชีวิต แบบมีผู้อื่นด่าว่าแม้เราไม่รู้จะดีเหรอ ไม่ดีแน่ๆจริงป่ะ
คำตอบที่สาม คือ ทำสิ ทำตัวไหนบอกด้วยนะ
อืม ไอ้นี่เห็นด้วยแฮะ เลยถามต่อว่า มันไม่เป็นการทำที่ไม่ดีเหรอ แล้วเค้าก็ตอบว่า ไม่ทำคนอื่นก็ทำ เลยถามต่อว่าแล้วไม่สงสารคนที่มาซื้อหุ้นต่อแล้วขาดทุนเหรอ แล้วเค้าก็ตอบว่า ก็เค้ามาซื้อต่อเองเราผิดอะไร
อืมก็จริงเนอะ
ผมก็เลยสรุปได้ว่า ยังไงก็จะไม่นำตัวเองไปอยู่ในตำแหน่งคนทำราคาโดยเด็ดขาด ผมอยากเป็นคนที่มีความสุข ซึ่งความสุขมักเกิดได้ง่ายกว่า ถ้าเราหนีห่างสิ่งที่ไม่ดี และลองคิดดูการทำราคานั้นเป็นการหากำไรจากคนอื่น ซึ่งนั่นทำให้คนอื่นขาดทุนโดยมาก ดังนั้นการที่จะมีเงินมากขึ้น บนความเดือดร้อนของผู้อื่นเป็นสิ่งที่ไม่ดีแน่ๆ
แล้วที่ได้คำตอบว่า ไม่ทำคนอื่นก็ทำ ก็ตัดสินใจได้ว่า ยังไงผมก็ไม่ทำ
ตัดสินใจอย่างนี้แล้วมีความสุขจัง 555
วิธีต่อมา อันที่ 3 วิธีนี้ดูช้า และช้ามากๆ น่าเบื่อ และน่าเบื่อมากๆ อารมณ์นั่งลุ้นราคาขึ้นลงลดลง หัวใจตื่นเต้นน้อยลงมาก ซึ่งจริงๆการนั่งลุ้น ความตื่นเต้น เป็นหนึ่งเสน่ห์ในตลาดหุ้น และเราจะเสียเสน่ห์อันนี้ไป
วิธีนี้ต้องเรียนรู้วิธี แยกความรู้สึกระหว่าง กิจการของบริษัทในตลาดหุ้น กับ ตลาดหุ้น ออกจากกัน
นั่นแปลว่า ตลาดหุ้น ไม่ใช่ หุ้น และ หุ้น ไม่ใช่ ตลาดหุ้น
วิธีนี้ คือ การเป็นเจ้าของกิจการ
ถ้าจะพูดถึงวิธีนี้ ถ้าไม่พูดถึงคุณ วอร์เรน คงจะไม่ได้ เพราะเค้าเป็นคนที่ทำให้ภาพวิธีนี้เกิดชัดเจนจริงๆ
คุณวอร์เรน เป็นเจ้าของธุรกิจจำนวนมากทั้ง ใหญ่นิดเดียว จนถึงใหญ่มาก ทั้งเป็นเจ้าของบางส่วนในบริษัท หรือเป็นเจ้าของทั้งหมด โดยที่เค้าไม่ได้เป็นผู้สร้างธุรกิจเหล่านั้นเลย
แต่คุณวอร์เรน ทำธุรกิจรวบรวมธุรกิจที่เขาต้องการ
การแยกแยะ ว่าอะไรคือหุ้น และอะไรคือตลาดหุ้น เป็นสิ่งที่จำเป็น ซึ่งหน้าที่จริงๆของหุ้น และตลาดหุ้น ก็ต่างกันมากแล้ว
หุ้นเป็นสิ่งที่แสดงภาพของบริษัท ตลาดหุ้นเป็นสิ่งที่แสดงภาพการนำหุ้นบริษัทต่างๆมารวมกันเพื่อซื้อขาย
ดังนั้น วิธีที่จะทำให้เข้าใจง่ายขึ้น ต้องตัดคำว่าตลาดหุ้นออกไปก่อน และมุ่งไปสนใจคำว่าหุ้นเพียงอย่างเดียวก่อน
และถ้าเข้าใจต่อได้ว่า หุ้นเกิดจากการแบ่งสิทธิ์ในความเป็นเจ้าของบริษัทแล้ว นั่นแหละครับหัวใจ
หัวใจ ของวิธีนี้คือคำว่า บริษัทมหาชน
แปลว่าขณะนี้ จะมีเหลือแค่คำว่าบริษัทมหาชน ไม่มีคำว่าหุ้น หรือตลาดหุ้นนะครับ
