หน้า 1 จากทั้งหมด 1

ที่อื่นๆลดอัตราดอกเบี้ยกันหมดทำไมพี่ไทยไม่เห็นจะลดบ้างเลย

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ต.ค. 09, 2008 11:19 am
โดย burengnong
เพื่อนๆคิดว่าผู้ว่าการแบงค์ชาติคิดยังไงกันแน่

ที่อื่นๆลดอัตราดอกเบี้ยกันหมดทำไมพี่ไทยไม่เห็นจะลดบ้างเลย

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ต.ค. 09, 2008 12:55 pm
โดย anakinnet
ตอนน้ำมันแพงก็อ้างว่าห่วงเงินเฟ้อ
ตอนนี้น้ำมันลงแล้ว รอดูว่าจะอ้างอะไรอีก

ถ้าดอกเบี้ยขึ้นคนทำธุรกิจก็ลำบากมากขึ้น ต้นทุนทางการเงินก็มากขึ้น ยังไงก็ส่งผลให้ประชาชนต้องจ่ายแพงขึ้นอยู่ดี เพราะว่าทุกอย่างที่เป็นต้นทุนสุดท้ายก็ต้องถูกผลักไปให้ลูกค้ารับผิดชอบ

คงต้องรอให้ล้มกันเยอะๆก่อนมั้งถึงจะลดดอก

ที่อื่นๆลดอัตราดอกเบี้ยกันหมดทำไมพี่ไทยไม่เห็นจะลดบ้างเลย

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ต.ค. 09, 2008 1:09 pm
โดย Linzhi
เห็นล่าสุดระวังเรื่องค่าเงินบาทครับ  :lol:

ที่อื่นๆลดอัตราดอกเบี้ยกันหมดทำไมพี่ไทยไม่เห็นจะลดบ้างเลย

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ต.ค. 09, 2008 1:12 pm
โดย Akajon
เพิ่งประชุมไปเมื่อวานครับ

รายงานการประชุม
http://www.bot.or.th/Thai/MonetaryPolic ... 081051.pdf

ที่อื่นๆลดอัตราดอกเบี้ยกันหมดทำไมพี่ไทยไม่เห็นจะลดบ้างเลย

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ต.ค. 10, 2008 1:00 am
โดย teamb
จริงๆผมคิดว่าเค้าคงมีเหตุผลของเค้าแหละครับ แต่ละคนในนั้นก็ระดับต้นๆของประเทศทั้งนั้น ไม่ใช่ความคิดของผู้ว่าคนเดียวหรอกครับ สรุปคือผมคิดว่าเค้าเก่งกว่าตัวผมแน่นอนและเค้ามีความเก่งเฉพาะทางอีก + กับแบงก์ชาติมักจะมองการณ์ไกลและระยะยาวมากกว่าจะกระตุ้นในระยะสั้น

ส่วนอันนี้เป็นความเห็นส่วนตัว

หวนมาถึงตอนนี้ผมคิดว่าหากไม่มีมาตรการกันสำรอง 30% เมื่อตอนนู้น ตอนนี้อาจจะเลือดสาดกันมากกว่านี้เยอะครับ และมาถึงตอนนี้ถึงแบงก์ชาติจะทำตัวสวนทางโลกไปหน่อยแต่ผมก็เห็นว่าอาจจะเป็นการดีต่อตลาดหุ้นไทยมากกว่าการลดดอกเบี้ยแล้วฝรั่งถล่มขายอีกรอบครับ เนื่องด้วยเค้ายังมีเงินที่เข้ามาก่อนปี 50 ที่ยังไม่ได้เอาออกอีก แสนกว่าล้าน หากเอาก้อนนี้อออกไปอีกไม่รู้รายย่อยจะเลือดสาดอีกมากน้อยแค่ไหน ซึ่งผมคิดว่าอาจจะเป็นผลดีในระยะยาวมากกว่าสำหรับการคงอัตราดอกเบี้ยไว้เท่าเดิม

ที่อื่นๆลดอัตราดอกเบี้ยกันหมดทำไมพี่ไทยไม่เห็นจะลดบ้างเลย

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ต.ค. 10, 2008 7:38 am
โดย Sumotin
teamb เขียน:จริงๆผมคิดว่าเค้าคงมีเหตุผลของเค้าแหละครับ แต่ละคนในนั้นก็ระดับต้นๆของประเทศทั้งนั้น ไม่ใช่ความคิดของผู้ว่าคนเดียวหรอกครับ สรุปคือผมคิดว่าเค้าเก่งกว่าตัวผมแน่นอนและเค้ามีความเก่งเฉพาะทางอีก + กับแบงก์ชาติมักจะมองการณ์ไกลและระยะยาวมากกว่าจะกระตุ้นในระยะสั้น

ส่วนอันนี้เป็นความเห็นส่วนตัว

หวนมาถึงตอนนี้ผมคิดว่าหากไม่มีมาตรการกันสำรอง 30% เมื่อตอนนู้น ตอนนี้อาจจะเลือดสาดกันมากกว่านี้เยอะครับ และมาถึงตอนนี้ถึงแบงก์ชาติจะทำตัวสวนทางโลกไปหน่อยแต่ผมก็เห็นว่าอาจจะเป็นการดีต่อตลาดหุ้นไทยมากกว่าการลดดอกเบี้ยแล้วฝรั่งถล่มขายอีกรอบครับ เนื่องด้วยเค้ายังมีเงินที่เข้ามาก่อนปี 50 ที่ยังไม่ได้เอาออกอีก แสนกว่าล้าน หากเอาก้อนนี้อออกไปอีกไม่รู้รายย่อยจะเลือดสาดอีกมากน้อยแค่ไหน ซึ่งผมคิดว่าอาจจะเป็นผลดีในระยะยาวมากกว่าสำหรับการคงอัตราดอกเบี้ยไว้เท่าเดิม
จริงๆ แบงค์ชาติควรดูแลสภาพ ศก.นะครับไม่ใช่ตลาดทุน เพราะ ถ้าลดดอกเบี้ย บริษัทต่างๆ cost ทางการเงินก็ต่ำลง ส่งออกก็ได้มากขึ้นจากค่าเงินที่อ่อนลง การไม่ลดดอกเบี้ยจะทำให้ เงิน flow in แต่จะเข้าตลาดตราสารหนี้แทนเพราะ yield ของเราจะมากกว่าชาวบ้านเค้า นะครับ แต่ถ้าเงินไม่ flow in ก็คงเป้นเพราะปัจจัยในประเทศมากกว่า

ลองคิดดูสิครับ ปัจจัยในประเทศก็ไม่ดีตอนนี้ ทุนกู้ยืมก็ไม่ได้ลดลง ผู้ประกอบการคงลำบากกันพอสมควรเลย

ที่อื่นๆลดอัตราดอกเบี้ยกันหมดทำไมพี่ไทยไม่เห็นจะลดบ้างเลย

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ต.ค. 10, 2008 7:44 am
โดย ปรัชญา
ไตรมาส4  น่าจะมีการลด  ไม่เกิน2เดือนมังครับ(คาดการเอานะ)

ที่อื่นๆลดอัตราดอกเบี้ยกันหมดทำไมพี่ไทยไม่เห็นจะลดบ้างเลย

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ต.ค. 10, 2008 9:12 am
โดย MO101
หน้าที่ของแบงค์ชาติคือดูแลเงิน
เงินก็ต้องดู
--อัตราแลกเปลี่ยน
--เงินเฟ้อ
--ปริมาณเงินในประเทศ

ส่วนศก เป็นอย่างไร ใครเป็นรัฐบาลอยู่นอกเหนือหน้าที่ครับ
ซึ่งก็มักจะมีความขัดแย้ง
กล่าวคือ รบ. ต้องการให้ลดดอกเบี้ย จ่ายเงินเข้าระบบมากๆ กระตุ้นศก.
แตแบงค์ชาติ ต้องการอัตราแลกเปลี่ยนที่นิ่งๆ เงินไม่เฟ้อ แล้วก็เงินในประเทศไม่มากไม่น้อย

ที่อื่นๆลดอัตราดอกเบี้ยกันหมดทำไมพี่ไทยไม่เห็นจะลดบ้างเลย

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ต.ค. 10, 2008 9:20 am
โดย newbie_12
teamb เขียน:จริงๆผมคิดว่าเค้าคงมีเหตุผลของเค้าแหละครับ แต่ละคนในนั้นก็ระดับต้นๆของประเทศทั้งนั้น ไม่ใช่ความคิดของผู้ว่าคนเดียวหรอกครับ สรุปคือผมคิดว่าเค้าเก่งกว่าตัวผมแน่นอนและเค้ามีความเก่งเฉพาะทางอีก + กับแบงก์ชาติมักจะมองการณ์ไกลและระยะยาวมากกว่าจะกระตุ้นในระยะสั้น

