โอ้ว..ผมตาฝาดไปรึเปล่าเนี่ยมีนักวิเคราะห์เชียร์ซื้อ WG ด้วย
โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 29, 2008 12:30 pm
แนะเก็บ21หุ้นซื้อคืนราคาถูกพื้นฐานแกร่ง
กวี ชูกิจเกษม:ในช่วงที่การลงทุนในตลาดหุ้นมีความเสี่ยงสูงจากวิกฤติสถาบันการเงินโลก ฝ่ายวิจัย บล.กสิกรไทย ได้ออกบทวิเคราะห์แนะนำหุ้นที่น่าลงทุน และราคาถูก โดยเห็นว่ามีโอกาสที่บริษัทจะซื้อหุ้นเหล่านี้คืน หรือมีเป้าหมายที่บริษัทจะถูกเทคโอเวอร์
กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : "หุ้นที่เราคัดเลือกมานี้ ราคาได้ลดลงต่ำกว่ามูลค่าแท้จริงมาก น่าจะเหมาะกับการซื้อเพื่อลงทุนระยะยาวประมาณ 1 ปี เพราะจะมีโอกาสได้รับผลกำไรจากราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้น และยังได้รับเงินปันผล เพราะเป็นหุ้นที่จ่ายปันผลดีด้วย" กวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย กล่าว
สำหรับหุ้นที่มีโอกาสบริษัทจะซื้อหุ้นคืน ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทยได้คัดเลือกมาทั้งหมด 21 บริษัท ภายใต้เงื่อนไข 5 ประการ
กล่าวคือ จะต้องเป็นหุ้นที่จะต้องมีราคาต่อมูลค่าตามบัญชี (P/BV) "ต่ำกว่า" 1 เท่า, จำนวนหุ้นหมุนเวียนในตลาด (Free Float) มากกว่า 20%, อัตราส่วนหนี้ต่อทุน (D/E) น้อยกว่า 1 เท่า, บริษัทมีเงินสดมากกว่าหนี้สินระยะสั้น (Cash/Short Term) และต้องจ่ายเงินปันผลที่ดี
หุ้นที่ผ่านการคัดกรองของฝ่ายวิจัย บล.กสิกรไทย เมื่อแยกตามขนาดมาร์เก็ตแคปพบว่า จะมีหุ้นตั้งแต่ขนาด S, M, L และ XL กระจายอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ประกันภัย สินค้าอุปโภคบริโภค สิ่งทอ เหล็ก สื่อสิ่งพิมพ์ ผลิตไฟฟ้า อินเทอร์เน็ต เป็นต้น
โดยหุ้น "ดาวเด่น" 6 บริษัทที่บล.กสิกรไทย คัดกรองออกมา อาทิเช่น หุ้น "TR" หรือบริษัทไทยเรยอน, "TSTH" หรือบริษัททาทา สตีล, "TCB" หรือบริษัทไทยคาร์บอนแบล็ค, "MATI" หรือบริษัท มติชน, "SIAM" หรือบริษัทสยามสตีลอินเตอร์เนชั่นแนล, "WG" หรือ บริษัท ไว้ท์กรุ๊ป เป็นต้น
จุดเด่นของ "หุ้น TR" หรือไทยเรยอน อยู่ที่เป็นบริษัทที่มีหนี้สินต่อทุนต่ำมากเพียง 0.1 เท่า เงินสดในมือสูงกว่าหนี้ระยะสั้นถึง 2,060 ล้านบาท และราคาต่อมูลค่าทางบัญชีต่ำ 0.6 เท่า ในขณะที่มีจำนวนหุ้นหมุนเวียนในตลาดสูง 37% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด และมีกำไรสะสมอีก 1 หมื่นล้าน
ปัจจุบันไทยเรยอนมีมาร์เก็ตแคป 9.4 พันล้านบาท และในรอบบัญชีปี 2550 จ่ายปันผลไปแล้วหุ้นละ 1.60 บาท