ถ้าครอบครัวใคร มีบริษัท หรือกิจการของตัวเอง คงจะนึกภาพได้ง่ายขึ้น ว่า บริษัท หรือบริษัทมหาชนเค้ามีไว้ทำอะไร
ใช่ครับ บริษัท บริษัทมหาชน เค้าก็จัดตั้งเพื่อการทำธุรกิจและแสวงหากำไร
นั่นแปลว่าบริษัท หรือบริษัทมหาชนที่ธุรกิจที่ดี มักจะทำกำไรได้ แปลว่าตรงนี้มีคำว่า กำไร อยู่นะครับ
อีกสักครู่ ผมจะดึงภาพของ หุ้น และตลาดหุ้นกลับมาชั่วครู่นะครับ นั่นแปลว่าตอนนี้ มีเพียง บริษัทมหาชน ทำธุรกิจที่ดีแล้วกำไร
เมื่อเราเข้าใจบริษัทมหาชนที่เราสนใจ ได้อย่างดีแล้ว ความสามารถของธุรกิจ และการทำกำไร และผลตอบแทนที่เราหวังจะได้รับจากการลงทุนแล้ว รวมถึงการปันผล
เราก็กระชากภาพของตลาดหุ้น ซึ่งเป็นที่ซื้อขายหุ้นของบริษัทมหาชนที่เราต้องการ กลับมา
แล้วก็ดู รอคอย และเข้าซื้อ ในราคาที่ให้ผลตอบแทนที่เราพอใจ (ราคายิ่งถูกยิ่งดี) และเมื่อซื้อเสร็จ ได้สิทธิ์เป็นเจ้าของหุ้น บริษัทมหาชนที่เราต้องการแล้ว
เราก็ผลักภาพของตลาดหุ้น และหุ้น ทิ้งออกไปอีกที แปลว่าตอนนี้ไม่มีคำว่า ตลาดหุ้น และหุ้นเหลือแล้วนะครับ
จะเหลือเพียง บริษัทมหาชน และสิทธิ์ที่เราเป็นเจ้าของบริษัทมหาชนนี้อยู่ เหลือเท่านี้จริงๆ
แล้วเรื่องกำไรล่ะ
ในเมื่อไม่มีตลาดหุ้น หรือ หุ้น หลงเหลือแล้ว แปลว่ากำไรในกรณีนี้ไม่ได้มาจากตลาดหุ้น หรือหุ้นเลย
แต่ผมต้องการอยู่ในฝ่ายกำไรนะ
กำไร อยู่ใน ประโยคที่ว่า บริษัทมหาชน ทำธุรกิจที่ดีแล้วกำไร
ดังนั้นไม่ว่าตลาดหุ้นขึ้นหรือลง มันก็ไม่เกี่ยวกับกำไรเท่าไหร่
เพราะกำไรที่แท้จริงของวิธีนี้ อยู่กับ บริษัทมหาชน
ดังนั้นถ้าบริษัทยังคงมีธุรกิจที่ดี และสร้างกำไรได้สม่ำเสมอ นั่นก็แปลว่าได้กำไร
ถ้าจะดึงภาพของตลาดหุ้น และหุ้น เข้ามาอีกทีก็คงเป็นเวลาที่จะขาย แต่ก็คงคิดขายตอนที่ตลาดหุ้นมันดีๆ 555
ตอนนั้นโจทย์ของผมคงจะเป็นว่า หุ้น คือ อะไร
และผมเดาว่า จะรวยด้วยหุ้นได้อย่างไร คงเป็นอีกโจทย์หนึ่งที่ทุกคนที่เล่นหุ้นอยากหาคำตอบ
ผมเริ่มเข้าตลาดหุ้นโดยไม่มีความรู้ใดๆ จริงๆ เริ่มโดยนั่งมองชื่อหุ้นและราคาในหนังสือพิมพ์และก็ซื้อขาย
ตอนนั้นคำตอบของผมคงเป็นว่า ซื้อหุ้น และขายให้แพงกว่าที่ซื้อมา ก็สำเร็จแล้ว
อ่าว ขาดทุน หรือว่า คำตอบผมผิด
แต่ด้วยยังคงพยายามอยู่ ก็ยังเล่นหุ้น ปนการหาความรู้ อ่านบทวิเคราะห์ต่างๆ ฟังรายการโทรทัศน์
