หน้า 1 จากทั้งหมด 1

แปรรูปรัฐวิสาหกิจ : ยากจะอธิบายในสังคมไทย

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มี.ค. 18, 2004 4:47 pm
โดย Dech
Copy มาให้อ่านครับ มาจาก http://www.nationweekend.com/

Econ Focus / เบญจพร วงศ์ (ฉ.615)


ประเด็น

แปรรูปรัฐวิสาหกิจ : ยากจะอธิบายในสังคมไทย


เนื้อเรื่อง

ไม่มีใครมีเสียหน้า...

แม้ว่ารัฐบาลจะยอมถอยหลัง 1 ก้าว เพื่อหยุดคิดเรื่องการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ หลังจากแผนแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) เผชิญกระแสต้านอย่างรุนแรง จากสหภาพฯ

เพราะคนต่างรู้แก่ใจดีว่า การถอยครั้งนี้ ของรัฐบาล และของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นการถอยเพื่อรอจังหวะกลับมาใหม่ มากกว่าจะถอย เพราะยอมตามข้อเรียกร้องของสหภาพฯ และกลุ่มอื่นๆ ที่คัดค้านการแปรรูปฯ

ในอีกมุมมองหนึ่ง ภาวะ 'สุญญากาศ' ตอนนี้ น่าจะเป็นจังหวะเหมาะให้มาถกกันว่า จริงๆแล้ว ประเทศไทย ต้องแปรรูปรัฐวิสาหกิจหรือไม่

เป็นการวิจารณ์กันในภาพรวม ซึ่งไม่จำกัดว่า จะต้องเป็นเรื่องการแปรรูปฯ กฟผ. แต่อาจจะเป็นการประปานครหลวง หรือ เป็นการแปรรูปรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่งแห่งใดก็ได้

จริงๆ แล้ว การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายในสังคมไทย แต่หลายยุคหลายสมัย เมื่อใดที่มีการพูดว่า จะมีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ เป็นต้องเผชิญกับแรงต้านอันหนักหน่วง จากสหภาพแรงงานการไฟฟ้า ซึ่งถือเป็นกลุ่มสหภาพที่แข็งแกร่งที่สุดในประเทศไทย จนรัฐบาลที่ผ่านๆ มา ต้องยอมถอยหลัง (ก้าวยาวๆ) เพื่อลดแรงกดดัน

กระทั่งเมื่อเกิดวิกฤติเศรษฐกิจขึ้นในเอเชีย ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการลอยตัวค่าเงินบาทของไทย เมื่อปี 2540 ในครั้งนั้น ประเทศไทยเปิดแขนอ้ารับความช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ซึ่งคนไทยเรียกสั้นๆ ว่า ไอเอ็มเอฟและต่างชาติ จนได้เงินกู้ฉุกเฉินมาก้อนหนึ่ง เพื่อช่วยฟื้นฟูประเทศให้พ้นจากวิกฤติ

นับจากนั้นมา ประเด็นเรื่องการแปรรูปรัฐวิสาหกิจก็กลับมาให้ได้ยินอีกครั้ง โดยอ้างว่าเป็นคำแนะนำของไอเอ็มเอฟ ...ขอย้ำว่า เป็นคำแนะนำ ไม่ใช่เงื่อนไข เพื่อให้ได้เงินมาก้อนใหญ่ โดยไม่ต้องก่อหนี้เพื่อมาใช้หนี้

ประเด็นเรื่องของการขายรัฐวิสาหกิจ เพื่อใช้หนี้ต่างประเทศ จึงตกไป และแน่นอนว่า ในสมัยของรัฐบาลที่ประกาศว่า จะขอเป็นเจ้าหนี้สุทธิ ไม่ใช่ประเทศลูกหนี้อีกต่อไป แถมยังประกาศความเป็นไท อย่างเอิกเกริก

รับรองว่าไม่มีทางอ้างเหตุผลนี้ เพื่อที่จะแปรรูปรัฐวิสาหกิจอย่างแน่นอน

ในรายการ 'นายกฯ ทักษิณคุยกับประชาชน' พ.ต.ท.ทักษิณ ส่งสัญญาณถอยชัดเจน โดยเฉพาะการ "ตำหนิตัวเองที่ไปเร่งให้มีการแปรรูปฯ เพราะจะได้มีบัญชีสองด้าน ด้านทรัพย์สิน และหนี้สิน ได้ลดหนี้สาธารณะลง การขยายตัวก็จะดี การบริหารมีความโปร่งใส มีระบบตรวจสอบ มีประชาชนทั่วไปตรวจสอบด้วย ซึ่งหลักการเป็นอย่างนั้น และไม่มีการขายหุ้นให้ต่างประเทศแน่นอน"

หากพิจารณาจาก 'หลักการ' ที่ พ.ต.ท.ทักษิณหยิบมาพูดนั้น ต้องยอมรับว่า ไม่ได้ 'เพี้ยน' ไปจากหลักการแปรรูปรัฐวิสาหกิจตามอุดมคติ

เริ่มกันตั้งแต่การลดหนี้สาธารณะ นับถึงเดือนพฤศจิกายน 2546 หนี้สาธารณะของไทยอยู่ที่ระดับเกือบ 2.9 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 48.90% ของจีดีพี ซึ่งหากถามว่าระดับหนี้ที่สัดส่วนนี้น่ากลัวไหม เสี่ยงไหม และต้องระวังไหม ก็ต้องบอกว่า เป็นไปได้ทั้งสองทาง

หนี้สาธารณะที่ระดับ 48.9% ของจีดีพี อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าระดับอันตราย คือ 50-100% ประกอบกับก่อนหน้านี้ หนี้สาธารณะของไทยเคยก้าวกระโดดขึ้นถึงเกือบ 60% ของจีดีพี หรือคิดเป็นตัวเงินก็ประมาณ 3 ล้านล้านบาท มาแล้ว แต่48.9% ก็เป็นระดับที่ต้องระวัง เพราะยอดหนี้สาธารณะที่คิดเป็นตัวเงินเกือบ 2.9 ล้านล้านบาท ยังไม่ถือว่าลดลงมากนัก เพียงแต่มูลค่าจีดีพีของไทยขยายใหญ่ขึ้น เลยทำให้หนี้สาธารณะดูก้อนเล็กลง

อย่างน้อยที่สุด การมีหนี้สาธารณะในระดับที่สูงๆ นอกจากจะทำให้รัฐบาลดำเนินนโยบายการคลังได้ลำบากแล้ว หากไม่บริหารจัดการดีๆ สัดส่วนกลับขึ้นไปที่ระดับ 50% หรือ เกือบ 60% อีกครั้ง ก็จะยิ่งกระทบต่อความเชื่อมั่นในระบบการเงินการคลังของประเทศ และเศรษฐกิจโดยรวมในที่สุด

หากเอาเหตุผลเรื่องหนี้สาธารณะมาเป็นโจทย์ตั้ง ยังพอรับฟังได้ แต่ที่ผ่านมา ทุกเหรียญย่อมมี 2 ด้านเสมอ ในภาวะที่เศรษฐกิจยังขยายตัวในระดับที่ดี หากรัฐบาลควบคุมการใช้จ่าย ไม่เอื้ออาทรมากจนเกินไป ความจำเป็นในการนำสินทรัพย์ของรัฐออกมาแปรรูปฯ ก็จะลดลง

ปัญหาคือการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทย ไม่จำเป็นต้องเน้นที่ตัวเลข อย่ายึดติดว่า อัตราการเติบโตต้อง 8% 9% หรือ 10% เหมือนดังที่จีนเขาทำได้ ซึ่งจริงๆ แล้ว การเติบโตที่อัตราสูงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องดีเสมอไปนัก อย่างจีนซึ่งเพิ่งเสร็จสิ้นการประชุมสมัชชาประชาชนจีนมาหมาดๆ ก็ยังระบุถึงปัญหาปวดหัว ที่มาจากเศรษฐกิจโต 9.1% เมื่อปี 2546ว่า มีตั้งหลายเรื่อง ตั้งแต่การจับสัญญาณได้บ้างแล้วว่า เศรษฐกิจทำท่าจะร้อนแรงอีกแล้ว การลงทุนก็มากเหลือเกิน แถมยังมีเรื่องระบบธนาคารมาเป็นปมเรื้อรัง ที่ต้องเร่งสางให้เสร็จภายในปี 2549 ด้วย

โตอย่างมีคุณภาพดีที่สุด จะได้ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังกับเรื่องหนี้สาธารณะ จนทำอะไรไม่คล่องมือ

แปรรูปฯ แล้ว จะช่วยให้การบริหารจัดการขององค์กรหนึ่งๆ มีความโปร่งใสจริงหรือ

สำหรับประเด็นนี้ ไม่ต้องอภิปรายกันมาก ก็มีตัวอย่างให้เห็นกันอยู่หลายบริษัทในหลายประเทศว่า การแปรรูปรัฐวิสาหกิจไม่ใช่คำตอบสุดท้าย

กรณีของ เอนรอน เวิลด์คอม เป็นคำอธิบายที่ดีที่สุดว่าความโปร่งใสขององค์กร ไม่ใช่เรื่องที่สามารถเนรมิตได้ เพียงเพราะว่าองค์กรนั้นๆ อยู่ในรูปของบริษัทมหาชน บริษัทเอกชน หรือเพราะเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มีกฎเกณฑ์ของตลาดบังคับให้ต้องเปิดเผยข้อมูล

เพราะบริษัทจดทะเบียนก็แต่งบัญชีได้ และหลอกตาคนอยู่ได้ตั้งนาน ก่อนที่เรื่องจะถูกเปิดโปงออกมา

แม้แต่ในเรื่องของระบบตรวจสอบ โมเดลที่ 'หมอมิ้ง' น.พ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พยายามเดินสายอธิบายต่อสื่อมวลชน ก็ยังไม่โดนใจเท่าไร เพราะโครงสร้างของคณะกรรมการกำกับดูแลที่จะจัดตั้งขึ้นมาดูแลเรื่องค่าไฟและประเด็นที่เป็นผลพวงตามมาจากการแปรรูปฯ ก็ไม่ใช่คณะกรรมการที่เป็นอิสระอย่างแท้จริง ยังมีคนจากรัฐวิสาหกิจเดิม และข้าราชการการเมือง นั่งอยู่ในบอร์ดด้วยโดยตำแหน่ง

แล้วใครจะกล้ายืนยันว่าคณะกรรมการชุดนี้จะทำงานเพื่อตรวจสอบแทนประชาชน หรือประชาชนสามารถตรวจสอบได้จริง ไม่ใช่แค่ลมปากหวานหูมิรู้หาย

ในต่างประเทศมีตัวอย่างให้เห็นได้มากมายว่า แปรรูปฯ แล้ว ล้มเหลว หรือไม่ได้ผลดีดังที่คาดหวัง โดยเฉพาะอังกฤษ ซึ่งถือเป็นต้นแบบในเรื่องของการแปรรูปฯ หลังแปรรูปฯ การประปาได้ไม่นาน ค่าน้ำก็พุ่งพรวดเกือบเท่าตัว กลายเป็นว่าแทนที่จะแปรรูปฯ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ เพื่อทำให้น้ำประปาสามารถเข้าถึงทุกชุมชน กลับขึ้นอยู่กับว่า ใครจ่ายได้ ก็ได้รับบริการไป

"ในหลายประเทศที่แปรรูปกิจการผูกขาด ปรากฏว่าประชาชนเดือดร้อนจากค่าไฟ-ค่าน้ำปรับขึ้น มีการตกงานเพิ่มขึ้น ไฟฟ้าขาดแคลน เพราะบริษัทคำนึงถึงผลประโยชน์เป็นหลัก ซึ่งนักวิชาการมีความเป็นห่วง และจะจัดสัมมนาระดมความเห็นเพื่อเป็นทางออกในการแก้ปัญหา..." นี่เป็นความเห็นบางส่วนของ วรวิทย์ เจริญเลิศ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขณะร่วมปราศรัยระหว่างการชุมนุมของพนักงาน กฟผ. เมื่อวันที่ 6 มีนาคม

ในความเป็นจริง หลังการแปรรูปฯ แล้ว ค่าไฟ ค่าน้ำประปา และค่าโทรศัพท์ จะเท่ากับเมื่อครั้งที่ยังเป็นรัฐวิสาหกิจอยู่หรือไม่ หรือแพงขึ้น

จำได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เคยตอบคำถามของผู้สื่อข่าวที่ว่า ถ้ารัฐบาลแปรรูปรัฐวิสาหกิจ เป็นบริษัทจำกัดมหาชนแล้ว ยังยืนยันหรือไม่ว่า ค่าน้ำ ค่าไฟ จะอยู่ในราคาเดิม พ.ต.ท.ทักษิณตอบว่า แน่นอน รัฐบาลต้องเอาประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นหลัก แต่การที่ น.พ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช รมว.พลังงาน บอกว่า จะคงเดิมแค่ 1 ปี แต่หลังจากนั้นจะขึ้นราคานั้น คงไม่ใช่ เพราะโดยปกติค่าไฟขึ้นมาตลอดอยู่แล้ว เป็นไปตามต้นทุน

นั่นหมายความว่า หลังแปรรูปฯ แล้ว ค่าไฟ ค่าน้ำ ค่าโทรศัพท์ จะไม่นิ่งแน่ๆ

เมื่อทุกเหตุผลที่เอ่ยอ้างมา สามารถหักล้างได้ด้วยตัวอย่าง กรณีศึกษา และบทเรียนจากต่างประเทศ แล้วเหตุใดประเทศไทยจึงจำเป็นต้องมีการแปรรูปฯ อยู่

หวังว่า คนไทยทุกคนคงจะได้รับคำตอบที่สมเหตุสมผลจากรัฐบาล และต้องไม่มาพร้อมกับเรื่องราวอื้อฉาวของหุ้นจัดสรร ที่ตกอยู่ในมือของคนในตระกูลดัง หรือตระกูลนักการเมือง อย่างที่ได้ยินได้ฟังกันเมื่อเร็วๆ นี้อีก