หน้า 1 จากทั้งหมด 1

ขาดทุนเท่ากันความรู้สึกขาดทุนไม่เหมือนกัน

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ต.ค. 10, 2008 5:29 pm
โดย Jeng
ยกตัวอย่าง นาย ก หุ้นราคา 100 แล้วราคาลงมา 50 ก็ขาดทุน 50 %

ต่อมานาย ข ซื้อหุ้นที่ราคา 50 แล้วคิดว่าถูกแล้ว แต่ราคาลงต่อมาที่ 45

นาย ก ก็จะขาดทุน 55 % คือขาดทุนเพิ่มอีก 5 %

แต่นาย ข เพิ่งซื้อ ขาดทุน 10 %

ในขณะที่ นาย ก ถือหุ้นแล้วราคาลดลงมา 50 % เจ็บจนชินแล้ว

ถ้าราคาลงมาทำให้ลบ 55 % คงไม่รู้สึกอะไรมาก แต่ก็รู้สีกนะ แต่เดาว่าไม่มาก เพราะโดนไปแล้ว 50 %

ส่วนนาย ข นี่ซิ ซื้อปั๊บ ราคาลง โดนเลย 10 %

ทั้งๆที่ ถ้าราคาหุ้นลงมา 5 บาท ทั้งนาย ก และ นาย ข ขาดทุนทางบัญชีเท่ากัน

ขาดทุนเท่ากันความรู้สึกขาดทุนไม่เหมือนกัน

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ต.ค. 10, 2008 5:30 pm
โดย beammy
รับทราบครับเฮีย  :8)  ...

ขาดทุนเท่ากันความรู้สึกขาดทุนไม่เหมือนกัน

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ต.ค. 10, 2008 5:35 pm
โดย น้ำครึ่งแก้ว
:lol:  :lol:  :lol:

นาย ก   เค้าทำใจได้แล้วมั้งครับ คือ ตัดใจแล้วว่าไม่ขายไม่ขาดทุน
ส่วน นาย ข  เค้าคิดว่า ลงมาขนาดนี้ยังลงต่ออีกเหรอเนี้ย...เลยทำใจไม่ได้
ทั้งที่ ความสูญเสียเท่าๆกันนาย ก  แต่ความรู้สึก fail มีเยอะกว่ามาก

ขอบคุณครับ

ขาดทุนเท่ากันความรู้สึกขาดทุนไม่เหมือนกัน

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ต.ค. 10, 2008 6:22 pm
โดย chatchai
ซื้อหุ้นที่ 100 บาท  ราคาตกลงเหลือแค่ 50 บาท

คนที่ซื้อที่ 100 บาท  พอราคาตก  ต้องรอให้ราคาขึ้นเท่าตัว  จึงจะเสมอตัว

แต่สำหรับคนที่ซื้อที่ 50 บาท  คนแรกเสมอตัว  คนที่สองก็กำไรเท่าตัวแล้วนะ

ขาดทุนเท่ากันความรู้สึกขาดทุนไม่เหมือนกัน

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ต.ค. 10, 2008 6:36 pm
โดย Jeng
[quote="chatchai"]ซื้อหุ้นที่ 100 บาท

ขาดทุนเท่ากันความรู้สึกขาดทุนไม่เหมือนกัน

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ต.ค. 10, 2008 9:29 pm
โดย atsu
เลยเป็นที่มาของราคาหุ้นที่รู้สึกว่า(โคตรจะ)ถูกมากแล้ว ทำไมยังมีคนขาย(อีกวะ)เนี่ย ใช่มั๊ยครับ

เพราะคนที่รับซื้อมาก่อนหน้านี้ เป็นคนขายตัดขาดทุนนั่นเอง
ด้วยความกลัวที่เข้าครอบงำ

ยิ่งทำกันไปเรื่อยๆ ราคามันก็จะยิ่งแพนิคลงครับ

เพราะช่วยกันขายคัทลอสแล้วลงไปรับต่ำกว่า แล้วก็คัทอีก ไปรับต่ำกว่าอีกแล้วก็คัทอีก
เป็นวงจรไปเรื่อยๆ  ร่วมด้วยช่วยกันทุบ :lol:

ในวงจรขาขึ้นก็เหมือนกัน เพียงแต่กลับด้าน
กลายเป็นร่วมด้วยช่วยกันปั่น  :lol:

ขาดทุนเท่ากันความรู้สึกขาดทุนไม่เหมือนกัน

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ต.ค. 10, 2008 9:41 pm
โดย phobenius
เรียกว่า กราฟความพึ่งพอใจอยู่ในรูปS curve หรือปล่าว