จึงได้รู้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งดูยิ่งฟัง ยิ่งรู้สึกว่าเรากำลังเล่นหุ้นในลักษณะคล้ายคนส่วนใหญ่ ซึ่งคนส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นเมื่อเล่นไปนานๆเข้ามักบ่นว่า หุ้นน่ากลัว และส่วนใหญ่มักจะขาดทุนในที่สุด
เอ ฝั่งหนึ่งขาดทุน แล้วขาดทุนจะหายไปไหน หรือหายไปทั้งหมดเลยเหรอ ไม่น่าใช่ แปลว่าน่าจะมีฝ่ายที่กำไรด้วย
แล้วฝ่ายไหนล่ะที่กำไร และฝ่ายที่กำไรเค้าเล่นหุ้นกันยังไง
ด้วยการที่ผมมีโบรกเกอร์ที่แสนดี จึงถามเค้าว่า พี่ครับ คนที่เล่นหุ้นได้กำไรในระยะยาว เค้าเล่นกันยังไง
พี่เค้าก็ตอบว่า ที่เห็นนะ เค้าเล่นกันปีละครั้งถึงสองครั้งต่อปี นั่นแปลว่าเค้าไม่ได้ซื้อขายบ่อยมากนัก
แต่ตอนนั้นผมซื้อขายบ่อยมาก ซึ่งทำให้สงสัยว่าเล่นแค่ปีละครั้งสองครั้งมันดียังไง แต่ก็ยังหาคำตอบไม่ได้
จนอยู่ในตลาดหุ้นสัก 2 ปีเห็นจะได้ ก็ได้เห็นว่า ตลาดหุ้นมีการขึ้นลงรอบใหญ่ปีละ 1-2 ครั้ง
เอ ข้อมูลที่ผมเพิ่งเข้าใจนี้ เมื่อเอามาเทียบกับคำตอบที่พี่โบรกเกอร์เคยบอก หรือมันเกี่ยวพันกันไหมเนี่ย
นี่คือสิ่งที่ผมเพิ่งจะรู้ แต่ต้องมีคนที่มีประสบการณ์มากกว่าเคยรู้มาแล้ว
งั้นพอจะสรุปกับตัวเองได้บ้างว่า ตลาดหุ้น มีฝ่ายขาดทุน และฝ่ายที่กำไร ซึ่งตอนนั้นผมอยู่ในฝ่ายขาดทุน
และความรู้ ความเข้าใจ ซึ่งส่งผลต่อการลงมือทำ เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดผลแตกต่างขึ้นระหว่างกำไรและขาดทุน
เอาเป็นว่ามามองหาวิธีที่จะพาเราไปอยู่ฝ่ายกำไรดีกว่า ซึ่งบอกได้เลยว่าต้องเป็นวิธีที่ต้องพร้อมด้วยความรู้และความเข้าใจ
(ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจจะสำเร็จยาก หรือไม่สำเร็จเลย)
หลักของการที่จะทำกำไรได้ นั่นคือต้องทำในสิ่งที่มีโอกาสได้มากกว่าเสีย เป็นขั้นต่ำ แต่ถ้ายิ่งรู้และเข้าใจมากอย่างลึกซึ้งและทำในสิ่งที่ไม่มีโอกาสเสียก็จะยิ่งดีเยี่ยม (แต่ไม่ง่ายเลย 555)
วิธีแรกที่สนใจคือ ซื้อขายเพียงปีละ 1-2 ครั้ง แต่สิ่งที่ต้องรู้ และสนใจคือ ซื้อขายปีละ 1-2 ครั้ง จะทำให้เรากำไรได้ยังไง
ตามที่รู้กันตลาดหุ้นมีขึ้นและมีลงเป็นธรรมดามากๆ เมื่อมีแรงคนขายหุ้นมาก หุ้นก็ลง มีแรงคนซื้อหุ้นมากหุ้นก็ขึ้น
แล้วเราก็วางการลงทุนของเราเข้าไปในเวลาที่หุ้นลงมาแล้วนิ่งแล้ว จนเป็นเวลาที่หุ้นกำลังจะขึ้น ง่ายมั้ยครับ พูดเหมือนง่าย555