ขณะที่หุ้น "TSTH" หรือทาทาสตีล หุ้นเหล็ก โดดเด่นตรงที่ราคาต่อมูลค่าทางบัญชีต่ำเพียง 0.7 เท่า มีหุ้นหมุนเวียนในตลาดสูง 28.4% มีกำไรสะสม 4,887 ล้านบาท และมีเงินสดในมือสูงกว่าหนี้ระยะสั้นอยู่ 316 ล้านบาท ส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 0.5 เท่า ปัจจุบันมีมาร์เก็ตแคป 1.37 หมื่นล้านบาท และจ่ายปันผลรอบปีบัญชี 2550 ไปแล้ว 0.80 บาทต่อหุ้น
หุ้น TCB หรือไทยคาร์บอนแบล็ค จัดเป็นหุ้นขนาดกลางที่มีมาร์เก็ตแคป 6,660 ล้านบาท แต่มีกำไรสะสม 6,011 ล้านบาท และมีเงินสดในมือสูงกว่าหนี้ระยะสั้นอยู่ 304 ล้านบาท ขณะที่มีหนี้สินต่อทุนเพียง 0.2 เท่า
ปัจจุบันราคาหุ้นต่อมูลค่าทางบัญชีอยู่ที่ 0.8 เท่า และจำนวนหุ้นหมุนเวียน 28% และในรอบปี 2550 จ่ายปันผลในอัตรา 0.90 บาทต่อหุ้น
หุ้น "MATI" หรือบริษัทมติชนในกลุ่มสื่อสิ่งพิมพ์ หุ้นขนาดกลางที่มีมาร์เก็ตแคป 1,702 ล้านบาท มีจุดแข็งอยู่ที่มีหนี้สินต่อทุนต่ำเพียง 0.1 เท่า มีกำไรสะสม 771 ล้านบาท และมีเงินสดต่ำกว่าหนี้ระยะสั้น 185 ล้านบาท ปัจจุบันมีหุ้นหมุนเวียนในตลาดสูงถึง 36.7% และราคาต่อมูลค่าทางบัญชี 0.9 เท่า ในรอบปี 2550 จ่ายปันผลในอัตราที่สูงถึง 0.45 บาทต่อหุ้น
ด้านหุ้น "SIAM" หรือบริษัทสยามสตีลอินเตอร์เนชั่นแนล ประกอบธุรกิจเครื่องใช้ในครัวเรือน เป็นหุ้นขนาดกลางที่มีมาร์เก็ตแคป 1,625 ล้านบาท มีกำไรสะสม 1,163 ล้านบาท เงินสดในมือ 164 ล้านบาท และหนี้สินต่อทุน 0.4 เท่า ปัจจุบันมีจำนวนหุ้นหมุนเวียนในตลาด 31.5 % และราคาหุ้นต่อมูลค่าทางบัญชี 0.8 เท่า เคยจ่ายปันผล 0.11 บาทต่อหุ้นในปี 2550
นอกจากนั้น ยังมี "WG" หรือบริษัทไว้ท์กรุ๊ป ในกลุ่มธุรกิจปิโตรและเคมีคอล เป็นหุ้นขนาดเล็กที่มีมาร์เก็ตแคป 893 ล้านบาท แต่มีจำนวนหุ้นในตลาดสูงถึง 49.8% และราคาต่อมูลค่าทางบัญชีอยู่ที่ 1 เท่า ปัจจุบันมีกำไรสะสม 492 ล้านบาท มีเงินสดในมือ 99 ล้านบาท มีหนี้สินต่อทุน 0.2 เท่า และเป็นหุ้นที่จ่ายปันผลปี 2550 สูงถึง 3.65 บาทต่อหุ้น
"ในแง่นักลงทุน หากเข้าลงทุนในช่วงนี้ถือเป็นโอกาสเหมาะจะได้รับผลตอบแทนที่ดีได้ในระยะยาว เพราะเป็นหุ้นที่มีพื้นฐานดี ราคาถูก เมื่อเทียบกับมูลค่าทางบัญชี จึงเป็นหุ้นแวลูอินเวสเมนท์ที่น่าลงทุน แต่ไม่ใช่ซื้อเพื่อเก็งกำไร" กวี กล่าว
เป็นบุญตาจริงๆที่เกิดมาชาตินี้ได้เห็นนักวิเคราห์เชียร์ซื้อ WG
:lovl: :lovl: :lovl:
เอ๊ะ หรือเป็นลางบอกเหตุว่าตลาดจะเป็นหมีของแท้แล้วเนี่ย