ปิโตรฯ ขาลง
โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ย. 08, 2008 11:05 pm
ปิโตรฯ ขาลง
นักลงทุนหวังถ้อยแถลง "โอบามา" กระตุ้นตลาดหุ้นสดใสได้ในระยะสั้น แม้เศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัวในเร็วๆ นี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาด 10-14 พ.ย.นี้ หุ้นไทยปรับฐาน แนะถือเงินสด 100% เชื่อแถลงการณ์ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่มีอะไรใหม่ เป็นเรื่องเก่าที่เคยหาเสียงไว้แล้ว ทั้งมองหุ้นกลุ่มปิโตรเคมีเข้าสู่ขาลงเต็มตัว แต่เชื่อนักลงทุนรับรู้แล้ว ระบุขณะนี้ให้น้ำหนักการลงทุนน้อยกว่าตลาด
* หวัง "โอบามา" กระตุ้นตลาดหุ้นทั่วโลก
คืนวันที่ 7 พฤศจิกายน 2551 เป็นครั้งแรกที่ นายบารัค โอบามา ว่าที่ประธานาธิบดีคนที่ 44 ของสหรัฐฯ จะเปิดแถลงข่าวหลังชนะการเลือกตั้งแบบถล่มทลายเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยก่อนหน้าการประชุม นายโอบามา ได้ประชุมหารือร่วมกับที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจจากภาคธุรกิจ รัฐบาล และภาควิชาการรวม 17 คนเพื่อหาทางฟื้นฟูภาคการเงินและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ซึ่งจะจะเป็นงานชิ้นแรกของรัฐบาลภายใต้การนำของเขา
โดยคณะกรรมการที่ปรึกษาเศรษฐกิจ ซึ่งจัดตั้งขึ้นในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาลชุดนี้ มีบุคคลผู้ทรงคุณวุฒิประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ในรัฐบาลประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารจากซีร็อกซ์คอร์ป ไทม์วอร์เนอร์ กูเกิ้ล และไฮแอตโฮเทล รวมถึงนาย วอร์เรน บัฟเฟตต์ ซึ่งร่วมประชุมผ่านทางโทรศัพท์ ซึ่ง นายโอบามา มีแผนแถลงข่าวเกี่ยวกับการหารือดังกล่าวในการแสดงสุนทรพจน์ครั้งแรกนับตั้งแต่ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายนด้วย
การประชุมครั้งนี้ สร้างความหวังให้แก่นักลงทุนทั่วโลกว่า จะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นในระยะสั้น แม้โดยภาพรวมแล้วภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจของโลก อาจไม่สามารถฟื้นฟูให้กลับมารุ่งเรืองได้ในระยะสั้นๆ ก็ตาม
* ตลท.แนะจับตานโยบายกระตุ้น ศก. แต่เชื่อในระยะนี้ ศก.สหรัฐฯ ยังไม่กระเตื้อง
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานวิจัย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ภายหลังจากที่สหรัฐฯ ได้ประธานาธิบดีคนใหม่คือนายบารัค โอบามา สิ่งที่ต้องติดตามคือ นโยบายการแก้ไขปัญหาของนายบารัค โอบามา ตั้งแต่รับตำแหน่งว่าจะมีมุมมองและแนวทางในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯ ขณะนี้อย่างไรเพื่อให้สามารถคลี่คลายไปสู่ทิศทางที่ดีขึ้น
ทั้งนี้ เชื่อว่าถึงแม้ว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะมีนโยบายเกี่ยวกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐฯ ดีขึ้น แต่ส่วนตัวมองว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะไม่สามารถแก้ไขได้ภายในระยะเวลาที่รวดเร็ว และกลับมาดีขึ้นเหมือนในอดีต
'สิ่งที่ต้องจับดูขณะนี้คือ การเลือกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ ว่าจะเป็นใคร เพราะรมว.คลังสหรัฐฯ ก็จะเป็นส่วนหนึ่งในการเข้ามาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ พร้อมๆไปกับรัฐบาลสหรัฐฯ หากมีนโยบายที่ดี ก็เชื่อว่าจะเป็นผลดีต่อประเทศสหรัฐฯ' ดร.กอบศักดิ์ กล่าว
* 'ก้องเกียรติ' คาดส่งออกไทยกระทบแน่ หลังชูนโยบายปกป้องธุรกิจในประเทศ
ด้าน ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) (ASP) เปิดเผยว่า หลังจากที่นาย บารัค โอบามา เข้ามาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ เชื่อว่าจะต้องดำเนินนโยบายช่วยเหลือประชาชนที่มีรายได้ต่ำโดยจะนำรายได้ของผู้ที่มีรายได้สูงมาช่วยเหลือ อีกทั้งมีนโยบายปกป้องธุรกิจในประเทศสหรัฐฯ ด้วย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อประเทศที่เป็นคู่ค้ารวมถึงไทยที่จะได้รับผลกระทบทางอ้อม เนื่องจากธุรกิจส่งออกของไทยน่าจะได้รับผลกระทบจากนโยบายดังกล่าว