พูดถึงความแตกต่างก่อน ระหว่าง ปีละ1-2 ครั้ง หรือ การเล่นรายวัน หรือรายอาทิตย์ นั่นคือช่องว่าง หรือส่วนต่างด้านราคา สิ่งนี้จะมาเห็นภาพได้ง่ายขึ้นในหุ้นที่มีสภาพคล่องโดยการดูกราฟที่พ็อตจุดรายวันในระยะ 1 ปีที่ผ่านมา
ซึ่งการเล่นรายวัน รายอาทิตย์ มักจะเล่นแบบได้กำไรไม่กี่ช่วงราคา แล้วก็ขาย
แต่การซื้อปีละ 1-2 ครั้ง แล้วรอตลาดขึ้นจากปัจจัย หลายๆด้านทั้งแรงซื้อ หรือผลประกอบการ ซึ่งการที่นานๆซื้อทีนี่คงไม่ใช่เพื่อการหวังผงต่างราคาเพียงไม่กี่ช่วงราคาแน่ แต่ต้องมองผลตอบแทนที่ละ หลายสิบ% ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามการคาดการณ์
ใช่ครับ วิธีนี้ก็เป็นวิธีที่ยังอยู่ในระบบการคาดการณ์ของผู้ลงทุน บอกแล้วครับความรู้ความเข้าใจในตลาดหุ้นเป็นสิ่งสำคัญมาก
การเล่นรายวัน รายอาทิตย์ เสี่ยงบ่อยครั้ง และหวังกำไรบ่อยครั้งคราวละน้อยๆ
การเล่นปีละ 1-2 ครั้ง เสี่ยงน้อยครั้ง และหวังกำไรคราวละมากๆ
สำเร็จหรือไม่ ขึ้นอยู่กับประโยคที่ว่า แล้วเราก็วางการลงทุนของเราเข้าไปในเวลาที่หุ้นลงมาแล้วนิ่งแล้ว จนเป็นเวลาที่หุ้นกำลังจะขึ้น ง่ายมั้ยครับ และความรู้ความเข้าใจ แต่ถ้าคิดว่าประโยคนี้มันยากในการเล่นปีละ 1-2 ครั้งแล้ว การที่หวังจะได้กำไรจากการเล่นรายวันรายอาทิตย์จะยากขนาดไหน 555
วิธีต่อมา ถ้าการที่ได้กำไรจากหุ้น คือต้องได้ส่วนต่างราคา ทำไมเราไม่ ทำราคา ซะเองล่ะ 555 ถ้าทำได้รวยแน่ จริงป่ะ
นั่นอาจจะเห็นภาพได้ชัดขึ้นโดยเริ่มจาก เคยมีช่วงเวลาหนึ่งที่อยากได้หุ้นตัวหนึ่งซึ่งเป็นหุ้นขนาดเล็ก และช่วงนั้นเป็นช่วงที่ตลาดคึกคัก ผมจึงอยากเข้าซื้อด้วยความรวดเร็ว เลยซื้อครั้งละ ทั้งหมดหรือยกล็อตของ offer แรกที่มีอยู่ พอเคาะซื้อได้ 1-2 ครั้ง ก็เกิดมีแรงซื้อเข้ามาแบบพอเห็นได้ชัด นั่นทำให้ราคานั่นเด้งขึ้นไปเล็กน้อย นั่นเลยทำให้คิดว่าเป็นไปได้มั้ยที่จะเป็นผู้ทำราคา และยังคงคิดต่อไป
ลองคิดดูสิครับ เป็นคนทำราคาเอง ในภาวะที่ตลาดคึกคัก มีเงินน้อยก็ทำหุ้นตัวเล็ก แล้วจะเอาที่ไหนไปขาดทุน
นี่นะเหรอที่เค้าเรียกว่า เจ้ามือหุ้น ถ้าวางแผนดีๆโอกาสได้มากกว่าเสียแน่ ถือได้ว่าอยู่ในฝ่ายของกำไร
ด้วยการที่ผมสงสัยว่า สิ่งที่ผมสนใจอยู่ แม้ว่าตอนนั้นยังไม่น่ามีความสามารถมากพอที่จะทำ คือคำตอบที่ถูกหรือผิด ผมเลยเริ่มมีคำถามต่อคนที่ใกล้และไกลตัว ว่า ถ้าทำราคาหุ้นได้ จะดีมั้ย