คนแรกน่าจะอยู่แถวๆห่างตัว S แล้ว

ส่วนคนที่สองเหมือนกำลังจะดิ่งลงอยู่ ดังนั้นความเร่งของคนที่สองจะเยอะกว่านั้นหมายความว่า การลดลงความมั่งคั่งที่เท่ากัน (A=B)แต่จะสูญเสียความพึงพอใจไปเยอะ(C) กว่ามีโอกาสที่จะตัดขาดทุนสูง

ส่วนคนแรกจะเสียความพึงพอใจไปแค่ (D)
รูปภาพ[/img]

ขาดทุนเท่ากันความรู้สึกขาดทุนไม่เหมือนกัน

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ต.ค. 10, 2008 9:53 pm
โดย oilpaint
:cry: ฮือ ฮือ
:cry:  ชิก ชิก ๆ

ซื้อ 100 ลงมา 50% ก้อเจ็บ ชาชิน
(PTT PTTEP)
ซื้อ หกบาทกว่า ลงอีก 7% ก้ออออออเจ็บบ (
SE-Ed) เจ็บจัยยิ่งกว่า ไมไม่รอ รู้นิน่าว่าวิกฤตทั่วโลก

จะ Cut  loss พึ่งลงมา 7% นะ อืม ม่ายกล้าซะงั้น


:cry:  ชิก ชิก ๆ

ขาดทุนเท่ากันความรู้สึกขาดทุนไม่เหมือนกัน

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ต.ค. 10, 2008 10:30 pm
โดย สวนหย่อม
55 วันนี้ผมก็เพิ่งพูดเรื่องนี้กับเพื่อนไปพอดีเลย
เรามันเจ็บจนชินชาเสียแล้ว

ขาดทุนเท่ากันความรู้สึกขาดทุนไม่เหมือนกัน

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ต.ค. 10, 2008 10:45 pm
โดย ส.สลึง
ที่ตัวเรารู้สึกเจ็บ...
เพราะตัวเราไขว้เขวไปจากหลักการ และไปยึดติดกับภาพมายาตอนนี้ว่า...
ราคาตลาดเป็นมูลค่าหุ้น..? :drink:  :vm:
ต้องคอยเตือนสติตัวเองครับว่า เราซื้อหุ้นตัวนี้มาทำไม หว่า..? :roll:

ขาดทุนเท่ากันความรู้สึกขาดทุนไม่เหมือนกัน

โพสต์แล้ว: เสาร์ ต.ค. 11, 2008 8:45 am
โดย Jeng
เรื่องตัวเลขนี่แปลกจริงๆถ้าขยายความอีกนิด

อย่างคนที่ซื้อ 100 แล้วลงมาเหลือ 20 บาท นี่ขาดทุน 80 %

ถ้าลงต่อเหลือ 10 บาท จะขาดทุนเพิ่มอีก 10 %

ในขณะที่คนที่ซื้อ 20 แล้วลงเหลือ 10 บาท จะขาดทุน 50 %

กรณีตลาดหุ้นราคาลดแล้วลดอีก

ผมคิดว่า หุ้นบางตัว บางราคา ราคาถูกน่าซื้อแล้ว แต่เมื่อเราซื้อแล้ว ราคาลงอีก

โอกาสที่เรา cut loss จะสูงมาก ในกรณี ที่ราคาหุ้นตัวนั้นๆ ราคาต่ำมากๆ


ลองมาดูราคาจริง เช่น snc 18 บาท ตอนนี้ 4 บาท หลายคนคิดว่าถูกก็ซื้อแล้ว

สมมุติเล่นๆว่า ราคาลงไป 3 บาท คนซื้อ 4 บาท นี่ขาดทุน 25 % เยอะมากครับ

เพราะฉะนั้นผมคิดว่า ถ้าจะซื้อตลาดขาลง ซื้อแล้ว ก็ต้องดูให้ดี แล้วก็ถือไปให้สถานการณ์เปลี่ยนไป