สำหรับภาคเอกชนไทยจะต้องมีการปรับตัวอย่างรุนแรงเพื่อรองรับถึงผลกระทบดังกล่าว อีกทั้งรัฐบาลจะต้องออกมาตรการสนับสนุนภาคเอกชนอย่างรวดเร็วและสามารถปฎิบัติได้จริง นอกจากนี้หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องจะต้องให้ความร่วมมือในการรองรับถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น
* โบรกฯ เชื่อสัปดาห์หน้าหุ้นไทยปรับฐาน
นางสาวจิตรา อมรธรรม รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ไซรัส กล่าวว่า แนวโน้มในสัปดาห์หน้า (10-14 พ.ย.) คาดว่าตลาดหุ้นไทยจะอยู่ในช่วงปรับฐาน ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับตลาดหุ้นทั่วโลก ที่ขาดข่าวดีใหม่สนับสนุนภายหลังจากปรับขึ้นมาตอบรับข่าวประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นความหวังในการแก้ปัญหาเศรษกิจโลกขณะนี้ไปแล้ว
ส่วนประเด็นที่นายบารัค โอบามา ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ และนายโจ ไบเดนว่าที่รองประธานาธิบดี จะจัดการแถลงข่าวเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ มองว่าเป็นเพียงการแถลงนโยบายต่อสาธารณะอย่างเป็นทางการในตำแหน่งประธานาธิบดี ซึ่งในรายละเอียดคงไม่แตกต่างไปจากนโยบายที่เคยได้หาเสียงไว้ เช่น มีแนวคิดในการปรับลดภาษีชนชั้นกลางถึงระดับล่าง ท่าทีทางการค้าการลงทุนกับต่างประเทศที่อาจเข้มงวดขึ้นเพราะต้องการปกป้องผลประโยชน์ของอเมริกา และสนับสนุนโครงการสาธารณูปโภคในประเทศและผลักดันพลังงานทดแทนในสหรัฐฯตามที่ได้เคยเสนอไว้เพราะถ้าเกิดความแตกต่างคงสร้างความไม่พอใจให้กับประชาชนที่เป็นฐานเสียง
อย่างไรก็ดี คาดว่ายังไม่น่าจะมีการเสนอมาตรการใหม่หรือแผนกอบกู้เศรษฐกิจชุดใหม่ในคืนวันที่ 7 พฤศจิกายนนี้เพราะรัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การนำของบารัค โอบามา ยังไม่ได้เข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ อีกทั้งนโยบายแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ประกาศออกมารวมถึงทีมบริหารงานด้านเศรษฐกิจแม้จะมีแนวคิดที่ดีเพียงใดแต่ยังไม่น่าจะสามารถแก้วิกฤตให้จบสิ้นลงในชั่วข้ามคืนเพราะมูลค่าความเสียหายที่มหาศาลในระบบเศรษฐกิจทั้งอเมริกาอาจต้องใช้เวลานานในการเยียวยากว่าจะกลับเข้าสู่สภาพเดิม
ทั้งนี้ ประเมินว่าตลาดฯ จะปรับขึ้นตอบรับข่าวดีก็ต่อเมื่อรัฐบาลสหรัฐฯ เร่งเดินหน้าแก้ไขวิกฤตในทางปฏิบัติ เช่น ปรับลดภาษี อัดฉีดเม็ดเงินและมีสัญญาณทางที่ดีขึ้นจากภาคอุตสาหกรรมหรือการผลิต เช่นตัวเลขเศรษฐกิจเกี่ยวกับการผลิตหรือจ้างงานฟื้นตัวดีขึ้น
ในส่วนของสัญญาณทางเทคนิคระบุว่าดัชนีฯ หมดรอบรีบาวน์แล้ว กลยุทธ์การลงทุนจึงแนะนำถือเงินสด 100% ทั้งนี้ ประเมินแนวรับดัชนีฯ 420 จุด แนวต้าน 480 จุด
* ถึงเวลาขาลงหุ้นกลุ่มปิโตรฯ
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า คาดการณ์ผลประกอบการในไตรมาส 3/2551 ของผู้ประกอบการกลุ่มปิโตรเคมีน่าจะยังคงทรงตัว เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกัน หรือถ้าผลการดำเนินจะปรับตัวลดลง ก็อาจจะปรับตัวลดลงได้ที่ไม่มากนัก เพราะ Spread ยังลดลงไม่มาก
โดยพบว่าราคาน้ำมันที่เริ่มปรับตัวลดลงแรงนั้น เริ่มปรับลงมาช่วงปลายไตรมาส 3/2551 แต่อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาส 4/2551 ผลการดำเนินงานออาจะออกมาย่ำแย่ เนื่องจาก Spread ลดลง และ Demand ก็เริ่มชะลอตัวจากปัญหาวิกฤตการเงินที่ เป็นผลทางอ้อมทำให้ความต้องการของผู้บริโภคชะลอตัวลดลงอยากหนัก นอกจากนี้ ราคาผลิตภัณฑ์จะปรับลดลงตามต้นทุนที่ปรับลงตามราคาน้ำมันแล้ว Demand ผลิตภัณฑ์ยังอยู่ในภาวะที่ชะลอการซื้อลง เป็นปัจจัยซ้ำเติมที่ทำให้ราคาผลิตภัณฑ์ปรับลงแรง
"ผลประกอบการ ก็คงต้องมาติดตามดูว่าจะออกมาเป็นอย่างไร ซึ่งเชื่อว่านักลงทุนส่วนใหญ่น่าจะพอทราบว่าธุรกิจ ปิโตรเครมีจะเริ่มเข้าสู่ช่วงขาลงในปีหน้า แต่ถ้าหากผลิตออกมาแล้วขายได้ก็ยังโอเค เพราะแม้ว่าราคาน้ำมันจะลดลง แต่ส่วนของ Spread ก็ไม่ได้ปรับตัวลดลงจนถึงขึ้นต้องติดลบ เพราะราคาน้ำมันที่ลดลงนั้น ก็มีข้อดีในแง่ของต้นทุนวัสถุดิบที่ลดลงมาเหมือนกัน ซึ่งตอนนี้เองราคาน้ำมันลดลงมาแรง ทำให้ Spread แคบ แต่ถ้าหากยาว Spread น่าจะไม่แคบ แต่ปีนี้เองคงจะลดลงจากปีก่น เพราะว่าปีกอ่นเป็นช่วงขาขึ้นของราคา" นักวิเคราะห์ กล่าว