คำตอบแรกที่ผมได้คือ มันเป็นสิ่งที่ไม่ดีมากเลยนะ (จริงๆคำมันรุนแรงกว่านี้นะครับ555)
พอได้ยิน อึ้ง อืม ได้คิดเลยครับ เรากำลังสนใจอะไรอยู่นี่
คำตอบที่สอง คือ โห๋ ถ้าทำนะจะมีแต่คนด่าว่าแบบลับหลัง (จริงๆคำมันรุนแรงกว่านี้นะครับ555)
พอได้ยิน อึ้ง อืม ได้คิดอีกแล้ว ถ้าทำราคาแล้วได้กำไร ก็แปลว่ามีคนขาดทุน แล้วคนขาดทุนก็ย่อมไม่พอใจ พอไม่พอใจก็ต้องมีแบบด่าว่าคนทำราคา ทั้งในใจหรือพูดออกมาแม้ไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ และคนทำราคาก็โดนด่าว่าแม้ไม่ได้ยิน แล้วการดำเนินชีวิต แบบมีผู้อื่นด่าว่าแม้เราไม่รู้จะดีเหรอ ไม่ดีแน่ๆจริงป่ะ
คำตอบที่สาม คือ ทำสิ ทำตัวไหนบอกด้วยนะ
อืม ไอ้นี่เห็นด้วยแฮะ เลยถามต่อว่า มันไม่เป็นการทำที่ไม่ดีเหรอ แล้วเค้าก็ตอบว่า ไม่ทำคนอื่นก็ทำ เลยถามต่อว่าแล้วไม่สงสารคนที่มาซื้อหุ้นต่อแล้วขาดทุนเหรอ แล้วเค้าก็ตอบว่า ก็เค้ามาซื้อต่อเองเราผิดอะไร
อืมก็จริงเนอะ
ผมก็เลยสรุปได้ว่า ยังไงก็จะไม่นำตัวเองไปอยู่ในตำแหน่งคนทำราคาโดยเด็ดขาด ผมอยากเป็นคนที่มีความสุข ซึ่งความสุขมักเกิดได้ง่ายกว่า ถ้าเราหนีห่างสิ่งที่ไม่ดี และลองคิดดูการทำราคานั้นเป็นการหากำไรจากคนอื่น ซึ่งนั่นทำให้คนอื่นขาดทุนโดยมาก ดังนั้นการที่จะมีเงินมากขึ้น บนความเดือดร้อนของผู้อื่นเป็นสิ่งที่ไม่ดีแน่ๆ
แล้วที่ได้คำตอบว่า ไม่ทำคนอื่นก็ทำ ก็ตัดสินใจได้ว่า ยังไงผมก็ไม่ทำ
ตัดสินใจอย่างนี้แล้วมีความสุขจัง 555
วิธีต่อมา อันที่ 3 วิธีนี้ดูช้า และช้ามากๆ น่าเบื่อ และน่าเบื่อมากๆ อารมณ์นั่งลุ้นราคาขึ้นลงลดลง หัวใจตื่นเต้นน้อยลงมาก ซึ่งจริงๆการนั่งลุ้น ความตื่นเต้น เป็นหนึ่งเสน่ห์ในตลาดหุ้น และเราจะเสียเสน่ห์อันนี้ไป
วิธีนี้ต้องเรียนรู้วิธี แยกความรู้สึกระหว่าง กิจการของบริษัทในตลาดหุ้น กับ ตลาดหุ้น ออกจากกัน
นั่นแปลว่า ตลาดหุ้น ไม่ใช่ หุ้น และ หุ้น ไม่ใช่ ตลาดหุ้น
วิธีนี้ คือ การเป็นเจ้าของกิจการ
ถ้าจะพูดถึงวิธีนี้ ถ้าไม่พูดถึงคุณ วอร์เรน คงจะไม่ได้ เพราะเค้าเป็นคนที่ทำให้ภาพวิธีนี้เกิดชัดเจนจริงๆ
คุณวอร์เรน เป็นเจ้าของธุรกิจจำนวนมากทั้ง ใหญ่นิดเดียว จนถึงใหญ่มาก ทั้งเป็นเจ้าของบางส่วนในบริษัท หรือเป็นเจ้าของทั้งหมด โดยที่เค้าไม่ได้เป็นผู้สร้างธุรกิจเหล่านั้นเลย
แต่คุณวอร์เรน ทำธุรกิจรวบรวมธุรกิจที่เขาต้องการ