หากจะซื้อ แล้วคิดว่าถ้าลงก็ cut loss ผมว่าอย่าซื้อดีกว่าครับ

กรณี vi นะ

ขาดทุนเท่ากันความรู้สึกขาดทุนไม่เหมือนกัน

โพสต์แล้ว: เสาร์ ต.ค. 11, 2008 10:03 am
โดย สวนหย่อม
เห็นด้วยกับพี่เจ๋งเต็มที่เลยครับ  ราคาถูกแล้วยังมีถูกอีกได้เรื่อยๆ
ในนรกยังมีนรกสำหรับนักเก็งกำไร
(อันนี้ผมเอาไว้เตือนตัวเองครับ อาทิตย์นี้ มือบอนใช้ิเงินสดไปเพิ่ม
อีก 10% เพื่อซื้อบ้านบนดอย คนบนดอยสูงเข้าใจผิดคิดว่ายอดดอยข้างล่าง
เป็นที่ราบ  เฮ้อ.. :oops:)

คนมักพูดว่าในวิกฤตมีโอกาส แต่ในวิกฤตก็มีวิกฤตด้วยเช่นกัน
โอกาสเป็นของผู้ที่เตรียมตัวมาอย่างดีเท่านั้นครับ

ส่วนตัวผม คราวนี้เลยตั้งใจว่าจะใช้เงินสดที่เหลืออยู่อย่างคุ้มค่าที่สุด
ขอบคุณพี่เจ๋งมากครับ

ขาดทุนเท่ากันความรู้สึกขาดทุนไม่เหมือนกัน

โพสต์แล้ว: เสาร์ ต.ค. 11, 2008 10:29 am
โดย noooon010
เรื่อง อัตราทดของการขาดทุนมีเขียนใน finding the next starbucks ของ michael moor เหมือนกันครับ

ถ้าขาดทุน 90 % คุณต้องทำให้ได้ 900% ถึงจะชดเชยกับเงินที่เสียไปได้ครับ

ขาดทุนเท่ากันความรู้สึกขาดทุนไม่เหมือนกัน

โพสต์แล้ว: เสาร์ ต.ค. 11, 2008 10:58 am
โดย 007-s
หากจะซื้อ แล้วคิดว่าถ้าลงก็ cut loss ผมว่าอย่าซื้อดีกว่าครับ

กรณี vi นะ
ใช่เฮีย กรณี ซื้อแล้วคัท ซื้อแล้วคัท จึงเกิดทฤษฏี DSM ขึ้นค่ะ (ท่านเด่นศรีแห่งสินธรเป็นผู้คิดค้น)

กรณี vi  คือ ซื้อแล้วถือ คัทเมื่อเห็นว่าไม่ใช่ (แต่จะอิงจากพื้นฐานที่เปลี่ยนไปประการใดต่อบริษัท)

หรือ vs ก็ไม่ใช้ทฤษฏี ซื้อแล้วคัท เป็นหลักการใหญ่(ไม่มี vs คนไหนลงมือซื้อมาเพื่อหวังจะคัทลอสวันถัดไป..อย่างนั้นต้องเรียก S ตัวเดียว ไม่มี V นำหน้า) น่าจะใช้ทฤษฏี มีดปักเขียง หรืออีกทฤษฏี คือ หนูตัวที่สอง

ส่วน vsop อันนี้ไม่แน่ใจ คงต้องศึกษาจากเฮียคลายเครียด :wink:

มาว่าถึง vi กะ vs จะดีกว่า...มันมีส่วนที่เหมือน และส่วนที่ต่าง
สองคนนี้จริงๆเหมือนลูกพี่ลูกน้องกันนั่นเอง
vs ตามความเข้าใจดิฉัน มันคือการพัฒนามาจากฐานของ สายเลือด vi (เพราะมันมี V อยู่ในกาย) แต่การปรับสปีชี่เอา S เข้ามาผสมผสาน ทำให้มีการให้น้ำหนักในมุมมองของ "จังหวะ"

คำว่าจังหวะนี่เอง ก็แล้วแต่ ว่า vs ท่านใด เลือกที่จะใช้ มีดปักเขียง หรือ หนูตัวที่สอง

vi ต้องทำการบ้านหนักกว่า ในแง่ของการคัดกรองหุ้น ทั้งในแง่ คุณภาพ และปริมาณ

vs ต้องทำการบ้านไม่แพ้กัน ในแง่ของ ปริมาณ และคุณภาพ แต่กลุ่มนี้จะรู้ตัวว่าไม่ช่ำชองมากเท่ากะ พี่ vi ดั้งเดิม จึงจำเป็นต้องติดอาวุธเสริม คือ "จังหวะ" เข้าไปอีกหนึ่งออปชั่น