ส่วนอันนี้เป็นความเห็นส่วนตัว

หวนมาถึงตอนนี้ผมคิดว่าหากไม่มีมาตรการกันสำรอง 30% เมื่อตอนนู้น ตอนนี้อาจจะเลือดสาดกันมากกว่านี้เยอะครับ และมาถึงตอนนี้ถึงแบงก์ชาติจะทำตัวสวนทางโลกไปหน่อยแต่ผมก็เห็นว่าอาจจะเป็นการดีต่อตลาดหุ้นไทยมากกว่าการลดดอกเบี้ยแล้วฝรั่งถล่มขายอีกรอบครับ เนื่องด้วยเค้ายังมีเงินที่เข้ามาก่อนปี 50 ที่ยังไม่ได้เอาออกอีก แสนกว่าล้าน หากเอาก้อนนี้อออกไปอีกไม่รู้รายย่อยจะเลือดสาดอีกมากน้อยแค่ไหน ซึ่งผมคิดว่าอาจจะเป็นผลดีในระยะยาวมากกว่าสำหรับการคงอัตราดอกเบี้ยไว้เท่าเดิม
จำปี 40 ได้ป่ะครับ

ที่อื่นๆลดอัตราดอกเบี้ยกันหมดทำไมพี่ไทยไม่เห็นจะลดบ้างเลย

โพสต์แล้ว: เสาร์ ต.ค. 11, 2008 12:19 pm
โดย teamb
newbie_12 เขียน:
จำปี 40 ได้ป่ะครับ
จำได้สิครับ แต่น่าจะระบุว่าส่วนไหนหรืออย่างไรด้วยนะครับ ไม่งั้นผมก็ไม่เข้าใจ

ที่คุณจะสื่ออยู่ดี เพราะสถานการณ์ตอนนั้นกับตอนนี้มันแตกต่างกันมากนะครับ

ในปี 40 เกิดจากตัวของเราเองแต่ตอนนี้เป็นปัจจัยภายนอกและปัจจัยการเมือง

นะครับ และในขณะนั้นแบงก์ชาติก็ถูกอำนาจทางการเมืองเข้าครอบงำแตกต่าง

กับตอนนี้ที่แบงก์กับคลังอยู่ในสภาพที่คานอำนาจกันอย่างชัดเจน


สรุป รบกวนชี้ประเด็น ปี 40 ให้ทีละกันนะครับผมก็อยากรู้ว่ามันเกี่ยวเนื่องกับ

สถานการณ์ตอนนี้อย่างไร

ปล. การดูแลตลาดทุนให้มีเสถียรภาพก็อนุมานได้ว่าเป็นการทำให้เศรษฐกิจมีเสถียรภาพได้นะครับ ยังยืนยันเหมือนเดิมว่าหน้าที่แบงก์ชาติที่ดีต้องมองการณ์ไกล ไม่ใช่ทำให้วูบวาบแล้วก็ส่งผลเสียในระยะยาว

ที่อื่นๆลดอัตราดอกเบี้ยกันหมดทำไมพี่ไทยไม่เห็นจะลดบ้างเลย

โพสต์แล้ว: เสาร์ ต.ค. 11, 2008 5:43 pm
โดย simplelife
ต้องถามก่อนว่าทำไมต่างชาติต้องลดดอกเบี้ย ลดไปเพื่ออะไร อย่าตอบว่ากระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะว่าหุ้นตกนะครับ แล้วทำไมครั้งนี้ US กับ ECB ลดดอกเบี้ยพร้อมกัน ทำไมญี่ปุ่นดอกเบี้ยต่ำติดดินมานานหลายปี

แต่ละประเทศมีปัญหาของตัวเอง วิธีการแก้ปัญหาก็น่าจะต่างๆกันไปครับ เขาลดก็ไม่จำเป็นว่าเราต้องลดด้วย ผมตอบแบบนี้ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ควรลดนะครับ แต่เราต้องดูว่าจะลดไปทำไมก่อน ลดแล้วจะได้อะไร
teamb เขียน: กับตอนนี้ที่แบงก์กับคลังอยู่ในสภาพที่คานอำนาจกันอย่างชัดเจน
ขอนอกเรื่องหน่อย ผมว่าจริงๆแล้วการคานอำนาจเป็นเรื่องที่แย่มาก ถ้าต่างฝ่ายต่างมี Agenda ของตัวเอง รู้ได้ยังไงว่าตอนนี้ข้างไหนคิดถึงประโยชน์ของส่วนรวมมากกว่ากันครับ ผลประโยชน์ใหญ่มากๆเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยครับ ตัวอย่างเช่นกลุ่มธนาคาร ถ้ากลุ่มนี้มีอิทธิพลเหนือข้างใดข้างหนึ่ง การคานอำนาจจะกลายเป็นอุปสรรคการบริหารทันทีครับ