ในขณะที่วัฏจักรขาลงของธุรกิจดังกล่าวนับวันยิ่งชัดขึ้น ส่วนปีหน้าต้องเผชิญกับความยากลำบากจากกลังการผลิตภาวะ Oversupply ของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี เนื่องจากความต้องการหดตัวลง ขณะที่กำลังการผลิตใหม่ ที่เพิ่มขึ้นจากประเทศอินเดีย และจีน ก็จะเข้ามาสู่ตลาดค่อนข้างมาก ซึ่งก็เป็ผลมาจากในช่วงปีที่ผ่านมาเป็นช่วงขาขึ้นของธุริจ ทำให้มีการขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น และกำลังการผลิตใหม่ ก็เริ่มเข้ามาในปี 2552 แต่อย่างไรก็ตาม ก็เป็นไปตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์กันไว้แล้ว แต่ที่น่ากังวล คือ ในปี 2552 หากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวอย่างรุนแรง กดดันต่อการอุปโภคบริโภค ก็จะกระทบมายังผลการดำเนินงานของบริษัทในกลุ่มปิโตรเคมี
"ธุรกิจปิโตรเคมีก็เป็นแบบนี้ หากมีดีมานด์เข้ามาก็มีการขยายกำลังการผลิต แต่ถ้าหากจะขายก็ต้องขยายให้มากๆ เพราะกว่าจะเสร็จก็อีกประมาณ 1-2 ปี ที่กำลังการผลิตใหม่จะเข้ามา ซึ่งหากกำลังการผลิตมีมากกว่าความต้องการก็จะทำให้การทำธุรกิจปิโตรเคมีไม่ดี แต่ก็คงไม่มีใครจะบอกได้ว่าช่วงปีไหนจะเป็นช่วงขาขึ้นของธุรกิจปิโตรเคมี แต่ถ้าหากคนที่ลงทุนไปแล้ว คงได้ประโยชน์หากความต้องการกลับมา ซึ่งบริษัทที่จะอยู่ได้ในขณะนี้ ก็น่าจะเป็นบริษัทใหญ่ เพราะบริษัทเล็กๆ คงต้องมี cost ไปเรื่อยๆ" นักวิเคราะห์กล่าว สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในกลุ่มปิโตรเคมี ขณะนี้ให้น้ำหนักการลงทุนน้อยกว่าตลาด
* ข่าวร้าย! เมอร์ริลลินช์ หั่นประมาณการกำไรขั้นต้นค่าการกลั่นปีหน้า 20%
ล่าสุด รายงานข่าวบนเว็บไซท์บลูมเบิร์กดอทคอมระบุว่า เมอร์ริลลินช์แอนด์โค ลดประมาณการกำไรขั้นต้นจากค่าการกลั่นในตลาดสิงคโปร์ปีหน้าลง 20% มาอยู่ที่ 7.20 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังความต้องการในตลาดชะลอ ขณะที่กำลังการผลิตใหม่เพิ่มขึ้น
ขณะเดียวกัน เมอร์ริลลินช์ได้ลดประมาณการกำไรขั้นต้นจากค่าการกลั่นปี 2010 ลง 9% มาอยู่ที่ 7 ดอลลาร์/บาร์เรล พร้อมกับคาดว่า กำไรขั้นต้นจากค่าการกลั่นอาจลดลงเหลือ 4 ดอลลาร์/บาร์เรล หากเศรษฐกิจเอเซียเข้าสู่ภาวะถดถอย
โดยเมอร์ริลลินช์ระบุว่า เศรษฐกิจที่ชะลอตัวในจีน อินเดีย และประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมขนส่งและการใช้หน้ำมันดีเซล เบนซิน และเชื้อเพลิงอากาศยาน
ทั้งนี้ เมอร์ริลลินช์ระบุว่า ความต้องการใช้น้ำมันในภูมิภาคเอเซียปีหน้าจะเพิ่มขึ้น 300,000 บาร์เรล/วัน ขณะที่กำลังการผลิตของโรงกลั่นเพิ่มขึ้น 1.7 ล้านบาร์เรล/วัน
'หากเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยมากกว่าที่คาด กำไรขั้นต้นจากค่าการกลั่นจะมีแนวโน้มอีกเช่นกัน' บทวิเคราะห์ของเมอร์ริลลินช์ระบุ
* บล.ฟินันซ่า แนะระวังแรงขายทำกำไรในหุ้นกลุ่มปิโตรเคมี & โรงกลั่น
ด้านฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ฟินันซ่า ระบุว่า สัปดาห์ที่ผ่านมาราคาหุ้นที่ทำธุรกิจปิโตรเคมี & โรงกลั่นอย่าง TOP/ PTTAR/IRPC ดีดตัวขึ้นเฉลี่ย 20% เพราะก่อนหน้านี้ราคาลงเร็วและแรงมาก จนราคาลงไปทำ Record Low (ต่ำสุดนับแต่เข้าเทรดฯ) และมีส่วนลดถึง 40-50% จาก BV ล่าสุด
ในขณะที่วัฏจักรขาลงของธุรกิจดังกล่าวนับวันยิ่งชัดขึ้น เช่น สัปดาห์ที่แล้วราคาสินค้าปิโตรเคมีทั้งสายโอเลฟินส์ (PTTCH & SCC) และอะโรเมติกส์ (PTTAR) ทำสถิติต่ำสุดในรอบ ~ 7 ปี โดยทรุดต่ออีก 20-40% จากสัปดาห์ก่อน
ส่วนผลประกอบการ 3Q08 ที่กำลังจะประกาศออกมาเร็วๆ นี้ (ไม่เกิน 14 พ.ย.) คาดว่าทั้ง 3 โรงกลั่นจะออกมาขาดทุนถ้วนหน้าและบักโกรกจาก Inventory Loss (หลังราคาน้ำมันลงแรง) และมีแนวโน้มจะขาดทุนต่อเนื่องไปใน 4Q08 ส่วนปีหน้าต้องเผชิญกับความยากลำบากจากภาวะOversupply ของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี & โรงกลั่นหลังความต้องการหดแต่จะมีกำลังการผลิตใหม่ๆ จากอินเดีย & ตะวันออกกลางเพิ่มเข้ามา
กลยุทธ์ยังให้ หลีกเลี่ยง
* บล.ธนชาต แนะขาย PTTCH ให้ราคาเป้าหมายใหม่ 32.70 บาท
ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ธนชาต ออกบทวิเคราะห์ แนะนำขาย บมจ. ปตท.เคมิคอล (PTTCH) โดยระบุว่า PTTCH กลายเป็นผู้ผลิตที่มีต้นทุนที่สูง จากผู้ผลิตที่มีต้นทุนต่ำ เนื่องจากการลดลงอย่างมากของราคาน้ำมัน โดย Spreads ลดลงอย่างมาก และกำไรจากโรงผลิตใหม่น่าจะอยู่ในระดับต่ำมาก ยังคงมีมูลค่าที่แพง สำหรับการเป็น cyclical company ในช่วงขาลงของอุตสาหกรรม โดยซื้อขายที่ระดับ P/E ที่ 7.3 เท่าในปี 2009E
ทั้งนี้ บล.ธนชาต ระบุว่า เนื่องจากราคาน้ำมันที่ลดลงอย่างมาก เราจึงทำการปรับลดประมาณการกำไรปี 2008-2011 ของเราลงราว 11-32% สำหรับช่วง 3Q08 เราคาดว่าบริษัทฯ น่าจะรายงานกำไรสุทธิจำนวน 4.9 พันลบ. ลดลง 3% y-y เนื่องจากการลดลงของยอดขาย จากการปิดโรงผลิตเพื่อทำการซ่อมบำรุง การเพิ่มขึ้นของต้นทุนก๊าซ จากการเปลี่ยนสูตร netback formula กับ PTT และการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ สำหรับแนวโน้มช่วง 4Q08 น่าออกมาเลวร้ายกว่า เนื่องจาก Spread ปรับตัวลงไปอีก Valuation ในระดับต่ำเป็นสิ่งที่เหมาะสม
พร้อมกันนี้ ยังคงแนะนำ ขาย โดยมีราคาเป้าหมายใหม่ที่ 32.70 บาท/หุ้น (จาก 49.70 บาท/หุ้น) ถึงแม้ว่า PTTCH จะทำการซื้อขายที่ระดับ P/BV ที่ต่ำ (0.6 เท่าในปี 2009) และต่ำกว่าคู่แข่งในภูมิภาค เนื่องจากมีแรงขายออกมาจำนวนมาก (ลดลง 75% YTD) แต่การลดลงของแนวโน้มกำไร และการสูญเสียความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ผลิตปิโตรเคมีที่ใช้นาฟทาเป็นวัตถุดิบในช่วง 6 เดือนข้างหน้า ยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ valuation อยู่ในระดับต่ำ ภายใต้การประเมินโดยวิธี P/E PTTCH ยังคงแพง สำหรับการเป็น cyclical company ในช่วงขาลงของอุตสาหกรรม โดยซื้อขายที่ระดับ P/E 7.3 เท่าฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง แม้มีการลงทุน
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าความไม่แน่นอนในแนวโน้มอุตสาหกรรมปิโตรเคมี แต่ PTTCH จะดำเนินการลงทุนตามแผนที่วางไว้ โครงการต่างๆอยู่ในขั้นการก่อสร้างระยะกลาง และโครงการส่วนใหญ่มีแหล่งเงินกู้แล้ว หากโครงการเหล่านี้เสร็จสิ้น เราเชื่อว่า PTTCH น่าจะมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง (36% net gearing และ net debt/EBITDA ที่ 2.4 เท่า)
* บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส มอง PTTAR แนะนำ 'Fully Valued' ราคาพื้นฐาน 10 บาท
ขณะที่ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส ออกบทวิเคราะห์ ประเมินสถานการณ์ บมจ.ปตท.อะโรเมติกส์ (PTTAR) โดยระบุว่า คาดการณ์ว่าผลประกอบการ 3Q51 ของ PTTAR ยังไม่สดใส คาดการณ์ว่าจะขาดทุนสุทธิ 4.49 พันล้านบาท เทียบกับกำไรสุทธิ 4 พันล้านบาทใน 3Q50 และกำไรสุทธิ 4.1 พันล้านบาทใน 2Q51
สำหรับแนวโน้ม 4Q51 ยังไม่สดใส เนื่องจากมีปัจจัยลบหลายประการ ซึ่งปริมาณการผลิตอะโรเมติกส์ที่เพิ่มไม่สามารถชดเชยได้ โดยคาดว่าจะมีผลขาดทุนในสินค้าคงคลังของโรงกลั่นต่อเนื่อง, การใช้กำลังการผลิตโรงกลั่นลดลงเพราะ SPRC ปิดซ่อมบำรุงตามแผน และ Spread ของธุรกิจอะโรเมติกส์ลดลง เราปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 51 และปี 52 ลง 91% และ 39% ตามลำดับ สะท้อนผลขาดทุนในสินค้าคงคลังและ Spread ของอะโรเมติกส์ที่ต่ำกว่าคาดการณ์เดิม ยังผลให้กำไรสุทธิปี 51 จะลดลง 96%YoY เป็น 742 ล้านบาท แต่จะฟื้นตัว 701% เป็น 5.9 พันล้านบาทในปี 52 (แต่ถือว่าอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับภาวะปกติ) ปรับลดราคาเป้าหมายเป็น 10 บาท อิงกับ PE ปี 52 เท่ากับ 5 เท่า (เดิม 17.7 บาท)
ส่วนราคาหุ้น PTTAR ลดลงมาแล้ว 79%YTD มากกว่ากลุ่มและมากกว่า SET แต่แนวโน้มธุรกิจไม่สดใส และคาดว่าจะจ่ายปันผลสำหรับปี 51 ต่ำลงเหลือเพียง 0.11 บาท หรือคิดเป็น Dividend Yield 1.1% (ให้ Payout ratio 44%) ก่อนจะฟื้นตัวเป็น 10% ในปี 52 ดังนั้นในช่วงนี้จึงปรับลดคำแนะนำจากซื้อเป็น Fully Valued
http://www.efinancethai.com/index.aspx
นักลงทุนหวังถ้อยแถลง "โอบามา" กระตุ้นตลาดหุ้นสดใสได้ในระยะสั้น แม้เศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัวในเร็วๆ นี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาด 10-14 พ.ย.นี้ หุ้นไทยปรับฐาน แนะถือเงินสด 100% เชื่อแถลงการณ์ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่มีอะไรใหม่ เป็นเรื่องเก่าที่เคยหาเสียงไว้แล้ว ทั้งมองหุ้นกลุ่มปิโตรเคมีเข้าสู่ขาลงเต็มตัว แต่เชื่อนักลงทุนรับรู้แล้ว ระบุขณะนี้ให้น้ำหนักการลงทุนน้อยกว่าตลาด
* หวัง "โอบามา" กระตุ้นตลาดหุ้นทั่วโลก
คืนวันที่ 7 พฤศจิกายน 2551 เป็นครั้งแรกที่ นายบารัค โอบามา ว่าที่ประธานาธิบดีคนที่ 44 ของสหรัฐฯ จะเปิดแถลงข่าวหลังชนะการเลือกตั้งแบบถล่มทลายเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยก่อนหน้าการประชุม นายโอบามา ได้ประชุมหารือร่วมกับที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจจากภาคธุรกิจ รัฐบาล และภาควิชาการรวม 17 คนเพื่อหาทางฟื้นฟูภาคการเงินและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ซึ่งจะจะเป็นงานชิ้นแรกของรัฐบาลภายใต้การนำของเขา
โดยคณะกรรมการที่ปรึกษาเศรษฐกิจ ซึ่งจัดตั้งขึ้นในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาลชุดนี้ มีบุคคลผู้ทรงคุณวุฒิประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ในรัฐบาลประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารจากซีร็อกซ์คอร์ป ไทม์วอร์เนอร์ กูเกิ้ล และไฮแอตโฮเทล รวมถึงนาย วอร์เรน บัฟเฟตต์ ซึ่งร่วมประชุมผ่านทางโทรศัพท์ ซึ่ง นายโอบามา มีแผนแถลงข่าวเกี่ยวกับการหารือดังกล่าวในการแสดงสุนทรพจน์ครั้งแรกนับตั้งแต่ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายนด้วย
การประชุมครั้งนี้ สร้างความหวังให้แก่นักลงทุนทั่วโลกว่า จะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นในระยะสั้น แม้โดยภาพรวมแล้วภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจของโลก อาจไม่สามารถฟื้นฟูให้กลับมารุ่งเรืองได้ในระยะสั้นๆ ก็ตาม
* ตลท.แนะจับตานโยบายกระตุ้น ศก. แต่เชื่อในระยะนี้ ศก.สหรัฐฯ ยังไม่กระเตื้อง
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานวิจัย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ภายหลังจากที่สหรัฐฯ ได้ประธานาธิบดีคนใหม่คือนายบารัค โอบามา สิ่งที่ต้องติดตามคือ นโยบายการแก้ไขปัญหาของนายบารัค โอบามา ตั้งแต่รับตำแหน่งว่าจะมีมุมมองและแนวทางในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯ ขณะนี้อย่างไรเพื่อให้สามารถคลี่คลายไปสู่ทิศทางที่ดีขึ้น
ทั้งนี้ เชื่อว่าถึงแม้ว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะมีนโยบายเกี่ยวกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐฯ ดีขึ้น แต่ส่วนตัวมองว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะไม่สามารถแก้ไขได้ภายในระยะเวลาที่รวดเร็ว และกลับมาดีขึ้นเหมือนในอดีต
'สิ่งที่ต้องจับดูขณะนี้คือ การเลือกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ ว่าจะเป็นใคร เพราะรมว.คลังสหรัฐฯ ก็จะเป็นส่วนหนึ่งในการเข้ามาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ พร้อมๆไปกับรัฐบาลสหรัฐฯ หากมีนโยบายที่ดี ก็เชื่อว่าจะเป็นผลดีต่อประเทศสหรัฐฯ' ดร.กอบศักดิ์ กล่าว
* 'ก้องเกียรติ' คาดส่งออกไทยกระทบแน่ หลังชูนโยบายปกป้องธุรกิจในประเทศ
ด้าน ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) (ASP) เปิดเผยว่า หลังจากที่นาย บารัค โอบามา เข้ามาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ เชื่อว่าจะต้องดำเนินนโยบายช่วยเหลือประชาชนที่มีรายได้ต่ำโดยจะนำรายได้ของผู้ที่มีรายได้สูงมาช่วยเหลือ อีกทั้งมีนโยบายปกป้องธุรกิจในประเทศสหรัฐฯ ด้วย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อประเทศที่เป็นคู่ค้ารวมถึงไทยที่จะได้รับผลกระทบทางอ้อม เนื่องจากธุรกิจส่งออกของไทยน่าจะได้รับผลกระทบจากนโยบายดังกล่าว
สำหรับภาคเอกชนไทยจะต้องมีการปรับตัวอย่างรุนแรงเพื่อรองรับถึงผลกระทบดังกล่าว อีกทั้งรัฐบาลจะต้องออกมาตรการสนับสนุนภาคเอกชนอย่างรวดเร็วและสามารถปฎิบัติได้จริง นอกจากนี้หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องจะต้องให้ความร่วมมือในการรองรับถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น
* โบรกฯ เชื่อสัปดาห์หน้าหุ้นไทยปรับฐาน
นางสาวจิตรา อมรธรรม รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ไซรัส กล่าวว่า แนวโน้มในสัปดาห์หน้า (10-14 พ.ย.) คาดว่าตลาดหุ้นไทยจะอยู่ในช่วงปรับฐาน ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับตลาดหุ้นทั่วโลก ที่ขาดข่าวดีใหม่สนับสนุนภายหลังจากปรับขึ้นมาตอบรับข่าวประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นความหวังในการแก้ปัญหาเศรษกิจโลกขณะนี้ไปแล้ว
ส่วนประเด็นที่นายบารัค โอบามา ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ และนายโจ ไบเดนว่าที่รองประธานาธิบดี จะจัดการแถลงข่าวเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ มองว่าเป็นเพียงการแถลงนโยบายต่อสาธารณะอย่างเป็นทางการในตำแหน่งประธานาธิบดี ซึ่งในรายละเอียดคงไม่แตกต่างไปจากนโยบายที่เคยได้หาเสียงไว้ เช่น มีแนวคิดในการปรับลดภาษีชนชั้นกลางถึงระดับล่าง ท่าทีทางการค้าการลงทุนกับต่างประเทศที่อาจเข้มงวดขึ้นเพราะต้องการปกป้องผลประโยชน์ของอเมริกา และสนับสนุนโครงการสาธารณูปโภคในประเทศและผลักดันพลังงานทดแทนในสหรัฐฯตามที่ได้เคยเสนอไว้เพราะถ้าเกิดความแตกต่างคงสร้างความไม่พอใจให้กับประชาชนที่เป็นฐานเสียง
อย่างไรก็ดี คาดว่ายังไม่น่าจะมีการเสนอมาตรการใหม่หรือแผนกอบกู้เศรษฐกิจชุดใหม่ในคืนวันที่ 7 พฤศจิกายนนี้เพราะรัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การนำของบารัค โอบามา ยังไม่ได้เข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ อีกทั้งนโยบายแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ประกาศออกมารวมถึงทีมบริหารงานด้านเศรษฐกิจแม้จะมีแนวคิดที่ดีเพียงใดแต่ยังไม่น่าจะสามารถแก้วิกฤตให้จบสิ้นลงในชั่วข้ามคืนเพราะมูลค่าความเสียหายที่มหาศาลในระบบเศรษฐกิจทั้งอเมริกาอาจต้องใช้เวลานานในการเยียวยากว่าจะกลับเข้าสู่สภาพเดิม
ทั้งนี้ ประเมินว่าตลาดฯ จะปรับขึ้นตอบรับข่าวดีก็ต่อเมื่อรัฐบาลสหรัฐฯ เร่งเดินหน้าแก้ไขวิกฤตในทางปฏิบัติ เช่น ปรับลดภาษี อัดฉีดเม็ดเงินและมีสัญญาณทางที่ดีขึ้นจากภาคอุตสาหกรรมหรือการผลิต เช่นตัวเลขเศรษฐกิจเกี่ยวกับการผลิตหรือจ้างงานฟื้นตัวดีขึ้น
ในส่วนของสัญญาณทางเทคนิคระบุว่าดัชนีฯ หมดรอบรีบาวน์แล้ว กลยุทธ์การลงทุนจึงแนะนำถือเงินสด 100% ทั้งนี้ ประเมินแนวรับดัชนีฯ 420 จุด แนวต้าน 480 จุด
* ถึงเวลาขาลงหุ้นกลุ่มปิโตรฯ
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า คาดการณ์ผลประกอบการในไตรมาส 3/2551 ของผู้ประกอบการกลุ่มปิโตรเคมีน่าจะยังคงทรงตัว เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกัน หรือถ้าผลการดำเนินจะปรับตัวลดลง ก็อาจจะปรับตัวลดลงได้ที่ไม่มากนัก เพราะ Spread ยังลดลงไม่มาก
โดยพบว่าราคาน้ำมันที่เริ่มปรับตัวลดลงแรงนั้น เริ่มปรับลงมาช่วงปลายไตรมาส 3/2551 แต่อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาส 4/2551 ผลการดำเนินงานออาจะออกมาย่ำแย่ เนื่องจาก Spread ลดลง และ Demand ก็เริ่มชะลอตัวจากปัญหาวิกฤตการเงินที่ เป็นผลทางอ้อมทำให้ความต้องการของผู้บริโภคชะลอตัวลดลงอยากหนัก นอกจากนี้ ราคาผลิตภัณฑ์จะปรับลดลงตามต้นทุนที่ปรับลงตามราคาน้ำมันแล้ว Demand ผลิตภัณฑ์ยังอยู่ในภาวะที่ชะลอการซื้อลง เป็นปัจจัยซ้ำเติมที่ทำให้ราคาผลิตภัณฑ์ปรับลงแรง
"ผลประกอบการ ก็คงต้องมาติดตามดูว่าจะออกมาเป็นอย่างไร ซึ่งเชื่อว่านักลงทุนส่วนใหญ่น่าจะพอทราบว่าธุรกิจ ปิโตรเครมีจะเริ่มเข้าสู่ช่วงขาลงในปีหน้า แต่ถ้าหากผลิตออกมาแล้วขายได้ก็ยังโอเค เพราะแม้ว่าราคาน้ำมันจะลดลง แต่ส่วนของ Spread ก็ไม่ได้ปรับตัวลดลงจนถึงขึ้นต้องติดลบ เพราะราคาน้ำมันที่ลดลงนั้น ก็มีข้อดีในแง่ของต้นทุนวัสถุดิบที่ลดลงมาเหมือนกัน ซึ่งตอนนี้เองราคาน้ำมันลดลงมาแรง ทำให้ Spread แคบ แต่ถ้าหากยาว Spread น่าจะไม่แคบ แต่ปีนี้เองคงจะลดลงจากปีก่น เพราะว่าปีกอ่นเป็นช่วงขาขึ้นของราคา" นักวิเคราะห์ กล่าว
ในขณะที่วัฏจักรขาลงของธุรกิจดังกล่าวนับวันยิ่งชัดขึ้น ส่วนปีหน้าต้องเผชิญกับความยากลำบากจากกลังการผลิตภาวะ Oversupply ของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี เนื่องจากความต้องการหดตัวลง ขณะที่กำลังการผลิตใหม่ ที่เพิ่มขึ้นจากประเทศอินเดีย และจีน ก็จะเข้ามาสู่ตลาดค่อนข้างมาก ซึ่งก็เป็ผลมาจากในช่วงปีที่ผ่านมาเป็นช่วงขาขึ้นของธุริจ ทำให้มีการขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น และกำลังการผลิตใหม่ ก็เริ่มเข้ามาในปี 2552 แต่อย่างไรก็ตาม ก็เป็นไปตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์กันไว้แล้ว แต่ที่น่ากังวล คือ ในปี 2552 หากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวอย่างรุนแรง กดดันต่อการอุปโภคบริโภค ก็จะกระทบมายังผลการดำเนินงานของบริษัทในกลุ่มปิโตรเคมี
"ธุรกิจปิโตรเคมีก็เป็นแบบนี้ หากมีดีมานด์เข้ามาก็มีการขยายกำลังการผลิต แต่ถ้าหากจะขายก็ต้องขยายให้มากๆ เพราะกว่าจะเสร็จก็อีกประมาณ 1-2 ปี ที่กำลังการผลิตใหม่จะเข้ามา ซึ่งหากกำลังการผลิตมีมากกว่าความต้องการก็จะทำให้การทำธุรกิจปิโตรเคมีไม่ดี แต่ก็คงไม่มีใครจะบอกได้ว่าช่วงปีไหนจะเป็นช่วงขาขึ้นของธุรกิจปิโตรเคมี แต่ถ้าหากคนที่ลงทุนไปแล้ว คงได้ประโยชน์หากความต้องการกลับมา ซึ่งบริษัทที่จะอยู่ได้ในขณะนี้ ก็น่าจะเป็นบริษัทใหญ่ เพราะบริษัทเล็กๆ คงต้องมี cost ไปเรื่อยๆ" นักวิเคราะห์กล่าว สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในกลุ่มปิโตรเคมี ขณะนี้ให้น้ำหนักการลงทุนน้อยกว่าตลาด
* ข่าวร้าย! เมอร์ริลลินช์ หั่นประมาณการกำไรขั้นต้นค่าการกลั่นปีหน้า 20%
ล่าสุด รายงานข่าวบนเว็บไซท์บลูมเบิร์กดอทคอมระบุว่า เมอร์ริลลินช์แอนด์โค ลดประมาณการกำไรขั้นต้นจากค่าการกลั่นในตลาดสิงคโปร์ปีหน้าลง 20% มาอยู่ที่ 7.20 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังความต้องการในตลาดชะลอ ขณะที่กำลังการผลิตใหม่เพิ่มขึ้น
ขณะเดียวกัน เมอร์ริลลินช์ได้ลดประมาณการกำไรขั้นต้นจากค่าการกลั่นปี 2010 ลง 9% มาอยู่ที่ 7 ดอลลาร์/บาร์เรล พร้อมกับคาดว่า กำไรขั้นต้นจากค่าการกลั่นอาจลดลงเหลือ 4 ดอลลาร์/บาร์เรล หากเศรษฐกิจเอเซียเข้าสู่ภาวะถดถอย
โดยเมอร์ริลลินช์ระบุว่า เศรษฐกิจที่ชะลอตัวในจีน อินเดีย และประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมขนส่งและการใช้หน้ำมันดีเซล เบนซิน และเชื้อเพลิงอากาศยาน
ทั้งนี้ เมอร์ริลลินช์ระบุว่า ความต้องการใช้น้ำมันในภูมิภาคเอเซียปีหน้าจะเพิ่มขึ้น 300,000 บาร์เรล/วัน ขณะที่กำลังการผลิตของโรงกลั่นเพิ่มขึ้น 1.7 ล้านบาร์เรล/วัน
'หากเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยมากกว่าที่คาด กำไรขั้นต้นจากค่าการกลั่นจะมีแนวโน้มอีกเช่นกัน' บทวิเคราะห์ของเมอร์ริลลินช์ระบุ
* บล.ฟินันซ่า แนะระวังแรงขายทำกำไรในหุ้นกลุ่มปิโตรเคมี & โรงกลั่น
ด้านฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ฟินันซ่า ระบุว่า สัปดาห์ที่ผ่านมาราคาหุ้นที่ทำธุรกิจปิโตรเคมี & โรงกลั่นอย่าง TOP/ PTTAR/IRPC ดีดตัวขึ้นเฉลี่ย 20% เพราะก่อนหน้านี้ราคาลงเร็วและแรงมาก จนราคาลงไปทำ Record Low (ต่ำสุดนับแต่เข้าเทรดฯ) และมีส่วนลดถึง 40-50% จาก BV ล่าสุด
ในขณะที่วัฏจักรขาลงของธุรกิจดังกล่าวนับวันยิ่งชัดขึ้น เช่น สัปดาห์ที่แล้วราคาสินค้าปิโตรเคมีทั้งสายโอเลฟินส์ (PTTCH & SCC) และอะโรเมติกส์ (PTTAR) ทำสถิติต่ำสุดในรอบ ~ 7 ปี โดยทรุดต่ออีก 20-40% จากสัปดาห์ก่อน
ส่วนผลประกอบการ 3Q08 ที่กำลังจะประกาศออกมาเร็วๆ นี้ (ไม่เกิน 14 พ.ย.) คาดว่าทั้ง 3 โรงกลั่นจะออกมาขาดทุนถ้วนหน้าและบักโกรกจาก Inventory Loss (หลังราคาน้ำมันลงแรง) และมีแนวโน้มจะขาดทุนต่อเนื่องไปใน 4Q08 ส่วนปีหน้าต้องเผชิญกับความยากลำบากจากภาวะOversupply ของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี & โรงกลั่นหลังความต้องการหดแต่จะมีกำลังการผลิตใหม่ๆ จากอินเดีย & ตะวันออกกลางเพิ่มเข้ามา
กลยุทธ์ยังให้ หลีกเลี่ยง
* บล.ธนชาต แนะขาย PTTCH ให้ราคาเป้าหมายใหม่ 32.70 บาท
ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ธนชาต ออกบทวิเคราะห์ แนะนำขาย บมจ. ปตท.เคมิคอล (PTTCH) โดยระบุว่า PTTCH กลายเป็นผู้ผลิตที่มีต้นทุนที่สูง จากผู้ผลิตที่มีต้นทุนต่ำ เนื่องจากการลดลงอย่างมากของราคาน้ำมัน โดย Spreads ลดลงอย่างมาก และกำไรจากโรงผลิตใหม่น่าจะอยู่ในระดับต่ำมาก ยังคงมีมูลค่าที่แพง สำหรับการเป็น cyclical company ในช่วงขาลงของอุตสาหกรรม โดยซื้อขายที่ระดับ P/E ที่ 7.3 เท่าในปี 2009E
ทั้งนี้ บล.ธนชาต ระบุว่า เนื่องจากราคาน้ำมันที่ลดลงอย่างมาก เราจึงทำการปรับลดประมาณการกำไรปี 2008-2011 ของเราลงราว 11-32% สำหรับช่วง 3Q08 เราคาดว่าบริษัทฯ น่าจะรายงานกำไรสุทธิจำนวน 4.9 พันลบ. ลดลง 3% y-y เนื่องจากการลดลงของยอดขาย จากการปิดโรงผลิตเพื่อทำการซ่อมบำรุง การเพิ่มขึ้นของต้นทุนก๊าซ จากการเปลี่ยนสูตร netback formula กับ PTT และการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ สำหรับแนวโน้มช่วง 4Q08 น่าออกมาเลวร้ายกว่า เนื่องจาก Spread ปรับตัวลงไปอีก Valuation ในระดับต่ำเป็นสิ่งที่เหมาะสม
พร้อมกันนี้ ยังคงแนะนำ ขาย โดยมีราคาเป้าหมายใหม่ที่ 32.70 บาท/หุ้น (จาก 49.70 บาท/หุ้น) ถึงแม้ว่า PTTCH จะทำการซื้อขายที่ระดับ P/BV ที่ต่ำ (0.6 เท่าในปี 2009) และต่ำกว่าคู่แข่งในภูมิภาค เนื่องจากมีแรงขายออกมาจำนวนมาก (ลดลง 75% YTD) แต่การลดลงของแนวโน้มกำไร และการสูญเสียความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ผลิตปิโตรเคมีที่ใช้นาฟทาเป็นวัตถุดิบในช่วง 6 เดือนข้างหน้า ยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ valuation อยู่ในระดับต่ำ ภายใต้การประเมินโดยวิธี P/E PTTCH ยังคงแพง สำหรับการเป็น cyclical company ในช่วงขาลงของอุตสาหกรรม โดยซื้อขายที่ระดับ P/E 7.3 เท่าฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง แม้มีการลงทุน
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าความไม่แน่นอนในแนวโน้มอุตสาหกรรมปิโตรเคมี แต่ PTTCH จะดำเนินการลงทุนตามแผนที่วางไว้ โครงการต่างๆอยู่ในขั้นการก่อสร้างระยะกลาง และโครงการส่วนใหญ่มีแหล่งเงินกู้แล้ว หากโครงการเหล่านี้เสร็จสิ้น เราเชื่อว่า PTTCH น่าจะมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง (36% net gearing และ net debt/EBITDA ที่ 2.4 เท่า)
* บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส มอง PTTAR แนะนำ 'Fully Valued' ราคาพื้นฐาน 10 บาท
ขณะที่ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส ออกบทวิเคราะห์ ประเมินสถานการณ์ บมจ.ปตท.อะโรเมติกส์ (PTTAR) โดยระบุว่า คาดการณ์ว่าผลประกอบการ 3Q51 ของ PTTAR ยังไม่สดใส คาดการณ์ว่าจะขาดทุนสุทธิ 4.49 พันล้านบาท เทียบกับกำไรสุทธิ 4 พันล้านบาทใน 3Q50 และกำไรสุทธิ 4.1 พันล้านบาทใน 2Q51
สำหรับแนวโน้ม 4Q51 ยังไม่สดใส เนื่องจากมีปัจจัยลบหลายประการ ซึ่งปริมาณการผลิตอะโรเมติกส์ที่เพิ่มไม่สามารถชดเชยได้ โดยคาดว่าจะมีผลขาดทุนในสินค้าคงคลังของโรงกลั่นต่อเนื่อง, การใช้กำลังการผลิตโรงกลั่นลดลงเพราะ SPRC ปิดซ่อมบำรุงตามแผน และ Spread ของธุรกิจอะโรเมติกส์ลดลง เราปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 51 และปี 52 ลง 91% และ 39% ตามลำดับ สะท้อนผลขาดทุนในสินค้าคงคลังและ Spread ของอะโรเมติกส์ที่ต่ำกว่าคาดการณ์เดิม ยังผลให้กำไรสุทธิปี 51 จะลดลง 96%YoY เป็น 742 ล้านบาท แต่จะฟื้นตัว 701% เป็น 5.9 พันล้านบาทในปี 52 (แต่ถือว่าอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับภาวะปกติ) ปรับลดราคาเป้าหมายเป็น 10 บาท อิงกับ PE ปี 52 เท่ากับ 5 เท่า (เดิม 17.7 บาท)
ส่วนราคาหุ้น PTTAR ลดลงมาแล้ว 79%YTD มากกว่ากลุ่มและมากกว่า SET แต่แนวโน้มธุรกิจไม่สดใส และคาดว่าจะจ่ายปันผลสำหรับปี 51 ต่ำลงเหลือเพียง 0.11 บาท หรือคิดเป็น Dividend Yield 1.1% (ให้ Payout ratio 44%) ก่อนจะฟื้นตัวเป็น 10% ในปี 52 ดังนั้นในช่วงนี้จึงปรับลดคำแนะนำจากซื้อเป็น Fully Valued
http://www.efinancethai.com/index.aspx