อะไรประมาณนี้อ่าค่ะ

:D

ขาดทุนเท่ากันความรู้สึกขาดทุนไม่เหมือนกัน

โพสต์แล้ว: เสาร์ ต.ค. 11, 2008 11:07 am
โดย pavilion
Jeng เขียน:เพราะฉะนั้นผมคิดว่า ถ้าจะซื้อตลาดขาลง ซื้อแล้ว ก็ต้องดูให้ดี แล้วก็ถือไปให้สถานการณ์เปลี่ยนไป

หากจะซื้อ แล้วคิดว่าถ้าลงก็ cut loss ผมว่าอย่าซื้อดีกว่าครับ

กรณี vi นะ
ผมซื้อครั้งนี้ก็กะถือยาวเหมียนกันครับ ปันผล OK หลายๆ ตัว

ขาดทุนเท่ากันความรู้สึกขาดทุนไม่เหมือนกัน

โพสต์แล้ว: เสาร์ ต.ค. 11, 2008 12:25 pm
โดย ส.สลึง
เมื่อวาน :
ผมซื้อเงิน 1 ดอลล่าด้วยเงิน 50 เซนท์
แล้วก็เอาเงิน 1 ดอลล่าที่ซื้อมายัดใส่กระเป๋า :D

วันนี้ :
มีคน 1 ล้านคนตะโกนเป็นเสียงเดียวกันว่า...
เงิน 1 ดอลล่า ในกระเป๋าของผมที่เพิ่งยัดไว้เมื่อวานน่ะ :x
มันมีค่าเหลือเพียง 20 เซนต์ !!

คำถาม :
ถามว่า... วันพรุ่งนี้ ผมควรจะอะไรเป็นอย่างแรก..? :wink:

ก. ตื่นนอน ล้างหน้า แปรงฟัน ออกกำลังกาย บ้วนปาก

หรือว่า

ข. ตื่นนอน ล้างหน้า แปรงฟัน บ้วนปาก แล้วค่อยออกกำลังกาย  :lol:

ปล.
ส่วนเรื่องขาดทุนไปเท่าไหร่แล้วต้องทำกำไรอีกกี่เท่าเพื่อให้พอร์ตกลับมามีขนาดเท่าเดิม..?
สำหรับ VI พันธุ์แท้ ผมว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญ และหลายครั้งพอร์ตก็กลับมาเท่าเดิมได้
โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย...

ขาดทุนเท่ากันความรู้สึกขาดทุนไม่เหมือนกัน

โพสต์แล้ว: เสาร์ ต.ค. 11, 2008 12:32 pm
โดย ส.สลึง
Jeng เขียน:...หากจะซื้อ แล้วคิดว่าถ้าลงก็ cut loss ผมว่าอย่าซื้อดีกว่าครับ
:cool:  :cool:  :cool:  :cool:  และ :doi: ครับพี่ Jeng...

ปล. ชีวิตก็แบบนี้ครับ หนาวบ้าง ร้อนบ้าง แต่ถ้าหนาวมากๆ แนะนำว่าควรหาคนกอด
(สำหรับคนที่แต่งงานแล้ว ควรเป็นคนเดิม และคนเดียวกันกับเมื่อวานด้วยครับ :lol: )

ขาดทุนเท่ากันความรู้สึกขาดทุนไม่เหมือนกัน

โพสต์แล้ว: เสาร์ ต.ค. 11, 2008 2:22 pm
โดย nathapon_m
[quote="ส.สลึง"]เมื่อวาน :
ผมซื้อเงิน 1 ดอลล่าด้วยเงิน 50 เซนท์
แล้วก็เอาเงิน 1 ดอลล่าที่ซื้อมายัดใส่กระเป๋า :D

วันนี้ :
มีคน 1 ล้านคนตะโกนเป็นเสียงเดียวกันว่า...
เงิน 1 ดอลล่า ในกระเป๋าของผมที่เพิ่งยัดไว้เมื่อวานน่ะ :x
มันมีค่าเหลือเพียง 20 เซนต์ !!

คำถาม :
ถามว่า... วันพรุ่งนี้ ผมควรจะอะไรเป็นอย่างแรก..? :wink:

ก. ตื่นนอน ล้างหน้า แปรงฟัน ออกกำลังกาย บ้วนปาก

หรือว่า

ข. ตื่นนอน ล้างหน้า แปรงฟัน บ้วนปาก แล้วค่อยออกกำลังกาย

ขาดทุนเท่ากันความรู้สึกขาดทุนไม่เหมือนกัน

โพสต์แล้ว: เสาร์ ต.ค. 11, 2008 2:32 pm
โดย สวนหย่อม
ผมขอเสริมแนวคิดพี่ ส.สลึงนะครับ (ซึ่งจริงๆ ก็เหมือนกับที่ดร.นิเวศน์พูดใน
investor day ในอาทิตย์ืที่แล้ว)