การแยกแยะ ว่าอะไรคือหุ้น และอะไรคือตลาดหุ้น เป็นสิ่งที่จำเป็น ซึ่งหน้าที่จริงๆของหุ้น และตลาดหุ้น ก็ต่างกันมากแล้ว
หุ้นเป็นสิ่งที่แสดงภาพของบริษัท ตลาดหุ้นเป็นสิ่งที่แสดงภาพการนำหุ้นบริษัทต่างๆมารวมกันเพื่อซื้อขาย
ดังนั้น วิธีที่จะทำให้เข้าใจง่ายขึ้น ต้องตัดคำว่าตลาดหุ้นออกไปก่อน และมุ่งไปสนใจคำว่าหุ้นเพียงอย่างเดียวก่อน
และถ้าเข้าใจต่อได้ว่า หุ้นเกิดจากการแบ่งสิทธิ์ในความเป็นเจ้าของบริษัทแล้ว นั่นแหละครับหัวใจ
หัวใจ ของวิธีนี้คือคำว่า บริษัทมหาชน
แปลว่าขณะนี้ จะมีเหลือแค่คำว่าบริษัทมหาชน ไม่มีคำว่าหุ้น หรือตลาดหุ้นนะครับ
ถ้าครอบครัวใคร มีบริษัท หรือกิจการของตัวเอง คงจะนึกภาพได้ง่ายขึ้น ว่า บริษัท หรือบริษัทมหาชนเค้ามีไว้ทำอะไร
ใช่ครับ บริษัท บริษัทมหาชน เค้าก็จัดตั้งเพื่อการทำธุรกิจและแสวงหากำไร
นั่นแปลว่าบริษัท หรือบริษัทมหาชนที่ธุรกิจที่ดี มักจะทำกำไรได้ แปลว่าตรงนี้มีคำว่า กำไร อยู่นะครับ
อีกสักครู่ ผมจะดึงภาพของ หุ้น และตลาดหุ้นกลับมาชั่วครู่นะครับ นั่นแปลว่าตอนนี้ มีเพียง บริษัทมหาชน ทำธุรกิจที่ดีแล้วกำไร
เมื่อเราเข้าใจบริษัทมหาชนที่เราสนใจ ได้อย่างดีแล้ว ความสามารถของธุรกิจ และการทำกำไร และผลตอบแทนที่เราหวังจะได้รับจากการลงทุนแล้ว รวมถึงการปันผล
เราก็กระชากภาพของตลาดหุ้น ซึ่งเป็นที่ซื้อขายหุ้นของบริษัทมหาชนที่เราต้องการ กลับมา
แล้วก็ดู รอคอย และเข้าซื้อ ในราคาที่ให้ผลตอบแทนที่เราพอใจ (ราคายิ่งถูกยิ่งดี) และเมื่อซื้อเสร็จ ได้สิทธิ์เป็นเจ้าของหุ้น บริษัทมหาชนที่เราต้องการแล้ว
เราก็ผลักภาพของตลาดหุ้น และหุ้น ทิ้งออกไปอีกที แปลว่าตอนนี้ไม่มีคำว่า ตลาดหุ้น และหุ้นเหลือแล้วนะครับ
จะเหลือเพียง บริษัทมหาชน และสิทธิ์ที่เราเป็นเจ้าของบริษัทมหาชนนี้อยู่ เหลือเท่านี้จริงๆ
แล้วเรื่องกำไรล่ะ
ในเมื่อไม่มีตลาดหุ้น หรือ หุ้น หลงเหลือแล้ว แปลว่ากำไรในกรณีนี้ไม่ได้มาจากตลาดหุ้น หรือหุ้นเลย
แต่ผมต้องการอยู่ในฝ่ายกำไรนะ
กำไร อยู่ใน ประโยคที่ว่า บริษัทมหาชน ทำธุรกิจที่ดีแล้วกำไร
ดังนั้นไม่ว่าตลาดหุ้นขึ้นหรือลง มันก็ไม่เกี่ยวกับกำไรเท่าไหร่
เพราะกำไรที่แท้จริงของวิธีนี้ อยู่กับ บริษัทมหาชน
ดังนั้นถ้าบริษัทยังคงมีธุรกิจที่ดี และสร้างกำไรได้สม่ำเสมอ นั่นก็แปลว่าได้กำไร
ถ้าจะดึงภาพของตลาดหุ้น และหุ้น เข้ามาอีกทีก็คงเป็นเวลาที่จะขาย แต่ก็คงคิดขายตอนที่ตลาดหุ้นมันดีๆ 555