ความยากมันอยู่ที่ว่า เิงิน 1 ดอลล่าห์ที่เราซื้อมา (ถ้ามองไม่ละเอียด)
จริงๆ มันอาจเป็นเหรียญสิบบาท เหรียญห้าบาท เหรียญสองบาท เหรียญบาท เหรียญ 50 สตางค์  หรือเหรียญสลึง ก็เป็นได้ ซึ่ง ไมว่าเหรียญไหนมันก็มีมูลต่าต่ำกว่า 50 เซนต์ (> 15 บาท) ที่เราซื้อมาอยู่ดี

และสุดท้ายมันก็จะลู่เข้าสู่มูลค่าที่แท้จริงของมัน

ฉะนั้นก่อนซื้อเราดูให้ดีหรือยังว่า เหรียญที่เราซื้อมาน่ะมันเป็นเหรียญ 1 ดอลล่าห์จริงหรือไม่ หรือเป็นเหรียญห้าสิบตังค์ ที่มีคนมาหลอกขายเรา

ขาดทุนเท่ากันความรู้สึกขาดทุนไม่เหมือนกัน

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ต.ค. 12, 2008 9:17 am
โดย ส.สลึง
nathapon_m เขียน:แล้วพี่ ส.สลึงจะรอขายในวันที่ 1 ดอลล่าห์มีค่าเท่าไหร่ครับ...
ความจริงคือผมซื้อหุ้นตัวไหนแล้ว ผมแทบไม่อยากขายเลยครับ ยกเว้น...
พื้นฐานบริษัทเปลี่ยน, ความคิดหรือแนวคิดที่มีต่อบริษัทเปลี่ยนไป, มีกิจการอื่นน่าสนใจกว่า (เหมือน อ.ฟิชเชอร์เด๊ะ) และสุดท้าย...
คือเมื่อต้องการใช้เงิน (อันนี้เหมือน อ.นิเวศน์ :lol: ครับ)
และก็มีความจริงอีกอย่าง คือวันที่หุ้นมีราคา 1 ดอลล่าอาจไม่มีวันที่จะมาถึงเลยก็ได้
สาเหตุเพราะผมไม่ใช่คนให้ราคา แต่เป็นนายตลาด จึงเป็น Factor ที่ Uncontrol สำหรับนักลงทุนธรรมดาๆ คนนึง

แต่ก็อย่าลืมนะครับ
ว่าผมซื้อมันมาในราคา 50 เซนต์ (มี MOS :D ตามตำราเด๊ะ)

กล่าวโดยสรุป
ที่ผมกล่าวมาทั้งหมด ไม่มีเรื่องไหนใหม่เลย :lol: ...

Re: ขาดทุนเท่ากันความรู้สึกขาดทุนไม่เหมือนกัน

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ต.ค. 12, 2008 3:58 pm
โดย MindTrick
Jeng เขียน:ยกตัวอย่าง นาย ก หุ้นราคา 100 แล้วราคาลงมา 50 ก็ขาดทุน 50 %

ต่อมานาย ข ซื้อหุ้นที่ราคา 50 แล้วคิดว่าถูกแล้ว แต่ราคาลงต่อมาที่ 45

นาย ก ก็จะขาดทุน 55 % คือขาดทุนเพิ่มอีก 5 %

แต่นาย ข เพิ่งซื้อ ขาดทุน 10 %

ในขณะที่ นาย ก ถือหุ้นแล้วราคาลดลงมา 50 % เจ็บจนชินแล้ว

ถ้าราคาลงมาทำให้ลบ 55 % คงไม่รู้สึกอะไรมาก แต่ก็รู้สีกนะ แต่เดาว่าไม่มาก เพราะโดนไปแล้ว 50 %

ส่วนนาย ข นี่ซิ ซื้อปั๊บ ราคาลง โดนเลย 10 %

ทั้งๆที่ ถ้าราคาหุ้นลงมา 5 บาท ทั้งนาย ก และ นาย ข ขาดทุนทางบัญชีเท่ากัน
เป็นเรื่องของจิตวิทยาครับ

ถ้าหุ้นตกเร็ว จะรู้สึกเจ็บกว่าหุ้นค่อยๆตกลงมายาวนานแล้ว

ผู้สนใจหาอ่านได้ที่มารวย เล่มเล็กๆปกเหลืองๆ  :wink: